ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 227 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 227 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-2

“ถึงข้าจะโกหกเจ้า แต่เจ้าก็คงไม่ถึงขั้นต้องฆ่าคนกระมัง”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ในใจเขาก็โมโหเล็กน้อย

คิดว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงไม่แบ่งแยกถูกผิดเช่นนี้

“ข้าไม่ได้อยากฆ่าท่าน”

เด็กหนุ่มกล่าวเรียบนิ่ง

“กระบี่ของเจ้าพุ่งเข้าลำคอข้า หากข้าตอบสนองช้าอีกครู่เดียว แค่เริ่มก็ถูกเจ้าฆ่าตายแล้วไม่ใช่หรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

ตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มน่าสงสารแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่น่ารัก

ถึงขั้นรู้สึกเขาน่าชังด้วย

เพราะท่าทางเถียงข้างๆ คูๆ ของเขาทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ชอบใจอย่างยิ่ง

หากเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเพราะเจ้าโกหกข้า ข้าจึงอยากสังหารเจ้า หลิวรุ่ยอิ่งยังรู้สึกว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจ

แต่ตอนนี้กลับไม่เหลือความรู้สึกใดแล้ว

“บ้านของเซียวจิ่นข่านคือที่นี่แหละ เจ้าอยากหาเขาก็ไปหาเถอะ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวกับเด็กหนุ่มพลางชี้บ้านของเซียวจิ่นข่าน

อารมณ์อยากคุยเล่นก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น เขาแค่อยากกลับไปอาบน้ำแล้ว

“เซียวไต้ซือไม่อยู่ในบ้าน”

เด็กหนุ่มยืนมองเข้าไปด้านในตรงหน้าประตูพลางกล่าว

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“เพราะในบ้านมืดมิด ไม่ได้จุดตะเกียง”

เด็กหนุ่มกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งหลุดขำพรืดออกมาโดยไม่รู้ตัว

เด็กหนุ่มคนนี้พูดอยู่กับปากว่าอยากพบเซียวจิ่นข่าน ทั้งยังโขกศีรษะเรียกอาจารย์ไม่หยุด

แต่ไม่รู้กระทั่งว่าเซียวจิ่นข่าน อาจารย์ของเขาเป็นคนตาบอดและไม่จำเป็นต้องจุดตะเกียง

“เจ้าเป็นศิษย์ที่เซียวจิ่นข่านรับตั้งแต่เมื่อไร”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เซียวไต้ซือ!”

เด็กหนุ่มพูดแก้

“…เจ้าเป็นศิษย์ที่เซียวไต้ซือรับตั้งแต่เมื่อไร”

หลิวรุ่ยอิ่งต้านความดื้อรั้นของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ไหว ได้แต่เปลี่ยนคำเรียกและถามใหม่อีกรอบอย่างจนใจ

“ห้าปีก่อน”

เด็กหนุ่มกล่าว

ตอนนี้ฟ้าสว่างรางๆ แล้ว

ทางตะวันออกเป็นสีขาวเหมือนท้องปลา

หลิวรุ่ยอิ่งพินิจพิเคราะห์เด็กหนุ่มโดยอาศัยแสงอ่อนๆ

หัวคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย

‘ห้าปีก่อน…คิดดูเขาก็อายุไม่ถึงสิบกว่าขวบด้วยซ้ำ นี่ไม่น่าเป็นไปได้…’

หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ

“ห้าปีก่อนเซียวไต้ซือบังเอิญพบข้าตามแนวป่า ให้ข้ามาคารวะเขาเป็นอาจารย์ห้าปีให้หลัง ยังบอกข้าอีกว่าตอนนั้นเขาจะอยู่ที่หอทรงปัญญา เขาทิ้งกระดาษแผ่นหนึ่งกับแผนที่ฉบับหนึ่งไว้ให้ข้าด้วย”

เด็กหนุ่มกล่าวเหมือนดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่เชื่อใจเขา

เขาล้วงซองจดหมายสองซองออกจากในอกวางบนตัวกระบี่และยื่นให้หลิวรุ่ยอิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งรับมาดู เป็นลายมือของเซียวจิ่นข่านจริงๆ

แต่นี่ทำให้เขาฉงนกว่าเดิม

“เจอกันเพียงครั้งเดียวเจ้าก็จำได้ห้าปีเลยหรือ ทั้งยังเคารพเขาขนาดนี้?”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เพราะเซียวไต้ซือช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย”

เด็กหนุ่มกล่าว

“เขาช่วยเจ้าอย่างไร”

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเด็กหนุ่มคนนี้เริ่มพูดดีๆ กับตนแล้วจึงเอ่ยถามต่อ

“นี่เกี่ยวกับท่านด้วยหรือ”

เด็กหนุ่มย้อนถาม

ประโยคนี้ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งพูดไม่ออกโดยแท้

เขาคิดว่าคุยกับเด็กหนุ่มคนนี้ต่อไม่ได้แล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ หมุนกายจะกลับไป

“หยุด!”

เด็กหนุ่มพูดอยู่ข้างหลังเขา

คนไม่เพียงอยู่หลังหลิวรุ่ยอิ่ง

กระบี่ของเขาก็จ่ออยู่กลางสันหลังหลิวรุ่ยอิ่งเช่นกัน

“เจ้ายังอยากสังหารข้าใช่หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวหยอกเย้า

เขาไม่กลัวเด็กหนุ่มคนนี้

แต่ก็ไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคิดจะทำอะไรกันแน่

“ท่านเป็นใคร ทำไมเดินออกมาจากในบ้านตอนเซียวไต้ซือไม่อยู่”

เด็กหนุ่มเอ่ยถาม

“ถามคนโดยใช้กระบี่จ่อไม่ใช่วิธีที่ดี เพราะตอนถูกข่มขู่คนมักพูดคำโกหกทั้งนั้น”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย

เหมือนรู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งพูดมีเหตุผลทีเดียว

“ตอนนี้ท่านพูดมาเถอะ หากโกหกข้า ข้าจะสังหารท่านจริงๆ”

เด็กหนุ่มวางกระบี่กล่าว

“เพราะข้าเป็นเพื่อนสนิทของเขา”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“เพื่อนสนิทหรือ แล้วเหตุใดตอนแรกท่านต้องแสร้งว่าตัวเองคือเซียวไต้ซือ”

เด็กหนุ่มพลันคิดได้ เตรียมยกกระบี่ในมืออีกครั้ง

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มเจื่อนครู่หนึ่ง

เขาหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ

ตอนนี้เหลือแต่เซียวจิ่นข่านรีบกลับมาอธิบายให้ชัดเจนแล้ว

ไม่อย่างนั้นต่อให้เขากระโดดลงแม่น้ำจักรพรรดิก็ล้างความผิดไม่ได้

“เจ้าจะเชื่อคำอธิบายของข้าหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ไม่เชื่อ ข้าเชื่อเพียงสิ่งที่ข้าได้ยินและได้เห็น”

เด็กหนุ่มกล่าว

“แล้วเจ้าจะถามข้าไปทำไม ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่เชื่อ”

หลิวรุ่ยอิ่งยักไหล่กล่าว

“ข้าจึงตัดสินใจแล้ว”

เด็กหนุ่มกล่าว

“ตัดสินใจอะไร”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ข้าตัดสินใจตามติดท่านก่อนเซียวไต้ซือจะกลับมา พอเซียวไต้ซือกลับมาแล้วค่อยส่งให้เขาจัดการ”

เด็กหนุ่มกล่าว

“แล้วก็รีบเอาของที่ท่านขโมยจากในบ้านเซียวไต้ซือออกมาด้วย”

เด็กหนุ่มเว้นวรรคและกล่าวต่อ

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ…

แต่พอคิดอีกที หากเขาเห็นตัวเองเดินออกจากบ้านของเซียวจิ่นข่านตอนอีกฝ่ายไม่อยู่ก็คงเป็นสภาพการณ์เดียวกัน

ถ้าจะโทษก็ได้แต่โทษที่ตัวเองออกมาผิดเวลา

หากเร็วขึ้นหน่อยก็ไม่เจอเด็กหนุ่มรับมือยากผู้นี้เป็นแน่

“ข้าไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น ข้าไม่ใช่ขโมยอยู่แล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“แล้วท่านทำอะไรอยู่ในบ้านของเซียวไต้ซือ”

เด็กหนุ่มเอ่ยถามไม่ลดละ

“ดื่มสุรา”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดตามตรง

“ดื่มสุราก็คือขโมย! ขโมยสุราดื่ม!”

เด็กหนุ่มกล่าว

เขามองตาข่ายของตัวเองแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ

หลิวรุ่ยอิ่งมองตามสายตาของเขา พบว่าในตาข่ายที่เขาแบกก่อนหน้านี้ใส่ไหสุราไว้หนึ่งใบใหญ่

ไหสุรานั้นใหญ่กว่าที่เห็นตามปกติกว่าสองสามเท่าเลยทีเดียว

“สุรานั่นเป็นของคารวะอาจารย์เจ้าหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งชี้ตาข่ายพลางเอ่ยถาม

“นี่ก็ไม่เกี่ยวกับท่าน โจรขโมยสุรา!”

เด็กหนุ่มถอยหลังสองสามก้าว

ยกตาข่ายขึ้นแบกไว้บนหลังอีกครั้ง

ราวกับหากไม่ระวังหลิวรุ่ยอิ่งก็จะขโมยไปดื่ม

หลิวรุ่ยอิ่งนึกถึงโอวหย่าหมิงผู้นำตระกูลโอวบุตรแห่งกระบี่รุ่นปัจจุบัน เพราะเขาทะเลาะกับคนอื่นด้วยความเข้าใจผิดเรื่องขโมยสุรา หลายปีนี้ทั้งสองฝ่ายยังถึงขั้นไล่ตามกันเพื่อชำระแค้น

ตอนนั้นฟังแล้วรู้สึกน่าขัน

นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง

ชะตากรรมมนุษย์เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

หลิวรุ่ยอิ่งนึกได้ว่าชายชราเลี้ยงม้าเคยบอกเขาไว้

อย่ามองความทุกข์โศกและความแค้นของคนอื่นเป็นเรื่องตลก แต่ไม่ต้องแสดงความเห็นใจเช่นกัน

ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็จำไว้ในใจเงียบๆ เตือนตัวเองอย่าเดินซ้ำรอย

แต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ฟังเข้าหัว

จนกระทั่งเขาเห็นความโชคร้ายของโอวหย่าหมิงเป็นเรื่องตลก และตอนนี้ก็เดินซ้ำรอยเขา

“เจ้าอยากตามข้าก็ตามเถิด”

หลิวรุ่ยอิ่งหมดเรี่ยวแรงเล็กน้อย กล่าวราบเรียบประโยคหนึ่ง

เขาเดินอยู่ข้างหน้า

เด็กหนุ่มคนนี้แบกตาข่ายถือกระบี่ตามเขาอยู่ด้านหลังดังคาด

ก้าวตามทุกจังหวะ

“นี่คือที่พักของท่านหรือ”

เด็กหนุ่มเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเดินไม่กี่ก้าวก็หยุดลง

ทั้งยังเห็นรูปแบบบ้านหน้าตาเหมือนที่พักของเซียวไต้ซือไม่ผิดเพี้ยน

“จริงแท้แน่นอน นี่คือที่พักของข้า ข้าเป็นเพื่อนสนิทเซียวไต้ซือ และเป็นเพื่อนบ้านของเขาด้วย”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาพลันรู้สึกว่านี่เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดในการลบข้อกล่าวหาของตัวเอง

“หรือว่าท่านยังคิดเข้าไปขโมยบางอย่างในบ้านนี้แล้วโยนความผิดให้ข้า”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างระวังตัว

หลิวรุ่ยอิ่งมองหน้าเขา

แม้โดยรวมเลอะเหงื่อและน้ำโคลน แต่เครื่องหน้ายังถือว่างดงาม

แต่เขากลับนึกไม่ถึง แม้เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจการเข้าสังคมเท่าไร ทว่าระดับความเฉียบแหลมทางความคิดกลับยอดเยี่ยมกว่าตนหลายส่วน

“หากเจ้าคิดเช่นนี้ข้าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง แต่ตอนนี้ข้าต้องเข้าบ้านแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

จากนั้นผลักประตูก้าวเข้าลานบ้าน

เด็กหนุ่มมองเงาหลังของหลิวรุ่ยอิ่งเข้าลานบ้านเล็กๆ ในใจดูสับสนอย่างยิ่ง

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็กัดฟันตามเข้าไป

เด็กหนุ่มเข้าบ้าน เห็นหลิวรุ่ยอิ่งวางกระบี่ในมือไว้หัวเตียงอย่างคล่องแคล่ว

จากนั้นหยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนชุดหนึ่งออกจากห่อผ้าและเดินเข้าห้องอาบน้ำ

“ท่านจะไปไหน”

เด็กหนุ่มสาวเท้าพุ่งเข้ามาเอ่ยถาม

“อาบน้ำ เจ้าอยากดูหรือไม่ ข้าไม่ถือ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เด็กหนุ่มชิงเดินเข้าห้องอาบน้ำก่อน

เห็นด้านในมีเพียงหน้าต่างเล็กบานหนึ่ง คนผ่านไปไม่ได้

เขาถึงวางใจลงบ้าง

“ข้าเฝ้าอยู่หน้าประตูนี่ละ ท่านอย่าคิดหนี!”

เด็กหนุ่มกล่าว

“น้องชาย…เจ้าลองดูนี่คืออะไร”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เขาหยิบหนังสือรับรองราชการของตัวเองออกมาให้เด็กหนุ่มดู

“หลิวรุ่ยอิ่ง นายกองสัคคะเนตรแห่งกรมสอบสวนกลาง? หมายถึงอะไร…”

เด็กหนุ่มอ่านรอบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม

“…เจ้าไม่รู้จักกรมสอบสวนกลางหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ

เขาไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้มีคนไม่รู้จักกรมสอบสวนกลางด้วย

“ไม่รู้จัก…แต่ข้ารู้แล้วว่าท่านชื่อหลิวรุ่ยอิ่ง แต่ยศด้านหน้าของท่านยาวเพียงนั้น ข้าได้ยินมาว่าคนยศยาวโดยทั่วไปล้วนไม่ใช่คนดี”

เด็กหนุ่มกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งจนปัญญาอย่างยิ่ง

ได้แต่หันเข้าห้องอาบน้ำ

ขอให้น้ำร้อนนี้ชะล้างกลิ่นสุราบนกายและสงบความกังวลในใจลง

ขณะเดียวกันสิ่งที่เขาหวังยิ่งกว่าคือเซียวจิ่นข่านกลับมาเร็วหน่อย และเอาเจ้าเด็กมุทะลุไม่รู้ความแบ่งแยกไม่เป็นนี่ออกไป

เขาถอดเสื้อออก

เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงได้สัดส่วนออกมา

เขาใช้กระบวยตักน้ำราดจากศีรษะลงมา

นี่เป็นน้ำจากบ่อที่เย็นเฉียบ

แต่ตอนอาบน้ำหลิวรุ่ยอิ่งมักใช้น้ำเย็นราดตัวให้เปียกก่อนสองสามรอบค่อยลงแช่ในน้ำร้อนอุ่นๆ

เพราะหยางแท้สามารถทำให้น้ำร้อนสบายยิ่งขึ้น

สบายกว่าลงน้ำร้อนโดยตรงเป็นร้อยเท่า

จะว่าไปนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้จากเซียวจิ่นข่าน

ตอนทั้งสองอยู่กรมสอบสวนกลางด้วยกัน ทุกครั้งที่กินข้าวเซียวจิ่นข่านมักฝืนกินอาหารที่ตัวเองไม่ชอบให้หมดก่อน แล้วค่อยกินอาหารที่ตัวเองชอบ

เขาบอกหลิวรุ่ยอิ่งว่าทำเช่นนี้ก็ยิ่งชอบอาหารที่ชอบเข้าไปใหญ่ เพียงพอให้ชดเชยความรู้สึกแย่ๆ ที่มาพร้อมอาหารไม่อร่อย

…………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน