สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 448 ความโกรธของฮ่องเต้

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 448 ความโกรธของฮ่องเต้

เรื่องบางเรื่องหากไม่เห็นกับตา ชั่วชีวิตก็คงไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้

ฮ่องเต้เคยตั้งความหวังกับหนิงอ๋องไว้เป็นอย่างมาก ทว่าเพียงวินาทีเดียวทุกอย่างก็พังทลายลง

ฝ่ามือนั้นถูกส่งออกไปอย่างสุดกำลัง ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยความอัปยศอดสูและความเกรี้ยวโกรธ แรงเสียจนมุมปากของหนิงอ๋องเลือดอาบ

กู้เจียวรู้สึกว่าตอนที่ฮ่องเต้หนีเอาชีวิตรอดยังไม่ออกแรงมากมายถึงเพียงนี้

หนิงอ๋องหวาดผวาตั้งแต่ยามที่องครักษ์หลงอิ่งปรากฏตัวขึ้นแล้ว ทว่าหลังจากถูกตบหน้าเขากลับได้สงบนิ่ง

เขายกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปาก เหลียวมองหน้ากู้เจียวด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก ก่อนจะเหลียวไปมองฮ่องเต้ที่กำลังเดือดพล่าน เอ่ยเสียงเย้ยหยัน “เสด็จพ่อไม่ถามแม้สักคำว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ก็ตัดสินไปเสียแล้วว่าข้านั้นผิด เสด็จพ่อกำลังสั่งสอนบุตรชายของตนเอง หรือว่ากำลังปกป้องศักดิ์ศรีของตนต่อหน้าคนอื่น”

ทว่าฮ่องเต้นั้นมิได้หยิ่งทะนงในยศบารมีของนอกกาย

เขายอมรับว่าขายหน้ามากที่หมอเทวดาน้อยเห็นเหตุการณ์นี้ แต่หากหมอเทวดาน้อยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เขาจะไม่ขายหน้าอย่างนั้นหรือ

เจ้าลูกชายคนนี้กลับคิดว่าเขานั้นห่วงแต่จะปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง

ลูกชายคนโตของเขาลงมือฆ่าพี่น้อง เขายังหลงเหลือศักดิ์ศรีอะไรอยู่อีกหรือ

อันที่จริงหลังจากฝ่ามือนั้น ฮ่องเต้ก็แทบหมดแรงแล้ว แต่พอเจ้าลูกอกตัญญูยั่วโมโหอีกก็เกือบเป็นลมล้มพับไป

อารมณ์โกรธพยุงร่างของเขาให้ยืนมั่น แววตาผิดหวังและโกรธเกรี้ยวมองไปที่หนิงอ๋องอีกครั้ง “ความจริงเป็นอย่างไร เราจะถามเจ้า แต่ไม่ว่าเจ้าจะมีความคับข้องใจอันใด ก็มิใช่เหตุผลที่เจ้าจะง้างมีดแทงน้องชาย!”

หนิงอ๋องกำหมัดแน่น

เขาหันไปมองกู้เจียวที่เฝ้ามองเหตุการณ์อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน มุมปากแสยะยิ้มยกขึ้น “เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าพอใจหรือยัง”

แน่นอนว่าเมื่อฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนั้น เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น

กู้เจียวสีหน้าเรียบเฉยมองหนิงอ๋องที่หน้าบวมเป่งพลางเอ่ย “ก็พอได้ หากท่านล้มอย่างอเนจอนาถกว่านี้ก็คงจะดี”

หนิงอ๋องกับไท่จื่อถูกพาตัวกลับวังหลวง

เพราะไท่จื่อบาดเจ็บสาหัส ฮ่องเต้จึงให้กู้เจียวติดตามไปด้วยเพื่อรักษาไท่จื่อ

ไท่จื่อเฟยก็ถูกพาตัวกลับวังหลวงเช่นกัน

ยามฮ่องเต้รุดมาถึงที่เกิดเหตุ เขาเห็นเพียงฉากที่หนิงอ๋องกำลังจะฆ่าไท่จื่อ แต่ไม่รู้เรื่องราวข้อพิพาทของทั้งสาม แต่ไม่นานเขาก็รู้

กู้เจียวรักษาไท่จื่ออย่างตั้งใจ

หนิงอ๋องถูกฮ่องเต้ขังไว้ที่ตำหนักฮว๋าชิง ฮ่องเต้ยังไม่ไต่สวนเขา ไม่ใช่ว่าทำใจไม่ได้ที่จะไต่สวน แต่เป็นเพราะฮ่องเต้กลับถึงวังหลวงก็เป็นลมล้มพับไป

กระนั้นแล้วก็ไม่ถึงขั้นหมดสติ เพียงแต่จิตใจอ่อนล้าหลังจากพบเจอเรื่องราวไม่คาดฝัน จึงฝืนกำลังยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป

เว่ยกงกงพยุงร่างฮ่องเต้มาถึงเตียงด้วยความสงสาร “ฝ่าบาท อย่าได้ทุกข์ใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ อย่าโมโหจนร่างกายทรุดโทรมเช่นนี้เลย”

นั่นเป็นเพียงแค่คำปลอบใจ ลูกชายสองคนทะเลาะกันขนาดนี้ คนเป็นพ่ออย่างเขาจะไม่ทุกข์ใจได้อย่างไร จะไม่โมโหได้อย่างไร

“ต่อให้เรารู้อยู่แก่ใจว่าในราชวงศ์นั้นไม่มีพ่อลูก ไม่มีพี่น้อง… แต่เราก็ยังหวังอย่างสุดหัวใจว่าความเป็นพี่น้องของทั้งสองจะเหมือนกับสามัญชนทั่วไป นี่เราคาดหวังมากเกินไปหรอกหรือ”

ฮ่องเต้หลับตาลงอย่างเจ็บปวด

ทว่าภายในระยะเวลาแสนสั้นเพียงแค่ครึ่งวัน เขาก็เหมือนแก่ตัวลงหลายสิบปี ความเหนื่อยล้าที่สะสมราวกับแผ่ซ่านปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย

เว่ยกงกงทอดถอนใจ “ฝ่าบาท…”

แต่ไหนแต่ไรมาสายสัมพันธ์ในราชวงศ์นั้นไม่เคยเป็นสายสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว ที่ฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ได้ก็มาจากการกำจัดญาติพี่น้องของตนเอง

แต่เพราะมีความช่วยเหลือจากจวงไทเฮา หลายสิ่งที่เขาต้องลงมือเอง จวงไทเฮาก็เป็นคนลงมือให้แทน เรื่องชั่วช้าที่ต้องทำ จวงไทเฮาก็ได้ทำแทนเขาไปแล้ว

บัลลังก์ฮ่องเต้แทบจะถูกประเคนให้พระองค์ถึงที่ก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นบรรดาพี่น้องของพระองค์ที่ตายจากไปมีกี่คน หรือคนที่มีปรีชาสามารถคู่ควรกับตำแหน่งฮ่องเต้นั้นคือผู้ใด พระองค์ย่อมรู้ดีอยู่แต่ใจ

ในราชวงศ์นั้น เรื่องที่ไม่ควรคาดหวังมากที่สุดคงจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์…ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง…หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูก

เว่ยกงกงกลืนคำพูดไร้ประโยชน์พวกนั้นลงคอไปก่อนจะเอ่ยออกไปตามตรง “ฝ่าบาท รู้เร็วก็ย่อมดีกว่ารู้ช้านะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้กำลังอยู่ในยุคเรืองอำนาจ หากมีกระทบกระทั่งกันในหมู่พี่น้อง เขาย่อมหาทางแก้ไขได้ แต่หากเขาตายไป ลูกชายคนหนึ่งขึ้นครองราชย์ แล้วลูกชายอีกคนหนึ่งโค่นบัลลังก์ชิงอำนาจ นั่นเป็นเรื่องที่เขาเองก็จนปัญญาจริงๆ!

ราชวงศ์ก่อนล่มสลายลงเพราะเหตุอันใดน่ะหรือ ก็เพราะเซียวอ๋องไม่พอใจที่รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ จึงรวมกำลังทหารล้มอำนาจ สุดท้ายรัชทายาทก็ถูกเซียวอ๋องฆ่า เซียวอ๋องเองก็บาดเจ็บสาหัส ในตอนท้ายก็ได้จักพรรดิองค์ก่อนของราชวงศ์ปัจจุบันเป็นผู้ขึ้นบัลลังก์แทน คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กลายเป็นคนได้รับผลประโยชน์ไป

“ราชวงศ์จะล่มสลายด้วยน้ำมือเราไม่ได้ เจ้าพูดไว้ไม่มีผิด วันนี้รู้แล้วยังพอหาทางออกได้”

ส่วนทางออกคือทางใดนั้น ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยออกไป เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจ

“ทางไทเฮา…”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไว้ค่อยว่ากัน รอเราสืบเรื่องราวให้แน่ชัดก่อนแล้วจะทูลเสด็จแม่ด้วยตัวเอง” เขาทอดถอนใจ “เรียกหนิงอ๋องมาที”

ณ ตำหนักบูรพา กู้เจียวรักษาไท่จื่อเรียบร้อย ระหว่างนั้นไท่จื่อฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่ง แต่เพราะอาการของเขาดูตื่นตระหนก กู้เจียวจึงฉีดยาระงับประสาทให้ หลังจากนั้นก็ให้น้ำเกลือ

นางไม่อนุญาตให้ใครเข้ามารบกวน จนกระทั่งในน้ำเกลือไท่จื่อเสร็จเรียบร้อยถึงจะเก็บอุปกรณ์แล้วออกมา

ไท่จื่อเฟยเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นางรออยู่ด้านนอกตลอด

ส่วนชุนอิ๋งนั้นไม่เห็นแม้แต่เงา

หลังจากที่หักหลังไท่จื่อเฟยถึงสองครา

อันที่จริงนางก็เดาออกตั้งแต่ต้นแล้ว ในเมื่อหนิงอ๋องซื้อตัวชุนอิ๋งได้ คนอื่นก็ย่อมซื้อตัวนางได้เช่นกัน

“เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่” ไท่จื่อเฟยมองกู้เจียวที่ถือกล่องยาใบน้อยพลางเอ่ยถาม

กู้เจียวมองนางอย่างสงสัย “ฝีมือข้าเรื่องอะไร”

ไท่จื่อเฟยเอ่ยเสียงเย็นชา “เป็นฝีมือเจ้าทั้งหมด ที่ตีข้าจนสลบ แล้วก็ซื้อตัวชุนอิ๋ง ทั้งยังให้ชุนอิ๋งล่อไท่จื่อมาหา”

นางหายตัวไปละแวกร้านใบชา ต่อให้ชุนอิ๋งจะส่งข่าวก็ควรส่งข่าวให้หนิงอ๋องรู้ ในเมื่อนางกับหนิงอ๋องมีสัมพันธ์ลับหลัง แต่ก็ไม่อาจปัดตกข้อสันนิษฐานที่ว่านางอาจจะถูกหนิงอ๋องจับตัวไป

ทว่าชุนอิ๋งกลับบอกข่าวกับไท่จื่อ ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่านางกำลังหาโอกาสให้ไท่จื่อบังเอิญเจอนางกับหนิงอ๋อง

“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด” กู้เจียวไม่สนใจแม้แต่นิด

ไท่จื่อเฟยนั้นนางเป็นคนตีจนสลบเองก็จริง แต่ชุนอิ๋งนั้นนางไม่ได้ซื้อตัวสักหน่อย เป็นหยวนถังต่างหาก ส่วนลูกน้องของหนิงอ๋อง หยวนถังก็เป็นคนจัดการทั้งหมด

หนิงอ๋องทำร้ายหลิ่วอีเซิงจนนิ้วขาด แค้นนี้ไม่ว่าอย่างไรหยวนถังก็ต้องชำระ

ไท่จื่อเฟยกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงต่ำ “อย่าแสร้งทำเหมือนว่าไม่ใช่ฝีมือเจ้าเลย เจ้าวางยาอะไรข้า เหตุใดข้าถึงได้เอ่ยคำพวกนั้นออกมา”

กู้เจียวชักสงสัยว่านางพูดอะไรออกไปบ้าง

สิ่งที่นางฉีดเข้าร่างไท่จื่อเฟยก็เป็นยาหลอนประสาทเช่นกัน ในบางกรณีอาจทำให้คนนั้นใจกล้าบ้าบิ่น ไร้ยางอายกว่าปกติ เพราะยามคนเรามีสติมักจะถูกควบคุมโดยเหตุผลและความละอายใจ

แต่ถึงกระนั้นใช่ว่ายาประเภทนี้จะสามารถออกฤทธิ์ได้ด้วยตัวเอง

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเวินหลินหลังจะพลั้งเผลอพูดอะไรออกมา ก็ล้วนแต่เป็นความคิดที่มีอยู่จริงในจิตใจของนาง

กู้เจียวไม่แยแสนาง ก้าวเท้าลงบันไดเดินจากไป

เรียวนิ้วของไท่จื่อเฟยกำแน่น “หมอกู้! ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ เจ้าถึงได้เล่นงานข้าเช่นนี้!”

“ข้า เล่นงาน เจ้า” กู้เจียวมึนงงกับคำถามของนาง

นางไม่เคยจงใจเล่นงานเวินหลินหลัง แม้แต่ยามนี้ก็เช่นกัน หากไม่ใช่เพราะต้องการตลบหลังหนิงอ๋อง นางก็คร้านจะสนใจว่าเวินหลินหลังมีเรื่องฉาวกับผู้ใด

ไท่จื่อเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาทอดมองกู้เจียวพลางเอ่ย “เจ้าดูเหมือนจะไม่ชอบข้ามาตั้งแต่แรกพบ”

หญิงผู้นี้ช่างประหลาดเสียจริง

กู้เจียวถาม “แล้วเหตุข้าถึงต้องไม่ชอบเจ้าด้วย ไม่ชอบเจ้าก็เลยเล่นงานเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าไปเอาความคิดเพ้อเจ้อนี่มาจากไหน”

ไท่จื่อชะงักไปในทันที

ไม่เคยมีผู้ใดพูดจาเช่นนี้กับนางมาก่อน

ยามเป็นเด็กนางนั้นปากหวานเสียจนได้กินขนมพุทราที่มีเพียงเหล่าพี่ชายน้องชายเท่านั้นที่ได้กิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานางจึงได้รู้ว่าการเอาอกเอาใจคนนั้นสำคัญมากเพียงใด

และนางก็เหมือนจะมีพรสวรรค์ด้านนี้เสียด้วย หากนางต้องการแล้วก็ไม่มีใครที่นางประจบประแจงไม่สำเร็จ

ทว่าลูกสาวจวนโหวที่เติบโตในบ้านนอกคอกนาผู้นี้กลับทำนางหงุดหงิดอยู่ร่ำไป

นางคิดมากไปเอง กู้เจียวไม่ได้ทำเช่นนี้กับนางเท่านั้น แต่กู้เจียวทำเช่นนี้กับทุกคน

เพียงแต่กู้เจียวไม่สนใจว่าคนอื่นจะชอบหรือไม่ชอบตัวนาง

ไท่จื่อเฟยเอ่ย “เจ้าอิจฉาที่ข้ากับอาเหิงเคยหมั้นหมายกัน ที่อาเหิงเคยดีกับข้าใช่หรือไม่”

กู้เจียว “อ๋อ”

นางไม่ใส่ใจเลยอย่างนั้นหรือ นี่นางไม่ใส่ใจสักนิดเลยหรือ!

ไท่จื่อเฟยมองนางอย่างเหลือเชื่อ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงไม่แยแส

คงไม่ใช่เพราะว่านางยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของอาเหิงหรอกกระมัง…

กู้เจียวเหลียวกลับไปมองนาง แววตาล้ำลึก “ข้าใส่ใจเขา แล้วก็ใส่ใจคนที่เขาใส่ใจ แต่ในบรรดาคนที่เขาใส่ใจ ไม่มีเจ้า”

หัวใจของไท่จื่อเฟยเหมือนโดนมีดแทง!

กู้เจียวก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดลง “อ๋อ อีกอย่าง อย่าเรียกเขาว่าอาเหิงอีก เจ้าไม่คู่ควร”

ไท่จื่อเฟยยืนร่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

การไต่สวนหนิงอ๋องของฮ่องเต้ดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่นนัก หนิงอ๋องสามารถโยนความผิดทั้งหมดให้กับไท่จื่อเฟยได้ บอกว่านางยั่วยวนเขา หรือไม่ก็พูดไปตามตรงว่านางคิดว่าตนเป็นอาเหิง

แต่หนิงอ๋องกลับไม่ทำเช่นนั้น

ในฐานะที่เป็นชายคนหนึ่ง เขาทำใจไม้ไส้ระกำ จะเลือกใช้วิธีการใดก็ได้ แต่เขาเองก็ไม่ไร้ศักดิ์ศรีถึงขั้นโยนความผิดทั้งหมดให้กับสตรี

หนิงอ๋องคุกเข่าลงกับพื้น ไม่พูดไม่จาสักคำ

ฮ่องเต้ตรัสเสียงกริ้ว “เจ้าคิดว่าเจ้าไม่พูดอะไรแล้วเราจะสืบไม่ได้อย่างนั้นหรือ รอไท่จื่อฟื้นขึ้นมาก็ได้รู้กัน!”

หนิงอ๋องเอ่ยเสียงใจสลาย “เช่นนั้นเสด็จพ่อก็ไปถามเถิด เพราะถึงอย่างไรเสด็จพ่อก็ไม่เชื่อลูกอยู่แล้ว”

ฮ่องเต้โมโหจนแทบลมจับเพราะลูกชายคนนี้ ก่อนเกิดเรื่องลูกคนนี้สุดแสนจะว่าง่าย แล้วนี่อะไรกัน พอเกิดเรื่องน่าอัปยศเช่นนี้ขึ้น แม้แต่ปั้นหน้าเศร้า เจ้าลูกคนนี้ก็คร้านจะทำเสียแล้ว

ฮ่องเต้มองเขาอย่างหัวเสียก่อนจะตรัส “เจ้าไม่เอ่ยออกมาสักคำ แล้วเจ้าจะให้เราเชื่ออะไรเจ้า”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท