บทที่ 647 พลังแห่งกฎเกณฑ์
บทที่ 647 พลังแห่งกฎเกณฑ์
ลู่หยวนยืนอยู่บนความว่างเปล่า สีหน้าเรียบเฉย ดวงตาดูไม่แยแส ปราศจากความรู้สึกใด ๆ ทั่วทั้งร่างมีพลังไหลเวียนอยู่ผันผวนแข็งแกร่งราวกับเทพเจ้า
วิถีสวรรค์และวิถีโบราณที่อยู่นอกสามพันโลก มองเห็นภาพนี้ ต่างเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!
ก่อนหน้านี้ พวกเขายังสามารถมองทะลุผ่านร่างฉายของลู่หยวนได้อยู่เลย แต่จู่ ๆ มันก็พร่ามัวและพลันหายไป ชั่วพริบตาลู่หยวนก็สามารถต่อกรกับเทพไร้ขอบเขตได้แล้ว!
แต่เมื่อครู่นี้ เทพไร้ขอบเขตนั่นยังคงสามารถปราบปรามลู่หยวนได้อยู่เลยไม่ใช่หรือ? ลู่หยวน ยังคงต้องหลบอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิมังกรโดยไม่คิดจะลงมือต่อสู้ด้วยซ้ำ!
วิถีสวรรค์กำมือแน่น จอกสุราในมือแตกละเอียด กลายเป็นผงธุลี!
เขาหันไปมองวิถีโบราณที่อยู่ข้างกายยกยิ้มอย่างร้ายกาจ “สมแล้วที่เจ้าเลือกเขามา ตอนนี้ชายผู้นั้นก้าวข้ามพวกเราทั้งสอง ปราบเทพไร้ขอบเขตนั่นได้ ต่อให้มหาจักรพรรดิในแดนเซียนที่ไม่เคยเห็นใครก็ไม่อาจทำเช่นที่ลู่หยวนทำได้ เรื่องราวชักสนุกขึ้นแล้วสิ!”
วิถีโบราณหรี่ตามลงพลางครุ่นคิดบางอย่าง!
ฝ่ายวิถีสวรรค์ลุกขึ้นยืน บอกว่าเขาหมดความสนใจที่จะดูลู่หยวนแล้ว “เด็กนี่ก็ได้รับพลังไร้ขอบเขตไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกจากสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว ข้าจะไปดูแดนเซียนเสียหน่อยว่าเหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่ามหาจักรพรรดิเตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
กล่าวจบ ร่างของวิถีสวรรค์ก็หายวับไปกับตา!
ภาพฉายเบื้องหน้ายังคงแสดงเรื่องราวของลู่หยวน แต่ดูเหมือนวิถีโบราณจะหมดความสนใจที่จะรับชมเสียแล้ว ในใจของเขากลับครุ่นคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมา
‘เจ้าเด็กนั่นทำอะไรลงไป?!’
ครู่ต่อมา วิถีโบราณก็โบกมือปิดภาพฉายเบื้องหน้าจนหมดสิ้น ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน ปล่อยมือข้างขวาออก ถ้วยสุราร่วงหล่นลงสู่พื้นแตกสลายกลายเป็นผงธุลีหายไปในความว่างเปล่า
ดวงตาของวิถีโบราณฉายแววลึกล้ำราวกับตัดสินใจได้แล้ว จากนั้นร่างของเขาก็เลือนรางหายวับไปเช่นกัน
…
ณ เกาะสังหารเซียน หอคอยไร้ขอบเขต
เมื่อรัศมีแห่งเทพไร้ขอบเขตค่อย ๆ เลือนหายไป หอคอยไร้ขอบเขตก็เริ่มโรยราและล่มสลาย!
ทั่วทั้งเมืองไร้ขอบเขต เหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่กำลังออกอาละวาด ล้วนอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา!
ลู่หยวนเก็บกระบี่และหอกลง หันไปมองดูร่างของ วั่งไฉที่เคยคล่องแคล่วว่องไว ตอนนี้กลับมีสภาพร่อแร่ใกล้สิ้นลม เขาจึงใช้พลังเทพเพื่อต่อชีวิตให้แก่วั่งไฉ!
หากมีผู้ใดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ และล่วงรู้ว่าลู่หยวนใช้พลังเทพอันล้ำค่ารักษาอาการบาดเจ็บของวั่งไฉ คงต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง
วั่งไฉได้รับบาดเจ็บสาหัส หากช้าไปกว่านี้คงไม่ใช่เพียงบาดแผลฉีกขาดหรือกระดูกแตกหัก แม้วั่งไฉจะเป็นถึงจักรพรรดิมังกรแต่ก็เกรงว่าร่างกายอาจถูกแยกออกเป็นสองส่วน!
ทว่าแม้จะบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ ก็ยังส่งผลถึงอายุขัย ไม่จำเป็นต้องใช้พลังเทพอันล้ำค่ามาต่อชีวิตเช่นนี้!
เพียงใช้โอสถวิเศษบำรุงก็หายดีแล้ว!
ตอนนี้ลู่หยวนไม่ได้รับตำแหน่งเทพและเปลี่ยนพลังทั้งหมดเป็นพลังเทพ ทว่าได้รับพลังเทพที่หลงเหลืออยู่ของเทพผู้ไร้ขอบเขต พลังเทพนี้ได้หลอมรวมเข้ากับร่างกายของลู่หยวนกลายเป็นพลังของเขา
ดังนั้น พลังเทพนี้จึงมีจำนวนจำกัด หากวันนี้ใช้มาก วันหน้าก็ต้องใช้น้อยลง!
การมอบให้แก่วั่งไฉครั้งนี้ ช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี!
ทว่าลู่หยวนกลับไม่ได้มีทีท่าหวงแหนพลังเทพนี้เลยแม้แต่น้อย ภายใต้พลังเทพอันอ่อนโยนวั่งไฉ ฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็ว จากที่เคยใกล้ตายตอนนี้ก็ฟื้นตัวแล้ว บาดแผลบนร่างกายก็หายดีในทันที
ลู่หยวนก้มหน้า ดวงยังคงมองวั่งไฉ หากแต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น!
เดิมทีเขารู้ดีว่าวิถีสวรรค์และวิถีโบราณสามารถแอบมองเขาได้ทุกเมื่อ หากแต่การที่จะสังหารเทพไร้ขอบเขตในคราเดียวจำเป็นต้องใช้พลังที่ไม่ได้อยู่ในสามพันโลกนี้ นั่นก็คือพลังลึกลับที่หลับใหลอยู่ในจิตเทวะของลู่หยวน!
แน่นอนว่าลู่หยวนไม่อยากให้วิถีโบราณล่วงรู้ว่าเขายังมีไพ่ตายเช่นนี้อยู่!
ดังนั้นเขาจึงใช้หมากตัวหนึ่ง บดบังไม่ให้วิถีสวรรค์และวิถีโบราณมองเห็นเขาได้ชั่วขณะ!
ส่วนหมากตัวนั้นก็คือเยว่จู้
โดยอาศัยพลังลึกลับเป็นแรงขับเคลื่อน หลอมรวมเข้ากับอาวุธศักดิ์สิทธิ์จนอาวุธนั้นระเบิดตัวเอง เป็นพลังแผ่กระจายออกไปทั่วและทั้งเมืองไร้ขอบเขตก็หลุดพ้นจากพลังแห่งวิถีได้ในชั่วพริบตา!
แท้จริงแล้ว ก่อนที่ลู่หยวนจะติดตามลู่เทียนเฉิงเข้าสู่หอคอยไร้ขอบเขต เขาก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าตนเองอาจต้องใช้พลังลึกลับในจิตเทวะ ดังนั้นจึงมอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ให้เยว่จู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ในที่สุดก็จุดระเบิดอาวุธเทพที่จุดสูงสุดของเมืองไร้ขอบเขต ซึ่งก็คือยอดหอคอยไร้ขอบเขต ทำให้การสอดส่องทั้งหมดคลุมเครือและเลือนลาง ตอนนี้เยว่จู้น่าจะตายแล้ว
ลู่หยวนคืนสติ อุ้มวั่งไฉไว้ในอ้อมแขน หอคอยไร้ขอบเขตรอบกายพังทลายลงจนหมดสิ้น
ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างสองร่างพุ่งมาหยุดลงเคียงข้างลู่หยวน พวกเขาคือเซียวเทียนและฮ่วนซิงไป๋นั่นเอง!
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
ทั้งสองร้องเรียกพร้อมกัน
ลู่หยวนกวาดตามองทั้งสอง พบว่าทั้งคู่ถืออาวุธในมือ พลังต่อสู้ยังคงแผ่ออกมาโดยรอบแสดงให้เห็นว่าเพิ่งผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด
ทั้งสองก็ไม่ใช่คนไร้ไหวพริบ ย่อมสัมผัสได้ถึงรัศมีที่เปลี่ยนไปรอบกายลู่หยวน
“ขอแสดงความยินดีกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!” ทั้งสองกล่าวด้วยรอยยิ้มยินดี
ฮ่วนซิงไป๋ดูจะยินดีเป็นพิเศษ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มกว้าง “เดิมทีข้าคิดว่า หากจะสังหารเทพองค์นั้น คงต้องใช้เวลาอีกนาน ไม่คิดว่าพวกข้ายังไม่ทันได้ลงมือ บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ก็จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว!”
เซียวเทียนเองก็จ้องมองลู่หยวนพลางพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างลังเล “บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ ข้าได้ยินมาว่า หากผู้ใดได้ขึ้นครองตำแหน่งเทพ รอบกายจะมีเทพติดตาม ขอท่านโปรดเมตตา เปิดเผยให้ข้าได้ยลโฉมเทพติดตามสักครั้งได้หรือไม่?”
“มันไม่ใช่การก้าวสู่ตำแหน่งเทพ” ลู่หยวนเอ่ยเสียงเรียบ
“เมื่อตอนเข้าสู่แดนดินแห่งนี้ ข้านี้ไม่ได้หรือว่านี่เป็นเพียงเทพจอมปลอมเท่านั้น แต่ตอนนี้พลังเทพที่ได้มานั้นล้วนเป็นของจริง”
คำพูดของลู่หยวนสร้างความฉงนให้แก่คนทั้งสอง
พลังแห่งเทพย่อมไม่มีของปลอม หากมีพลังเทพจริง เหตุใดจึงไม่ใช่เทพ?
จากนั้นลู่หยวนก็เอ่ยต่อ “เทพไร้ขอบเขตผู้นี้ ครั้งหนึ่งเคยดำรงตำแหน่งเทพ แต่ตอนนี้ถูกขับออกจากตำแหน่งแล้ว ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเหตุใดพลังเทพจึงยังคงอยู่และยังมีทักษะบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของเทพด้วย”
“ทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของเทพหรือ?”
ฮ่วนซิงไป๋ทวนคำพูดของลู่หยวนอย่างพินิจพิเคราะห์ เขาหวนรำลึกถึงคำพูดก่อนหน้าของลู่หยวนจึงเกิดความคิดขึ้นมา
“ท่านหมายความว่า แดนดินแห่งนี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เทพไร้ขอบเขตเป็นผู้กำหนดกระนั้นหรือ?”
ลู่หยวนพยักหน้าพร้อมกับมองฮ่วนซิงไป๋อย่างชื่นชม “เจ้าช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก”
ลู่หยวนยกมือขึ้นปลายนิ้วทั้งสองแตะกัน ก่อนจะสะบัดออกไปอย่างเลื่อนลอย เมืองไร้ขอบเขตที่กำลังสลายหายไป ตอนนี้กลับหยุดนิ่ง!
เมื่อแสงสว่างพลันบังเกิด กระบี่ยักษ์สามหมื่นเล่มปรากฏขึ้นกลางอากาศก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างรุนแรง!
ชั่วพริบตานั้น เผ่าพันธ์ุทั้งปวงที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในเมืองไร้ขอบเขตรวมทั้งฮ่วนซิงไป๋และเซียวเทียนก็พลันเพิ่มพูนขึ้น เจตจำนงกระบี่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบังเกิดขึ้นในร่างของทุกคนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นฟ้า!
ลู่หยวนเอ่ยเสียงเรียบแต่กลับเปี่ยมล้นด้วยอำนาจดุจเทพที่มองลงมายังโลก “นี่แหละ คือ พลังแห่งกฎเกณฑ์ของเทพ!”