บทที่ 1291 เต๋าของเยี่ยถัง
บทที่ 1291 เต๋าของเยี่ยถัง
เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกางฝ่ามือออก จากนั้นแสงสว่างก็ส่องออกมา เปล่งประกายระยิบระยับ ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลังที่อบอุ่นมหาศาล
เพียงคิดในใจ กระบี่อมตะระดับวิญญาณทมิฬก็ลอยขึ้นมา มันถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างในฝ่ามือของเขา
ฟู่! ฟู่!
ทันใดนั้น ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างกะทันหันรอบ ๆ กระบี่อมตะระดับวิญญาณทมิฬ ราวกับกำลังถูกเผาด้วยเปลวไฟอันร้อนแรง จนกระบี่แทบหลอมละลาย
“ที่ใดมีแสงสว่าง ความชั่วจะหมดไป อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ อยู่ที่ความสามารถในการชำระล้าง!”
เฉินซีจมอยู่กับความคิด การชำระล้างคือพลังที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแสงสว่างเท่านั้น มันสามารถทำลายความชั่วร้ายทั้งหมด ทำลายบาปและความโสมมทั้งมวล มันจึงมีอานุภาพมหาศาล
เพียงพลิกฝ่ามือ แสงสว่างก็หายไป และถูกแทนที่ด้วยความมืดมิด
เมื่อมองจากระยะไกล ความมืดมิดนี้ดูราวกับตัดออกมาจากม่านแห่งรัตติกาล มันมีสีดำสนิทที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง จนดูเหมือนจะสามารถกลืนกินวิญญาณได้ ทั้งยังทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกและหวาดกลัวราวกับเป็นหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง มืดสนิทจนไร้แสงสว่าง และไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ๆ
ขณะที่กวาดฝ่ามือผ่านตัวกระบี่เบา ๆ พลังงานแห่งความมืดก็ถาโถมเข้ามา ซึ่งแทบจะในทันที วิญญาณของกระบี่อมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นสูงก็แทบถูกทำลายไปกว่าครึ่ง และระดับของมันก็ถูกลดระดับลงเหลือเพียงขั้นกลาง!
“เมื่อความมืดเข้าครอบงำ ชีวิตก็สูญสิ้น อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันคือการกลืนกินพลังชีวิต!”
เฉินซีหยิบกระบี่ขึ้นมาและพินิจอยู่นาน ก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ
ในช่วงห้าเดือนในโลกแห่งดารา นอกเหนือจากขัดเกลาการบ่มเพาะ เฉินซียังเข้าใจมหาเต๋าแห่งแสงสว่างและความมืดที่หาได้ยาก ซึ่งหลังจากเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ พลังของมหาเต๋าทั้งสองก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ขั้นต่อไป ข้าต้องหลอมรวมพวกมันให้กลายเป็นกฎแห่งมหาเต๋า เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการควบแน่นเป็นตราศักดิ์สิทธิ์ไท่จี๋… อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่น่าเสียใจคือหนทางในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงยังอีกไกล…” เมื่อหวนนึกถึงขอบเขตการบ่มเพาะ เฉินซีก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดที่ตนบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางขณะที่อยู่ในสุสานของราชันเซียน ความเร็วในการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงกลับช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม เฉินซีทราบดีว่า ตนเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำเมื่อสองปีก่อน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เขาอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นกลางแล้ว และความเร็วในการบ่มเพาะดังกล่าวก็น่าตกใจอยู่พอสมควร หากต้องการทะลวงผ่านขอบเขตอีกครั้ง หากไม่เผชิญกับวาสนาโดยบังเอิญ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวหน้าในช่วงเวลาสั้น ๆ
“ข้าสงสัยว่าเหตุใดแม่นางเตียนเตี้ยนถึงมีความมั่นใจว่าข้าจะบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงได้ภายในหนึ่งปี…” เฉินซีนึกถึงหญิงสาวลึกลับที่พบในภัตตาคารเซียนเสน่หาเมื่อวันก่อน และแน่นอน เขาจำชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่นางครอบครองอยู่ได้เช่นกัน
“ช่างเถอะ อีกนานกว่าจะถึงกำหนด และการบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารานั้นเทียบเท่ากับห้าปีในโลกภายนอก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงได้ในเร็ววัน…”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะสลัดความคิดฟุ้งซ่านในใจ ชายหนุ่มเหยียดร่างกายอย่างสง่างาม ก่อนจะออกจากโลกแห่งดาราไป
ช่วงห้าเดือนในโลกแห่งดารา แม้ว่าการบ่มเพาะจะไม่คืบหน้า แต่ความแข็งแกร่งกลับล้ำลึกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเข้าใจในมหาเต๋าแห่งแสงสว่างและความมืด ทำให้พลังฝีมือเพิ่มขึ้นและพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด
ยิ่งกว่านั้น เฉินซีตั้งใจที่จะคว้าโอกาสนี้ เพื่อมุ่งหน้าสู่แดนเซียนสวรรค์มายาอีกครั้ง และทดสอบว่าความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นมากเพียงใด
ทว่าทันทีที่ออกจากเคหา ความสนใจของเขาก็ถูกดึงดูดโดยการต่อสู้ที่สะท้านสวรรค์ทันที
“หืม?”
เฉินซีเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และเห็นว่ามีร่างสองร่างกำลังต่อสู้กันเหนือภูเขาวิถีนภา เจตจำนงกระบี่กวาดไปทั้งแนวนอนและแนวตั้ง พวกมันบดขยี้มวลเมฆที่อยู่รอบ ๆ จนแตกกระจาย การต่อสู้นี้รุนแรงจนเปลี่ยนผืนฟ้าให้กลายเป็นสนามรบที่ดุเดือด
หนึ่งในนั้นสวมเสื้อผ้าสีขาวดุจหิมะ มีใบหน้าที่หล่อเหลาเย็นชา ในมือถือกระบี่อมตะสีดำสนิท และทุก ๆ กระบวนท่าที่เขาใช้ออกไป เจตจำนงกระบี่จะฉีกผ่านท้องฟ้า เปี่ยมไปด้วยพลังสังหารและไร้ความปรานี
น่าตกใจที่คนผู้นั้นคือหลิงไป๋!
“เยี่ยมมาก การบ่มเพาะของเจ้าตัวน้อยนี้น่าจะอยู่ในขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงแล้ว ยิ่งกว่านั้น การเข้าใจในเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก และครอบครองพลังของระดับปรมาจารย์ในเต๋าแห่งกระบี่”
เฉินซีหรี่ตาลง ก่อนที่ความประหลาดใจจะฉายวาบอยู่ในดวงตา คาดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านมาหลายปี ความแข็งแกร่งของหลิงไป๋จะพัฒนามาถึงระดับดังกล่าวจริง ๆ
ส่วนคู่ต่อสู้ของหลิงไป๋คือชายหนุ่มร่างกำยำที่ปล่อยผมยาวปลิวไสวเคลียไหล่ มีคิ้วดกหนา ดวงตากลมโต และรูปร่างแข็งแรง คนผู้นั้นถือดาบอมตะสีเขียวยาวหกฉื่อที่โหมกระหน่ำด้วยประกายดาบที่รุนแรงและรวดเร็ว
ยิ่งกว่านั้น ทุก ๆ กระบวนท่ายังแฝงกลิ่นอายห้าวหาญและครอบงำ ราวกับสามารถกวาดล้างใต้หล้าและปกครองโลกา ซึ่งกลิ่นอายดังกล่าวถึงขั้นทำให้เฉินซีตกตะลึงอยู่ในใจ “คนผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา หากเปรียบเทียบเมิ่งฉีกับคนผู้นี้ เมิ่งฉีเทียบไม่ติดเลย”
“เขาเป็นใครกัน?” เฉินซีขมวดคิ้ว ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามีคนจำนวนมากยืนอยู่ใกล้ภูเขาวิถีนภา คนเหล่านั้นกำลังดูการต่อสู้อยู่ น่าแปลกที่มีร่างของชิงเยี่ยอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วย
ในขณะเดียวกัน ชิงเยี่ยก็สังเกตเห็นเฉินซี เขาจึงทะยานมาหาทันที ก่อนจะหัวเราะอย่างขมขื่น “ศิษย์พี่เฉินซี อย่าได้กังวล นั่นคือศิษย์พี่เยี่ยถัง เขาไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้ประลองกับคู่ต่อสู้ที่ดีเช่นนี้ได้”
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ชิงเยี่ยที่เป็นเพื่อนบ้านของเฉินซี ได้รู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของหลิงไป๋ อาหมาน และไป๋คุยแล้ว ซึ่งเขาก็ทราบอย่างชัดเจนว่า เฉินซีห่วงใยเจ้าตัวเล็กทั้งสามนี้มากแค่ไหน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฉินซีพยักหน้า พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มจ้องมองไปยังกลางอากาศ ก่อนจะกล่าวว่า “นั่นคือศิษย์พี่เยี่ยถังหรือ? พลังฝีมือของเขาน่าเกรงขามจริง ๆ คู่ควรกับการเป็นหนึ่งในสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียนอย่างยิ่ง”
อเวจีเหล็กเยี่ยถัง!
เฉินซีเคยได้ยินชื่อนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และจนถึงตอนนี้ ชื่อนี้ยังคงอยู่ในอันดับที่สองบนเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วง เยี่ยถังผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้า
เขาเป็นหนึ่งในตัวตนที่ทรงอิทธิพลอันดับต้น ๆ ในหมู่ศิษย์ขอบเขตเซียนทองคำแปดร้อยคนของเขตฝ่ายใน
ชิงเยี่ยก็ถอนหายใจเช่นกัน “ใช่แล้ว ตัวตนอย่างศิษย์พี่เยี่ยถังได้บรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงมานานแล้ว และชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังจนทุกคนต่างทราบกันดี”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อและกล่าวว่า “แต่หลิงไป๋ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เขาสามารถประมือกับศิษย์พี่เยี่ยถังได้อย่างสูสี และนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้”
น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าคนตัวเล็ก ๆ ที่สูงเพียงสี่ฉื่อคนนี้ จะสามารถระเบิดพลังฝีมืออันน่าสะพรึงกลัวยามต่อสู้
เฉินซียิ้มเบา ๆ เพราะเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นพลังฝีมืออันน่าเกรงขามที่หลิงไป๋สำแดงออกมา
“ฮึ่ม! พอแล้ว เจ้าเอาแต่ยั้งมือ การต่อสู้เช่นนี้ไม่สนุกเอาเสียเลย!” เหนือท้องฟ้าขึ้นไป หลิงไป๋แค่นเสียงเย็น ก่อนจะทะยานวูบวาบอยู่กลางอากาศและออกจากสนามรบไป
“ฮ่า ฮ่า เป็นข้าที่ผิดเอง ถึงอย่างไรก็ที่นี่ก็คือสถานที่บ่มเพาะ ไม่ใช่สนามรบ ไว้เราหาโอกาสต่อสู้ในสนามรบให้สาแก่ใจกันเถอะ ถึงตอนนั้นข้าจะไม่ยั้งมือเช่นนี้อย่างแน่นอน” เยี่ยถังเอาดาบพาดไหล่ และหัวเราะดังสนั่น ทำให้เส้นผมปลิวไสว ทั้งเผยท่าทางห้าวหาญ ไม่ยึดติด และเบิกบานอย่างยิ่ง
ขณะที่กล่าว ร่างของพวกเขาร่อนก็ลงมายังภูเขาวิถีนภา
“กระบี่ของข้ามีเพื่อปลิดชีพและสังหารศัตรู ไม่ได้มีไว้เพื่อประลอง ข้าไม่อยากยุ่งกับเจ้าแล้ว” หลิงไป๋จ้องมองอย่างโกรธเคือง ก่อนจะสังเกตเห็นเฉินซี ดังนั้นร่างของเขาก็สว่างวาบ กลับคืนสู่ความสูงสี่ฉื่อเช่นเดิม จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเฉินซี “เฉินซี รีบหยุดไอ้บ้านั่นเร็วเข้า จู่ ๆ เขาก็มาหาเรื่องข้า และข้าเลี่ยงไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาช่างไร้เหตุผลจริง ๆ…”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าศิษย์สายในที่ชมการต่อสู้ก็อ้าปากค้าง “เจ้าตัวเล็กนี่ช่างขวัญกล้าจริง ๆ เขากล้าเรียกศิษย์พี่เยี่ยถังว่าไอ้บ้า และยังบอกว่า…เป็นคนไร้เหตุผลอีกด้วย?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยถังกลับหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม เขาจ้องมองเฉินซีอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะยิ้มเบา ๆ เผยฟันซี่ขาว แล้วกล่าวว่า “เจ้าคือศิษย์น้องเฉินซีหรือ? ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามานานแล้ว”
“คารวะ ศิษย์พี่เยี่ยถัง” เฉินซีประสานมือคารวะ ทั้งรู้สึกว่าเยี่ยถังเป็นคนที่มีนิสัยตรงไปตรงมาและไม่ยึดติด เป็นดั่งวีรบุรุษพเนจรในนิทานปรัมปรา ซึ่งมีบุคลิกที่มีเสน่ห์และโดดเด่น
“เจ้าตัวเล็กที่อยู่ข้างเจ้าไม่เลวเลย เขาทำให้ข้ารู้สึกอยากมีสัตว์เลี้ยงเช่นกัน ฮ่า ๆ ๆ”เยี่ยถังขยิบตาให้หลิงไป๋อย่างหยอกล้อ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงท่าทีรังเกียจ เขาก็หัวเราะดังลั่น เห็นได้ชัดว่าเขาชอบหลิงไป๋มาก
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นผายมือไปทางสหายตัวน้อย “นี่คือหลิงไป๋ สหายของข้า และเขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยง”
เยี่ยถังตกตะลึง จากนั้นมองไปทางเฉินซี ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่เลว ไม่เลว ไว้เรามาประลองกันอีกครั้ง หลังจากศิษย์น้องเฉินซีบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง ข้าคงต้องขอตัวก่อน ศิษย์น้องเฉินซี หากเจ้าต้องการสิ่งใด ก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็หันกลับจากไปอย่างสบาย ๆ ทั้งยังได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจามสายลม
“เกิดมาเพื่อสูงเทียมฟ้า การต่อสู้จะไม่มีวันจบสิ้น จนกว่าดาบจะขึ้นสนิม”
“หากวันหนึ่งข้าขึ้นไปถึงยอดฟ้า ความเศร้าโศก ความยินดี ความรุ่งโรจน์ และความอัปยศก็จะหายไป พร้อมกับเสียงหัวเราะ…”
เสียงของเขาฟังดูหยาบกร้าน ขณะที่มันล่องลอยไปในฟ้าดิน
“ศิษย์พี่เยี่ยถัง เป็นคนใจกว้าง ร่าเริง และไม่ยึดติดอย่างแท้จริง เขาเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดา” แม้ว่าเฉินซีจะพบกับเยี่ยถังเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เขาก็ชอบนิสัยที่ไม่ยึดติดของเยี่ยถัง
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่เยี่ยถังเคยกล่าวไว้ว่า เราสามารถเลือกที่จะไม่แสวงหาในเต๋าได้ แต่หัวใจไม่อาจเป็นอิสระ” ชิงเยี่ยเห็นด้วยอย่างยิ่ง ท่าทางเต็มไปด้วยความเคารพและความชื่นชมต่อเยี่ยถัง
เฉินซีจมอยู่ในภวังค์ “ทุกคนล้วนมีเส้นทางสู่เต๋าของตนเอง และบางทีเต๋าของเยี่ยถังอาจเป็นเต๋าแห่งอิสระซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยึดติด”
หลังจากนั้น เฉินซีกล่าวลาชิงเยี่ย ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังแดนเซียนสวรรค์มายา
“เฉินซี ฝีมือข้าด้อยกว่าเยี่ยถัง” ในระหว่างทาง จู่ ๆ หลิงไป๋ก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าใช้พลังทั้งหมดสู้กับเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขายั้งพลังไว้บางส่วน เขาแข็งแกร่งจริง ๆ”
เฉินซีพยักหน้า “นั่นเป็นเรื่องปกติ ศิษย์พี่เยี่ยถัง เป็นหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน และเป็นหนึ่งในศิษย์ขอบเขตเซียนทองคำที่แข็งแกร่งที่สุดของเขตฝ่ายใน
หลิงไป๋เปลี่ยนหัวข้อและถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าเอาชนะเขาได้หรือไม่?”
เฉินซีเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ย “ตอนนี้ข้าอาจด้อยกว่าเขา แต่ในอนาคตมันอาจไม่เป็นเช่นนั้น…” สิ้นคำ ใบหน้าหล่อเหลาก็เต็มไปด้วยความทรนงและความมั่นใจอย่างอธิบายไม่ได้
ในชีวิตของคนเรา ไม่ควรหยิ่งผยองและยโสโอหัง
แต่ก็ไม่ควรถ่อมตนจนเกินไป!