ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 225 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 225 ความงดงามในโลกมักไร้ค่า-6

หลิวรุ่ยอิ่งหยิบจอกสุราจอกหนึ่งวางตรงหน้าจินเฉาโหย่วเยวี่ย

แต่เขากลับใช้มือกั้นปากจอกไว้ สื่อว่าตนไม่ดื่ม

“นายกองหลิวจะหลับไม่สนิทได้อย่างไร”

จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถาม

“เพราะข้าต้องคอยกังวลและระวังอยู่ตลอดว่าตั๋วทองเหล่านี้จะถูกขโมยหรือถูกชิงไปหรือไม่…ท่านว่าเรื่องยุ่งยากหนักหัวสมองเช่นนี้วนเวียนอยู่กับข้าตลอดเวลาแล้วจะหลับสนิทได้อย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

จินเฉาโหย่วเยวี่ยเผยยิ้มเจื่อน

“นายกองหลิวเห็นว่าควรทำเช่นไรหรือ”

จินเฉาโหย่วเยวี่ยเอ่ยถามจริงใจยิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยคำใด

เพียงสูบยาเส้นอย่างเงียบเชียบ

จินเฉาโหย่วเยวี่ยเห็นท่าทีของหลิวรุ่ยอิ่งได้แต่ถอนหายใจ รินสุราให้ตัวเองแล้วดื่มจนหมด

“นายกองหลิว ขอตัว!”

จินเฉาโหย่วเยวี่ยลุกขึ้นประสานมือกล่าว

“เชิญ!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ไม่แน่คราวหน้าพวกเราอาจได้ดื่มสุราด้วยกันที่เมืองหลวง”

ตอนเดินถึงประตูจินเฉาโหย่วเยวี่ยหันกลับมาพูดฉับพลัน

“ข้าเลี้ยงท่าน!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

จินเฉาโหย่วเยวี่ยหัวเราะลั่นเดินออกไป

คืนนี้แสงดาวมืดหม่น

แสงจันทร์ยังไม่ปรากฏ

จินเฉาโหย่วเยวี่ยในชุดขาวก็ค่อยๆ หายลับไปในราตรีเช่นนี้

หลิวรุ่ยอิ่งเก็บจอกสุราของเขา

“การดื่มสุราเหมือนชีวิตคน หยิบจอกสุราออกมาทีละจอก รินสุราเต็มทีละจอก จากนั้นดื่มหมดทีละจอก ทยอยเก็บทีละจอกและคนก็จากไปทีละคน”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“เจ้ามีเรื่องให้ทอดถอนใจแค่นี้รึ”

ทังจงซงเอ่ยถาม

“ข้าต้องทอดถอนใจเรื่องอะไรอีกหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เมื่อครู่เจ้าเกือบได้เป็นเศรษฐีแห่งใต้หล้าเพียงเอื้อมมือรับซองจดหมาย”

ทังจงซงกล่าว

“เหตุใดข้าต้องเป็นเศรษฐีแห่งใต้หล้าด้วย”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เงินยิ่งเยอะยิ่งดี”

ทังจงซงกล่าว

“เขายังไปไม่ไกล ข้าตามไปเอามาจากเขาแล้วให้เจ้าได้”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ข้าดูออกว่าเขาอยากมอบตั๋วทองเหล่านั้นให้เจ้าด้วยใจจริง”

ทังจงซงกล่าว

“ข้าก็ดูออกว่าเขาจริงใจ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“ในเมื่อให้ด้วยใจจริง เจ้าก็ควรรับไว้”

ทังจงซงกล่าว

“ต่อให้ข้ารับมาก็จะส่งออกไปโดยเร็ว แต่ตอนนี้ในหัวข้าคิดไม่ออกว่าควรมอบให้ใคร อย่างไรคงโยนไว้บนถนนใหญ่ไม่ได้กระมัง หากคนดีหยิบไปก็เกรงว่าคนดีผู้นี้คงกลายเป็นคนเลว หากคนเลวเก็บไป ความไม่สงบในโลกนี้ก็เพิ่มขึ้นอีก”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“แล้วเหตุใดไม่เก็บไว้เอง”

ทังจงซงกล่าว

“ในใต้หล้าสิ่งที่มีมูลค่าอย่างแท้จริงย่อมไม่ใช่ตั๋วทอง แม้ตั๋วทองทำได้หลายเรื่อง แต่เรื่องที่ข้าอยากทำจริงๆ ต่อให้เป็นสิบเท่าของตั๋วทองเหล่านั้นก็ทำไม่ได้”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เจ้าก็ช่างแปลกเหลือเกิน…ก่อนหน้านี้แค่คิดว่าเจ้าน่ารัก แต่ไม่เคยรู้ว่าเจ้าแปลกขนาดนี้”

ทังจงซงยิ้มกล่าวพลางดื่มสุราจอกหนึ่ง

“ไม่แปลก ข้าก็ชอบเงิน แต่เยอะเกินไปก็เป็นภาระ พอกินพออยู่พอดื่มสุราก็พอ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าจะเลิกสุราไม่ใช่หรือ”

ทังจงซงเอ่ย

“ข้าจึงเริ่มสูบยาเส้นแล้ว”

“คนเราต้องมีงานอดิเรกด้วยหรือ”

ทังจงซงเอ่ยถาม

“คนเราต้องมีงานอดิเรก”

หลิวรุ่ยอิ่งทวนคำพูดของทังจงซงหนหนึ่ง

แต่ใช้น้ำเสียงมั่นใจอย่างยิ่ง

อยู่เหนือเครื่องจองจำในโลก แสวงหาความสมดุลไม่หยุดหย่อน

หลิวรุ่ยอิ่งอาจไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้

แต่การกระทำของเขาสอดคล้องกับสิ่งนี้จริงๆ

ทังจงซงคิดว่าคนเกิดมาย่อมแตกต่างกัน

หากตนไม่ใช่ลูกชายของทังหมิง

ไม่ใช่คุณชายแห่งหัวเมืองรัฐติง

ตนอาจจะแหกขนบธรรมเนียมไม่น้อยกว่าหลิวรุ่ยอิ่งก็ได้

แต่โชคชะตาเล่นตลก

เขาไม่เพียงไม่อาจหลุดพ้นจากเครื่องจองจำใดๆ

แต่กลับจะสวมให้ตัวเองเพิ่มอีกไม่น้อย

“คืนนี้ไม่กลับแล้วหรือ”

ทังจงซงเอ่ยถาม

“อย่างน้อยก็ต้องดื่มสุราให้หมด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

แม้ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา แต่หากต้องการ คนเราสามารถทำให้งานเลี้ยงนี้ยาวขึ้นอีกเล็กน้อยได้เสมอ

ขอเพียงยาวขึ้นสักเล็กน้อย การเลิกราก็จะช้าลงหน่อย

สิ่งใดจะสำเร็จได้ล้วนขึ้นอยู่กับคน

หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยามใดแล้ว

เพียงเห็นแสงจันทร์บนฟ้าปรากฏขึ้นมาแล้ว

สาดส่องทั่วทิศ

ค่ำคืนที่ไม่มีไฟตะเกียง ไม่มีสิ่งใดเจิดจ้ากว่าแสงจันทร์

แต่ที่เซียวจิ่นข่านอยู่กลับไม่เป็นเช่นนี้

…………………..

เซียวจิ่นข่านรับ ‘แผ่นหยกไท่ไป๋’ ของเขาไว้บนมือ

บอกว่าเป็นแผ่นหยก ความจริงหน้าตาเหมือนหนังสือเล่มเล็ก

น่าเสียดายหนังสือเล่มนี้ไม่มีเนื้อหา

มีเพียงปกหน้ากับปกหลัง

เมื่อนำแผ่นหยกไท่ไป๋ออกมา

กระทั่งแสงจันทร์บนฟ้าก็ดูมืดมัวผิดปกติ

เหมือนมันดูดซับแสงสว่างทั่วฟ้าไว้

แต่มีดวสันต์เย็นเยือกของดรุณสกัดจุดก็ไม่ใช่ของธรรมดา

แม้ไม่อาจประชันความเจิดจ้ากับแผ่นหยกไท่ไป๋ แต่ก็ยังเปล่งแสงอ่อนๆ

มีดออกจากฝักนานแล้ว

แต่แผ่นหยกไท่ไป๋ยังไม่เปิดฉาก

ดรุณสกัดจุดรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่นหยกในมือเซียวจิ่นข่านส่งมาเป็นระยะได้อย่างฉับไว

ประหนึ่งแบกฟ้าดินไว้บนไหล่ของตน

ดังนั้น

เขาจึงออกมีด

เพราะเขาจำต้องออกมีดภายใต้แรงกดดันนี้

หากยังรอต่อไป

เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทับตายทั้งเป็นเช่นนี้เลยหรือไม่

ตอนคนกำลังริษยาหรือหวาดกลัว

มักจะต่อต้านเล็กน้อย

แม้รู้ว่าการต่อต้านนี้อาจไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังทำ

เพราะทำแล้วอาจยังมีโอกาส

แต่หากไม่ทำก็ไม่มีโอกาสเลยแม้แต่น้อย

จะว่าไปคนเราทำเรื่องต่างๆ ก็เพราะไม่รู้ผลลัพธ์

หากเราสามารถรู้ผลลัพธ์ของทุกเรื่อง เช่นนั้นไม่ว่าทำสิ่งใดก็ไร้ความหมาย

ก็เหมือนดื่มสุรา

แม้ทุกคนล้วนมีปริมาณที่เป็นขีดจำกัด

แต่บางครั้งสามารถดื่มเกินขีดจำกัดนี้ได้หลายจิน

บางครั้งดื่มน้อยกว่าขีดจำกัดสามสี่จอก

ไม่รู้ผลลัพธ์ของเรื่องราวเป็นอย่างไร และไม่รู้ตัวเองจะเมาเมื่อไร

ขั้นตอนที่เปลี่ยนความไม่รู้ให้กลายเป็นความจริงนี้ถึงจะเป็นแรงขับเคลื่อนพื้นฐานที่สุดในทุกการกระทำของมนุษย์

ตอนนี้ดรุณสกัดจุดออกมีด

เพียงเพราะอยากกำจัดความกลัวของตัวเองเท่านั้น

เขาไม่อยากให้ความกลัวของตัวเองกลายเป็นความจริง

จึงต้องฆ่ามันให้ตายตอนอยู่ในเปลก่อนที่มันจะเติบโต

มีดของดรุณสกัดจุดไม่เร็วนัก

แม้ลานหลังบ้านไม่ได้กว้างขนาดนั้น

แต่มีดของเขาอยู่ยังห่างจากตัวเซียวจิ่นข่านช่วงหนึ่ง

กระนั้นเซียวจิ่นข่านกลับหลบคมมีดนี้ของเขาได้

ดรุณสกัดจุดเพิ่งเห็นในชั่ววินาทีสุดท้ายว่ามีดของตนฟันอากาศ

เขามองมีดและมือของตัวเองอย่างเหลือเชื่อ

เพราะเขาไม่เคยพลาดมาก่อน

ทุกครั้งที่ออกมีดต้องได้บางอย่างเสมอ

ถ้าไม่ใช่เลือดคนก็เป็นชีวิตคน

แต่มีดนี้เหวี่ยงไปเปล่าๆ เหมือนเด็กเล่น

ไม่ได้เอาสิ่งใดไป

ไม่มีกระทั่งเสียงผ่าอากาศ

คนธรรมดาในเมืองจิ่งผิงต้องมองว่ามีดนี้ไม่ยอดเยี่ยมเป็นแน่

ถึงขั้นเชื่องช้าอยู่เล็กน้อยด้วย

แต่เถี่ยกวนอินและเยี่ยเหว่ยกลับมองว่ารุนแรงอย่างยิ่ง

หากคู่ต่อสู้ของดรุณสกัดจุดไม่ใช่เซียวจิ่นข่าน

เขาคงสังหารอีกฝ่ายได้ตั้งแต่ออกมีดแรก

น่าเสียดายเขาหาคู่ต่อสู้ผิดคน

เซียวจิ่นข่านคือการมีอยู่ที่เขาฆ่าไม่ตาย

อย่างน้อยก็ในตอนนี้

ดรุณสกัดจุดเป็นผู้ฝึกยุทธ์

ขอบเขตอาจแตะถึงบรมภูมิขั้นสูงสุด

แต่เซียวจิ่นข่านไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์

เขาเป็นสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋

ผู้ฝึกยุทธ์ย่อมฝึกยุทธ์ สิ่งที่ฝึกเป็นเพียงวิถีทางภายใต้หลักสัจธรรม

แต่สิ่งที่เซียวจิ่นข่านกุมอยู่ในมือเป็นหลักสัจธรรมที่แท้จริง

เหมือนมนุษย์คนหนึ่งมองรังมดในกล่อง

ในบรรดามดอาจมีตัวแข็งแกร่งที่ใช้กรามอันทรงพลังของมันฉีกหัวได้หลายวิธี

แต่ในสายตามนุษย์มดยังคงเป็นมด

ต่อให้เป็นมดที่แข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นเพียงสิ่งที่เขาจัดการได้ด้วยการเป่าลม

เยี่ยเหว่ยเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เขาจึงไม่ห่วงลูกศิษย์ของตน

เถี่ยกวนอินกลับตะลึงเล็กน้อย

เขารู้ว่าสุดยอดนักพรตอินหยางเก่งกาจ

แต่นึกไม่ถึงว่าจะบรรลุถึงขั้นนี้ได้

หากโลกนี้มีเทพและมารจริง

คิดว่าคงเป็นสุดยอดนักพรตอินหยางห้าคนนี้กระมัง

แม้พวกเขาไม่อาจอยู่นานเท่าฟ้าดินหรือส่องสว่างเช่นตะวันจันทรา

แต่เป็นความจริงที่ว่าสามารถรู้ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้และทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้

หากตัวเถี่ยกวนอินมีความสามารถเช่นนี้

เขาก็อาจจะไม่สนใจชีวิตยืนยาวอำนาจเงินทองขนาดนั้นแล้ว

การมองโลกได้ทะลุปรุโปร่งเหมือนเป็นเรื่องเลิศล้ำแปลกใหม่ยิ่งอย่างหนึ่ง

แท้จริงแล้วสำหรับคนคนหนึ่งกลับเป็นเรื่องทุกข์ทรมานมาก

ดรุณสกัดจุดหลับตาปรับลมปราณชั่วครู่

เขาปล่อยให้อินหยางสองขั้วในกายผ่อนคลายครู่หนึ่ง

มีตึงมีหย่อนถึงจะแสดงพลังได้มากกว่าเดิม

หากตึงตลอดหรือหย่อนตลอด

เช่นนั้นสุดท้ายก็จะตึงจนขาด ช้าเร็วก็จะหย่อนจนดึงไม่ขึ้น

เขาลืมตาฉับพลัน

เจตจำนงแห่งมีดในดวงตาน่าเกรงขาม!

แผ่รังสีทรงพลังที่ไม่อาจต้านทานออกมา

เซียวจิ่นข่านเหมือนคาดไว้แล้วว่าดรุณสกัดจุดจะข้ามขีดจำกัดในตอนนี้ มุมปากเขายกยิ้มบางๆ

ดรุณสกัดจุดออกอีกมีดหนึ่ง

ตอนนี้นอกจากมีดในมือ ในตาของเขาก็มีมีดเช่นกัน

มีดสามเล่มเป็นหนึ่งเดียว บุกสังหารเซียวจิ่นข่านอย่างเหี้ยมโหด

เทียบกับก่อนหน้านี้

มีดนี้เคลื่อนไหวน้อยกว่ามาก

แม้มีดสองเล่มในดวงตาทรงอานุภาพ

แต่มีดในมือกลับเป็นลมอ่อนบนแดนสุขสัญจร ก้อนเมฆในเมืองติ้งซีอ๋อง

เบิกบานสุขใจ ผ่อนคลายสบายๆ เช่นนั้น

เพียงแต่บนมีดนี้มีบางอย่างที่มองไม่เห็น

คนอื่นมองไม่เห็น

แต่เซียวจิ่นข่านมองเห็น

บนปลายมีดเล่มนี้แฝงคำสั่งของประมุขหอทรงภูมิ บนด้ามมีดผูกสายใยระหว่างห้ายอดดรุณ

ในเมื่อเซียวจิ่นข่านเห็นช่องโหว่ในมีดของเขาแล้ว การคิดจะทำลายมีดเล่มนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

แต่เซียวจิ่นข่านกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น

เขาเปิดแผ่นหยกไท่ไป๋

หนีบตัวมีดของดรุณสกัดจุดไว้เบาๆ

‘วสันต์เย็นเยือก’ ของดรุณสกัดจุดพลันเดินหน้าถอยหลังไม่ได้

ฉับพลันนั้น

ดรุณสกัดจุดสั่นสะเทือนทั้งร่างเหมือนตื่นรู้เห็นแจ้ง

“ที่แท้…นี่เป็นสิ่งที่เจ้าคิดไว้หมดแล้ว”

ดรุณสกัดจุดผ่อนมือที่จับมีดไว้พลางกล่าว

‘วสันต์เย็นเยือก’ ถูกหนีบไว้ตรงกลางแผ่นหยกไท่ไป๋อย่างแน่นหนาเช่นนี้

“ข้าไม่ได้คิดคำนวณสิ่งใด ข้าเพียงทำตามกฎเท่านั้น”

เซียวจิ่นข่านกล่าว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังต้องรับมีดข้า นี่เป็นกฎด้วยงั้นรึ”

ดรุณสกัดจุดเอ่ยถามด้วยความฉงน

เซียวจิ่นข่านพยักหน้า

เขาขัดขวางไม่ให้ดรุณสกัดจุดไปทำภารกิจหอทรงภูมิ นี่จึงเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตามมา

ทุกสรรพสิ่งในโลก ตราบใดที่เราเข้าไปแทรกแซงก็ต้องจ่ายด้วยบางอย่าง

มีดที่รับไว้นั้นก็เป็นผลที่เซียวจิ่นข่านต้องแบกรับ

ถึงอย่างนั้นเมื่อแผ่นหยกไท่ไป๋ออกมาก็เป็นเหตุอีกต่อหนึ่ง

แต่ดรุณสกัดจุดก้าวข้ามขีดจำกัดวิถียุทธ์ระหว่างไม่เข้าใจสถานการณ์ นี่เป็นผลของเหตุนี้

จนถึงตอนนี้

ผลกรรมระหว่างเซียวจิ่นข่านกับดรุณสกัดจุดแบ่งชัดเจน ต่างฝ่ายต่างไม่ติดค้าง

ต่อไปจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของดรุณสกัดจุดแล้ว

เซียวจิ่นข่านจะไม่ก้าวก่าย

และจะไม่เอ่ยคำชี้นำ

เขาจะยืนรออยู่เงียบๆ เช่นนี้เท่านั้น

…………………………………………

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท