บทที่ 634 ยันต์เข้าสู่ดินแดน
บทที่ 634 ยันต์เข้าสู่ดินแดน
เสียงของลู่หยวนเสมือนเสียงค้อนทุบหัวใจลู่เทียนเฉิง
เขาจึงรับรู้ได้อย่างไร!?
ความสงสัยและความตกใจปรากฏในดวงตาของ ลู่เทียนเฉิง
“หืม บุตรศักดิ์สิทธิ์ทายถูกแล้วหรือ?” เสียงของลู่หยวนดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
“เจ้าหลอกเราหรือ?” ลู่เทียนเฉิงเบิกตากว้าง
ลู่หยวนยิ้มเย้ยหยัน “หลอกเจ้าหรือไม่น่ะหรือ ตั้งแต่เจ้ากลับมา ข้าก็สังเกตเห็นบางอย่างแล้ว”
“ในถ้ำเจ้าและฮ่วนเฉียนอี่สนใจแต่สมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการรักษา ไม่สนใจลูกปัดแห่งความมืดที่ต้องใช้ส่งภารกิจ นั่นทำให้ข้าสงสัยขึ้นมา”
ลู่เทียนเฉิงมองลู่หยวนด้วยความตกใจ
โลกนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างยิ่ง
เกาะสังหารเซียนทั้งเกาะอยู่ในอำนาจของเทพเจ้า ผู้ใดก็มิอาจใช้วิญญาณกระจายตัวสำรวจได้
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าตอนที่ลู่เทียนเฉิงกับฮ่วนเฉียนอี่พบต้นไม้สมุนไพร พวกเขาจึงเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น
และเมื่อมีข้อจำกัดนี้ เหล่าผู้คนจึงต้องแสวงหาต้นไม้สมุนไพรด้วยตนเอง ไม่ใช้พลังวิญญาณเพื่อแยกแยะสิ่งของที่มีประโยชน์จากสิ่งที่ไม่มี
อย่างไรก็ตาม แม้ลู่หยวนจะมีพลังที่แข็งแกร่งแต่เมื่อใดก็ตามที่เข้าสู่โลกนี้ เขาต้องถูกจำกัดโดยข้อห้ามของเทพเจ้า!
ลู่หยวนจะสามารถสำรวจได้เช่นนั้นได้อย่างไร?
“เฮอะ! เมื่อเจ้าพาพวกเรากลับมา เจ้าบอกว่าจะมอบลูกปัดแห่งความมืดให้ฮ่วนเฉียนอี่นำไปส่งภารกิจ แต่ในเวลานั้นเจ้าได้มอบต้นไม้สมุนไพรไปแล้วด้วย”
“วันนี้ข้ามาแต่ไม่พบร่องรอยของต้นไม้สมุนไพรบนตัวฮ่วนเฉียนอี่ ท่านลุงลองนึกดูสิ ต้นไม้สมุนไพรนั้นจะไปอยู่ที่ใด?”
ลู่หยวนมองลู่เทียนเฉิงด้วยสายตาซุกซน
“แม้ข้าจะได้อยู่กับเจ้าเพียงเวลาไม่นาน แต่ข้าก็รู้จักเจ้าดี เจ้าไม่ใช่คนดีอะไรหรอก ต้นไม้สมุนไพรนี้มีค่ามากนัก เจ้าคงได้ใช้มันในทางที่ยิ่งใหญ่”
“หากใช้เพื่อตัวเจ้าเอง แน่นอนว่ายังคงอยู่กับฮ่วนเฉียนอี่ หากใช้เพื่อช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์ เฮ้อ เจ้าแทบไม่เคยเหลียวแลแม้แต่ครอบครัวของเยว่จู้ ข้าไม่เชื่อเลยว่าเจ้าจะมีน้ำใจขนาดนั้นที่จะมอบสิ่งนี้ให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์”
“ดังนั้นจึงเหลือเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นคือเจ้าใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนเป็นสินค้า ส่วนจะแลกกับผู้ใด สิ่งนี้สามารถสร้างประโยชน์สูงสุดให้เจ้าได้เพียงใด ขึ้นอยู่กับระดับอันตรายที่ท่านลุงเผชิญในครั้งนี้”
คำพูดของลู่หยวนจบลง ความเงียบเข้าปกคลุม
ลู่หยวนไม่เร่งรีบเขาเหลือบมองไปรอบ ๆ ผนึกที่สร้างการเคลื่อนไหวขนาดนี้ มีเพียงลู่เทียนเฉิงเท่านั้นที่มาที่นี่
เมืองไร้ขอบเขตแห่งนี้ควรมีผู้คนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์มากมาย แต่ไม่มีใครเลยที่ก้าวเข้ามาสอบถาม
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่มีความเมตตา มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ลู่เทียนเฉิงหลับตาลงราวกับครุ่นคิดอย่างหนักจนในที่สุดก็ถอนหายใจ “เจ้าตามหาสัตว์ประหลาดพวกนั้นเพื่ออะไร?”
“ท่านลุงถามข้าคำถามนี้ น่าจะบอกข้าก่อนว่าไปตกลงอะไรกับหัวหน้าฝูงสัตว์ประหลาด”
ลู่เทียนเฉิงไม่ตอบคำถามนั้น เพียงมองลู่หยวน ด้วยสายตาจริงจัง “ข้ารู้ว่าพลังของเจ้าอานุภาพยิ่งใหญ่ และพลังการฝึกฝนก็ชวนตะลึง ก่อนจะมายังเกาะสังหารเซียน เจ้าก็ควรจะนับได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินหยวนหง”
“แต่ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินหยวนหง แม้แต่วิถีสวรรค์มาถึงก็ไม่อาจทำอะไรได้”
พูดจบ ลู่เทียนเฉิงก็คิดได้ว่าลู่หยวนจะทำอะไรกันแน่
ลู่หยวนเป็นถึงจ้าวแห่งแผ่นดินหยวนหง ตั้งแต่อายุน้อย ในใจย่อมหยิ่งผยองจนไม่อาจถูกขังไว้ด้วยสวรรค์และแผ่นดิน
ก่อนหน้านี้คงชี้ดาบไปที่ท้องฟ้า อยากจะโค่นล้มสวรรค์
วันนี้มาถึงที่นี่ รู้ว่ามีเทพเจ้าที่เหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวง เคยเห็นมาบ้างแล้ว อาจถึงขั้นอยากดึงเทพลงมาแล้วตนเองขึ้นแท่นเป็นเทพเสียเอง จึงพยายามหาทางเข้าใกล้สัตว์ประหลาดเพื่อเข้าใกล้เทพกระมัง
ลู่เทียนเฉิงพูดตักเตือน “สุดท้ายเจ้ากับข้าก็ยังมีสายเลือดเดียวกัน ข้าขอตักเตือนเจ้าสักคำ หากคิดจะต่อกรกับพวกสัตว์ประหลาดอสูรพวกนั้น หรือแม้กระทั่งท่านเทพ ยังไม่สายเกินไปที่จะเลิกล้มความตั้งใจนั้น อย่าเสียแรงไปเลย!”
ลู่หยวนส่ายหน้า “ลุงเฉิง ข้าไม่จำเป็นต้องรู้มากขนาดนั้นหรอก เจ้าแค่ตอบมาว่า เจ้าจะพาข้าไป หรืออยากเห็นสตรีของเจ้าตกอยู่ในอันตราย”
เมื่อลู่หยวนพูดจบ ประตูห้องที่เปิดอยู่ก็เผยให้เห็นฮ่วนเฉียนอี่ถูกกดดันจนคุกเข่าลงครึ่งตัวแล้ว
ฮ่วนซิงไป๋ถูกเซียวเทียนกดลง ซึ่งพลังนั้นแข็งแกร่งมาก สามารถกดทุกอย่างของฮ่วนเฉียนอี่ไว้ได้หมด ขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย
ลู่เทียนเฉิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในใจคิดหนัก สุดท้ายก็ตอบ “ข้ายอมตกลงก็ได้ แต่เจ้าต้องบอกข้าว่าวรยุทธ์ของเจ้าตอนนี้ถึงขั้นไหนแล้ว”
ลู่หยวนตอบ “ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์”
ลู่เทียนเฉิงตาหรี่ลง ทวนคำอย่างงุนงง “ครึ่ง…ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์?”
เขารู้ดีว่าวรยุทธ์ของลู่หยวนน่าตกใจเพียงใด แต่ไม่คิดว่าจะสูงส่งถึงเพียงนี้
หากแผ่นดินหยวนหงไม่ได้ผ่านสงครามสามแสนปี ลู่หยวนที่เป็นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ คงเป็นลูกหลานตระกูลลู่ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่อมตะยุทธ์ เพียงแค่รอจังหวะก็จะออกจากแผ่นดินหยวนหงไปยังดินแดนที่สูงกว่า ก้าวเข้าสู่ขั้นเทพยุทธ์กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของตระกูลลู่
กดความประหลาดใจในใจลง ลู่เทียนเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อยเผยแววครุ่นคิดออกมา
ครึ่งก้าวเทพยุทธ์ ขั้นนี้น่าจะพอ…
“ในเมื่อข้ายอมแล้ว เจ้าก็ควรปล่อยนางไป”
ลู่เทียนเฉิงหยิบป้ายไม้ชิ้นหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บของยื่นให้ลู่หยวน “พรุ่งนี้ เจ้าจะได้เห็นการสลับกันระหว่างกลางวันกลางคืน หลังจากนั้นเจ้าค่อยมาหาข้า สวมเสื้อคลุมสีดำพกป้ายนี้ติดตัวไว้ให้ดี อย่าลืมเชียว”
เห็นได้ว่าป้ายในมือลู่เทียนเฉิงเป็นแผ่นไม้ธรรมดามาก เหมือนถูกตัดมาจากต้นไม้ลวก ๆ แม้แต่ขอบยังไม่ได้ถูกเหลาให้กลม
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจได้บ้างคือลวดลายจารึกบนป้าย ลวดลายนี้ลึกลับเร้นลับ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังของผู้สร้างหลงเหลืออยู่บนแผ่นไม้เลย แต่กลับแฝงอะไรบางอย่างอยู่
ลู่หยวนสัมผัสอย่างละเอียดด้วยความสนใจ
ลวดลายจารึกนี้แตกต่างจากที่เคยเห็นมามาก
ปกติพวกยันต์อักขระหรือยันต์เวทย์จะดูดซับพลังของผู้ลงยันต์ แล้วแสดงออกมาในรูปแบบอื่นเพื่อให้เกิดความเสียหาย
แต่ลวดลายนี้กลับมีพลังสั่นสะเทือนในตัวเอง
อย่างอื่นเกิดจากพลัง แต่อันนี้กลับให้กำเนิดพลัง
น่าสนใจ…น่าสนใจจริง ๆ
นี่คือวิธีการของดินแดน ‘เทพเจ้า’ ที่ว่านั่นสินะ
ลู่หยวนรับป้ายนั้นไปแล้วพูดว่า “ขออีกสามอัน”
สีหน้าลู่เทียนเฉิงเปลี่ยนไปทันที
ลู่หยวนพูดต่อว่า “ข้าไม่ได้มาคนเดียวนะ เจ้าก็รู้อยู่แล้ว”