สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 343-2 พ่อลูก (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 343 พ่อลูก (2)

เหอกงกงเมื่อเจอกับฮ่องเต้ก็โค้งถวายบังคมให้ “ถวายบังคมฝ่าบาท”

“เรื่องที่ข้าให้ไปสืบมาเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ตรัสถาม

ฮ่องเต้กำลังเอ่ยถึงเหตุการณ์ลอบทำร้ายจิ้งไท่เฟยที่เกิดขึ้นในสวนของวัง

เหอกงกงอธิบาย “ตอนนี้ยังไม่มีใครน่าสงสัยพ่ะย่ะค่ะ พบเพียงว่ามือสังหารน่าจะแอบเข้าไปในวังจากบริเวณวังหลังขอรับ การคุ้มกันบริเวณนั้นค่อนข้างหละหลวม นอกจากนี้ กระหม่อมคาดเดาว่ามือสังหารน่าจะมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่ร่วมมือกับเขาทั้งภายในและภายนอก และผู้สมรู้ร่วมคิดได้ล่อลวงองครักษ์หลงอิ่งออกไป เพื่อดักซุ่มโจมตีจิ้งไท่เฟย”

ที่น่าเสียดายก็คือพวกองครักษ์หลงอิ่งมีหน้าที่รับฟังคำสั่งอย่างเดียว ไม่พูดคุยกับใคร พวกเขาจึงสืบเรื่องราวมาไม่ได้มากเท่าไหร่

ดังนั้นแล้ว เหอกงกงจึงไม่พยายามเค้นอะไรจากพวกเขา

ส่วนฮ่องเต้เองก็รู้ถึงจุดนี้ขององครักษ์หลงอิ่ง จึงไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเหอกงกงอันใด

เพียงแต่ฮ่องเต่รู้สึกประหลาดใจเรื่องที่องครักษ์หลงอิ่งถูกชักจูงไปได้อย่างง่ายดาย

เพราะองครักษ์หลงอิ่งนั้นแตกต่างจากทหารทั่วๆ ไป พวกเขาไม่มีทางละทิ้งเจ้านายของพวกเขาไปอย่างง่ายดายแบบนั้นแน่นอน

นอกเสียจากจิ้งไท่เฟยจะเป็นคนออกคำสั่งเสียเอง ซึ่งนางก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

ฮ่องเต้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าใครกันที่มีอำนาจทำแบบนั้นได้

ยิ่งกว่านั้น เหอกงกงค้นหาทั่ววังก็ไม่พบร่างของใครหรือรอยเลือด กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลังจากที่องครักษ์หลงอิ่งถูกล่อออกไป อาจเกิดเหตุการณ์ว่าคนที่ล่อนั้นจู่ๆ หายตัวไป หรือไม่ก็ไม่ได้เกิดการต่อสู้กันก็เป็นได้

แต่เป็นไปไม่ได้ที่องครักษ์หลงอิ่งจะไล่ตามคนๆ นั้นไม่ทัน

แล้วเหตุใดจึงไม่มีร่องรอยการต่อสู้เกิดขึ้นเล่า

องครักษ์หลงอิ่งก็มิใช่ประเภทที่ว่าปล่อยผ่านใครไปง่ายๆ แต่ก็มิใช่คนประเภทฆ่ามั่วซั่วเสียทีเดียว เพราะจักรพรรดิองค์ก่อนเคยกำชับไว้เพื่อไม่ให้พวกเขาเผลอพลั้งมือทำร้ายประชาชนตาดำๆ

หรือว่าคนคนนั้นจะไม่มีวรยุทธ์

แต่ถ้าไม่มีจริงๆ แล้วจะเอากำลังที่ไหนไปล่อองครักษ์หลงอิ่งออกมาได้

ยิ่งคิดยิ่งชวนปวดหัวเสียจริง

ขณะที่ฮ่องเต้กำลังปวดหัวกับเรื่องนี้ จู่ๆ ขันทีหนุ่มจากตำหนักคุนหนิงก็รีบเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! มีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์ชายเจ็ดขอรับฝ่าบาท!”

ฮ่องเต้รีบลุกขึ้นไปที่ตำหนักคุนหนิงของเซียวฮองเฮา

ขณะที่เซียวฮองเฮาส่งคนไปส่งข่าวถึงฮ่องเต้ ช่วงเดียวกันก็ส่งคนไปตามหมอหลวงมาด้วย ซึ่งมาถึงที่วังคุนหนิงในเวลาเดียวกับฮ่องเต้ หมอหลวงเดินพุ่งตรงเข้าไปในห้องนอนของฉินฉู่อวี้ย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่องยา

ฉินฉู่อวี้กำลังนอนม้วนเอามือกุมท้องอยู่บนเตียงใหญ่ “เสด็จแม่ ข้าปวด ปวดเจียนตายแล้ว…”

เซียวฮองเฮานั่งหัวใจสลายข้างเตียงพร้อมกับพยายามจะเข้าไปกอด

แต่ฉินฉู่อวี้ปวดท้องมากเสียจนไม่อาจอยู่นิ่งๆ ในอ้อมกอดของเซียวฮองเฮาได้

หมอหลวงวางกล่องยาลง คุกเข่าข้างเตียงและทำการวัดชีพจร

ซูกงกงและแม่นมอีกคนหนึ่งจับเขาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาดิ้นไปมา

“หมอหลวง! องค์ชายเจ็ดของข้าเป็นอย่างไรบ้าง!” เซียวฮองเฮาเอ่ยถามอย่างร้อนรน

หมอหลวงโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมจะไม่อาจบอกได้จนกว่าการตรวจจะเสร็จสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็รีบตรวจเสียสิ!!” เซียวฮองเฮาตะโกนร้อง

แม้ว่าหมอหลวงกำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังตอบด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ! พ่ะย่ะค่ะ! ”

ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเจ็ด”

“ฝ่าบาท!” เซียวฮองเฮาโผเข้ากอดพระองค์ด้วยน้ำตาคลอเบ้า น้ำตาร้อนผ่าวกระทบหลังพระหัตถ์

เซียวฮองเฮาซึ่งมีสถานะเป็นแม่ของแผ่นดินเสมอมาและไม่เคยเสียกิริยาต่อหน้าราชสำนัก บัดนี้กลับหลั่งน้ำตาออกมาพรั่งพรูอย่างไม่เกรงใจใคร

และในตอนนั้นเองที่ฮ่องเต้ทรงนึกขึ้นได้ว่า แท้จริงแล้วฮองเฮาก็เป็นผู้หญิง เป็นแม่คนเหมือนกัน

ฮ่องเต้จึงใจอ่อนลง เขาตบไหล่นางเบาๆ เพื่อปลอบโยน “อย่าร้องไห้ บอกข้าสิ เกิดอะไรขึ้น”

เซียวฮองเฮาสำลักสะอื้นและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนเพิ่งกลับมายังดีๆ อยู่เลย แต่จู่ๆ องค์ชายเจ็ดก็กุมท้องและบ่นว่าปวด… ”

“วันนี้องค์ชายเจ็ดทรงเสวยอะไรเป็นมื้อเย็น” ฮ่องเต้เอ่ยถาม

“เขา เขาเสวยอาหารที่ตำหนักเหรินโซ่ว…” เซียวฮองเฮาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาก่อนจะเอ่ยเรียกขันทีขอองฉินฉู่อวี้ให้เข้ามา “เสี่ยวเต๋อ! ”

เสี่ยวเต๋อค่อยๆ พาร่างอันบอบช้ำเดินเข้ามาด้านในตำหนัก

เห็นได้ชัดว่าเขาถูกซูกงกงทำโทษไปแล้ว

“ถวายบังคมฝ่าบาทและฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเต๋อคุกเข่าก้มหัวลง

“ข้าขอถามเจ้านะ องค์ชายเจ็ดไปกินอะไรมาที่ตำหนักเหรินโซ่ว” เซียวฮองเฮาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เป็นอาหารที่มีรูปร่างแปลกประหลาดพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเต๋อเกาหัว “ทั้งขนมและซาลาเปาเหล่านั้นเป็นสิ่งที่กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อน มีทั้งรูปหมู หรือรูปปลา…”

“นอกจากของพวกนี้ ยังมีอย่างอื่นอีกไหม” ฮ่องเต้รู้จักดีว่าของว่างเหล่านั้นเป็นอาหารที่จิ้งคงและกู้เจียวกินที่ตรอกปี้สุ่ย

“แล้วก็อาหารอื่นๆ พ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นเสี่ยวเต๋อก็ค่อยๆ อธิบายรูปพรรณของอาหารที่ตำหนักเหรินโซ่ว

ซึ่งเป็นอาหารปกติทั่วไปที่ฮ่องเต้กับเซียวฮองเฮากินกันอยู่แล้ว

เซียวฮองเฮาเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้น…พวกเขาได้ให้องค์ชายเจ็ดกินอะไรอย่างอื่นอีกไหม”

ไม่แปลกใจเลยที่เซียวฮองเฮาเลือกที่จะไม่เชื่อ เป็นเพราะโศกนาฏกรรมของเซียวเหิงยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของนาง นางไม่ต้องการให้ลูกชายของนางเป็นคนที่สองที่ถูกจวงไทเฮาทำร้ายอีก!

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวเต๋อส่ายหัว

เซียวฮองเฮาย่นคิ้ว “หรือเจ้ามองไม่เห็นเองหรือเปล่า เจ้าคอยจับตาดูองค์ชายเจ็ดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ไปไหนใช่หรือไม่”

“คือว่า…” เสี่ยวเต๋อเริ่มก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยด้วยความเกรงกลัว “กระหม่อม ตอนนั้น มีไปเข้าห้องน้ำหนึ่งรอบขอรับ”

“เจ้า!” เซียวฮองเฮาโกรธจนหน้ามืดและพลั้งมือตบหน้าเสี่ยวเต๋อไปหนึ่งที!

ส่วนหมออหลวงที่เพิ่งจะเสร็จจากการตรวจร่างกาย ก็ได้รายงานให้ฮ่องเต้และฮองเฮาทราบ “ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเอา องค์ชายเจ็ดมีอการรับประทานอาหารเยอะเกินขนาด ทำให้ลำไส้เกิดความปั่นป่วน และเกิดลมในกระเพาะ จึงทำให้มีอาการปวดท้อง กระหม่อมจะถวายยาช่วยย่อยอาหารให้องค์ชาย ต่อไปองค์ชายจะเสวยอาหารเยอะเช่นนี้ไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นอันตรายต่อสุขภาพยิ่งนัก ”

ฟังจบ เซียวฮองเฮาหัวร้อนทันที “ฝ่าบาท ทรงได้ยินแล้วใช่ไหมเพคะ! ตำหนักเหรินโซ่วอีกแล้ว!”

ฮ่องเต้พอเข้าใจแล้วว่าจิ้งคงน่าจะเป็นคนพาฉินฉู้อวี้ไปที่ตำหนักเหรินโซ่ว โดยมีกู้เจียวอยู่ด้วย

ฮ่องเต้มองว่ากู้เจียวไม่น่าจะให้ฉินฉู่อวี้กินเยอะเกินเหตุ

หมอหลวงได้ถวายโอสถช่วยย่อยอาหาร พอฉินฉู่อวี้กินเข้าไป ผายลมออกมาสักพัก อาการก็เริ่มดีขึ้น

อีกทั้งฉินฉู่อวี้ได้ยินเรื่องที่พวกเขาถกเถียงกันเมื่อครู่นี้ทั้งหมด พวกเขาคิดว่าเป็นฝีมือของเสด็จย่าที่ทำให้ฉินฉู่อวี้เป็นแบบนี้

ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แต่ถ้าเขาพูดความจริงออกไป เขาต้องรับโทษ

ฉินฉู่อวี้รู้สึกสับสนไปหมดว่าจะเลือกทางไหนดี

หากเป็นฉินฉู่อวี้คนเก่า แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดออกมา เพราะเขากลัวการถูกเสด็จพ่อลงโทษมากที่สุด ถึงขั้นยอมโกหกเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากการโดนลงโทษ!

แต่ครั้งนี้ เขาเลือกที่จะพูดความจริง

ฉินฉู่อวี้กัดฟันแน่น พยายามสงบสติ และตัดสินใจพูดออกไป “ตอนอยู่ที่ตำหนักเหรินโซ่ว…ข้าไม่ได้ทานเยอะ…กู้เจียวกำชับกับข้าแล้วว่าไม่ให้กินเยอะ…แต่ข้า…คุมตัวเองไม่อยู่…”

“เจ้ากินอะไรมา” ฮ่องเต้ถาม

ฉินฉู่อวี้ก้มหน้าหนีไม่กล้าสบตาเสด็จพ่อ “กินขนมกุ้ยฮวา…แล้วก็น้ำบ๊วยเย็น”

เซียวฮองเฮาขึงตาใส่ “ใครบังอาจเป็นคนนำอาหารเหล่านี้ไปถวายองค์ชายเจ็ด ข้าอุตส่าห์สั่งห้ามไม่ให้แอบถวายอาหารให้องค์ชายเจ็ด! ข้าละอยากรู้จริงๆ ว่าผู้ใดกันที่กล้าขัดคำสั่งของข้า!”

ซูกงกงกระซิบกับฮองเฮา “วันนี้ที่ครัวตำหนักคุนหนิงกงไม่มีทำน้ำบ๊วยเย็นนะขอรับ”

ส่วนเว่ยกงกงกระแอมหนึ่งที ก่อนเอ่ย “ฝ่าบาท วันนี้ที่ตำหนักฮว๋าชิงมีทำน้ำบ๊วยเย็นขอรับ”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท