บทที่ 228 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-3
“ก่อนเซียวไต้ซือกลับมา ข้าไปไหนทำอะไรเจ้าก็จะตามติดข้าใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งอาบน้ำหวีผมเสร็จแล้ว
เปลี่ยนชุดเครื่องแบบนายกองกรมสอบสวนใหม่เอี่ยม
เดินออกจากห้องอาบน้ำและเอ่ยถามเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ เพียงพยักหน้าหงึกหงัก
ท่าทางตอบสนองช้ามาก
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าทำไมเขาออกกระบี่เร็วปานนั้น แต่การตอบสนองกลับช้าเช่นนี้
แต่เสียง ‘โครกคราก’ ที่ดังต่อจากนั้นไขข้อสงสัยนี้แล้ว
เขาหิว
ในท้องว่างเปล่า เป็นใครก็ตอบสนองช้า
ดีที่หลิวรุ่ยอิ่งยังมีอาหารแห้งอยู่บ้าง
เขาหยิบอาหารแห้งเหล่านี้ออกมาวางตรงหน้าเด็กหนุ่ม
ตอนแรกเด็กหนุ่มยังเกรงใจเล็กน้อย
แต่ก็ทนความหิวในท้องไม่ไหวจริงๆ
เขาจ้องอาหารแห้งนั้น กลืนน้ำลายสองสามอึก จากนั้นคว้าขึ้นมากินมูมมาม
“อยากดื่มสุราหน่อยหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“ข้าดื่มสุราไม่เป็น”
เด็กหนุ่มกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เด็กหนุ่มไม่สนใจอีกต่อไป
กระทั่งกินอาหารแห้งชิ้นใหญ่หมดแล้ว เด็กหนุ่มถึงเงยหน้ามองหลิวรุ่ยอิ่ง
“ของกินนี่ท่านคงไม่ได้ขโมยมากระมัง”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
“ขโมยมาหรือไม่เจ้าก็กินหมดแล้ว ของที่ขโมยมาเป็นของโจร เจ้ากินหมดแล้วก็เป็นการทำลายของโจร!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เด็กหนุ่มสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นได้ชัดว่าเขาเก็บคำหยอกล้อของหลิวรุ่ยอิ่งไปคิดแล้ว
“เหตุใดเจ้าถึงหิวขนาดนี้ แล้วเหตุใดเนื้อตัวมอมแมมเช่นนี้”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนหยอกแรงไปหน่อย
เขาจึงอยากพูดอย่างอื่น หมายจะเปลี่ยนหัวข้อชดเชย
เด็กหนุ่มผู้นี้ดูก็รู้ว่าเป็นคนจริงจังยิ่ง
คนจริงจังใช่ว่าล้อเล่นไม่เป็น แต่เขาจะฟังการหยอกเย้าของคนอื่นเป็นข้อเท็จจริงไปหมด
“เพราะข้าฆ่าคน”
เด็กหนุ่มกล่าว
การฆ่าคนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหลิวรุ่ยอิ่ง
แต่เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะฆ่าคนได้ด้วย
แม้กระบี่ในมือเขาเร็วมาก
แต่กระบี่เร็วเพียงใดก็ไม่ได้แปลว่าเคยฆ่าคน
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เด็กหนุ่มเริ่มปิดปากเงียบอีกครั้ง
……………………
นั่นเป็นช่วงพลบค่ำประมาณห้าหกวันก่อน
เด็กหนุ่มอยู่ระหว่างทางมาหอทรงปัญญา
แสงสายัณห์ส่องมาจากด้านหลังของเขา
ร่างทั้งร่างของเขาราวกรอบทองวงหนึ่ง
น่าเสียดายที่อากาศวันนี้ไม่ค่อยดีเอาเสียเลย
แสงสายัณห์หายวับในพริบตา
เด็กหนุ่มมองอาทิตย์อัสดงเส้นสุดท้ายทางตะวันตกหายลับไปหลังกลุ่มเขา
ในใจรำพันอย่างเรียบเฉย
‘พรุ่งนี้ฝนอาจจะตก…’
แต่เขาไม่กังวล
แม้ฝนตกจะทำให้เนินเขาเปียกลื่น ถนนกลายเป็นกองโคลน
แต่เขาชอบความรู้สึกอุ่นชื้นเช่นนี้มาก
เม็ดฝนสาดบนกายถี่ยิบ
เหมือนทำให้จิตวิญญาณของเขาได้รับการชำระล้าง
นอกจากนั้น
ตอนฝนตกยังเป็นตอนที่ภูเขาปลอดภัยที่สุด
เพราะแต่ก่อนพวกสัตว์ป่าดุร้ายที่ยโสโอหังเหล่านั้นก็ไม่ชอบให้ขนของตัวเองเปียกชื้น
พวกมันจึงนอนหลบไม่โผล่หน้าอยู่ในถ้ำภูเขา
ฝน
ก็คือเกราะกำบังที่เด็กหนุ่มเดินไปมาในป่าเขา
ตราบใดที่มีฝน
เขาก็ไม่ต้องแบ่งความคิดกว่าครึ่งมาระวังสถานการณ์รอบด้าน
แค่มุ่งมั่นกับการเดินทางก็พอ
แต่พรุ่งนี้ฝนถึงจะมา
อากาศเย็นนี้ยังถือว่าแจ่มใส
เพียงแต่ดวงอาทิตย์ตกไปแล้ว ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหนาวเล็กน้อย
เขาไม่กลัวหนาว
คนที่ใช้ชีวิตอยู่กลางป่าเขาทั้งปีจะกลัวหนาวได้อย่างไร
แต่ตอนนี้เขารู้สึกหนาวนิดหน่อยจริงๆ
เขาถูมือพ่นลมออกจากปาก
แต่ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ
เพราะลมที่เขาเป่าออกมาไม่ได้อุ่นกว่าฝ่ามือของเขาเท่าไรนัก
เขาลูบหน้าท้อง
รู้ว่าเป็นเพราะหิวแล้ว
เขานึกไม่ออกแล้วว่ากินมื้อก่อนไปตอนไหน
แต่เขายังจำตอนกินมื้อก่อนได้อย่างชัดเจน
เด็กหนุ่มย่างกระต่ายป่าอ้วนอร่อยตัวหนึ่ง
ปรากฏว่ากลิ่นหอมตอนย่างกระต่ายดึงดูดหมาป่าที่ออกจากฝูงมาตัวหนึ่ง
หมาป่าออกฝูงตัวนี้อายุไม่น้อย
ขาหลังพิการเล็กน้อย
ในใจเด็กหนุ่มฆ่ามันไม่ลง
เพราะหมาป่าเช่นนี้เข้าใจความเป็นมนุษย์บ้างแล้ว
ตอนมันอายุน้อยต้องเป็นตัวโดดเด่นและแข็งแกร่งในฝูงแน่นอน
บุกล่าเหยื่ออยู่แนวหน้าไม่รู้กี่ครั้ง
ภายหลังอายุเยอะร่างกายอ่อนแอ ทั้งยังบาดเจ็บ
มันจึงเลือกออกมาเองเพื่อไม่ถ่วงทั้งฝูง
ร่อนเร่อยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่และเงียบเหงานี้
รับมือกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทีละก้าว
จนกว่าชะตากรรมสุดท้ายจะมาถึง
เด็กหนุ่มหั่นหัวกระต่ายในหนึ่งกระบี่โยนให้หมาป่าเฒ่าตัวนั้น
หมาป่าเฒ่าก้มหัวดมหัวกระต่าย แต่ไม่ได้อ้าปากกินเข้าไป
แม้หัวกระต่ายเล็กๆ นี้ไม่อาจทำให้มันอิ่ม
แต่อย่างน้อยก็ทำให้มันรอดพ้นคืนนี้ไปได้โดยไม่ทรมานนัก
เด็กหนุ่มแปลกใจเล็กน้อย
นึกว่าหมาป่าเฒ่ามองว่าน้อยไป
เขามองกระต่ายที่เสียบอยู่บนกิ่งไม้ของตนและส่ายหน้าอย่างจนใจ
จากนั้นฉีกเนื้อนุ่มชิ้นใหญ่ตรงส่วนท้องโยนเข้าไปอีก
เนื้อส่วนท้องยังย่างไม่สุก
กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นเนื้อโชยเข้ารูจมูกของเด็กหนุ่มกับหมาป่าเฒ่าทันใด
แต่ครั้งนี้หมาป่าเฒ่าไม่คิดจะก้มหัวดมด้วยซ้ำ
มันลากขาด้วนข้างหนึ่ง
สองนัยน์ตาจ้องตรงมาทางเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มยิ้มบาง เหมือนเข้าใจความคิดของหมาป่าเฒ่าตัวนี้
มันไม่อยากตายอย่างธรรมดา
ตายไปแล้วก็ไม่อยากถูกกลุ่มหมาป่าอีกาแบ่งกันกินซากศพ
มันหวังให้ตัวเองได้ต่อสู้อีกครั้ง
ตายในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้
มันรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าช่วยให้ตนสมหวังได้
เห็นเด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย
หมาป่าเฒ่าก็รู้ว่าเขาเข้าใจความคิดของตน มันจึงกระโดดพรวดเข้าไปทันที
นี่เป็นการต่อสู้ที่ปราศจากความกังวล
เด็กหนุ่มไม่ขยับร่างกายด้วยซ้ำ
เขานั่งหมุนกิ่งไม้ย่างกระต่ายป่าของตนต่อไป
ตอนหมาป่าเฒ่าตัวนี้ร่วงลงมาจากจุดสูงสุดที่กระโดด เด็กหนุ่มชักกระบี่ออกมา
ตั้งตรงอยู่ตรงนั้น
ลำคอของหมาป่าเฒ่าก็ถูกกระบี่แทงทะลุ
เลือดสีแดงเข้มอาบย้อมขนหมาป่าตรงลำคอเป็นสีแดง
แต่มันยังไม่ตายสนิท
ดิ้นรน อ้าปาก กัดข้อเท้าของเด็กหนุ่มไว้
ชั่วขณะที่กัดไว้หมาป่าเฒ่าก็หลับตา
เด็กหนุ่มยังคงไม่ขยับ
ปล่อยให้หมาป่าเฒ่ากัดข้อเท้าตนต่อไป
เขาย่างกระต่ายป่าในมือต่อ
กระต่ายป่าหอมเกรียม
เลือดหมาป่ามีกลิ่นคาว
เมื่อกินหมดแล้ว เด็กหนุ่มโยนร่างหมาป่าเฒ่าใส่ในกองไฟที่เขาย่างกระต่ายป่า
เปลวไฟที่ใกล้ดับในตอนแรกพลันพุ่งสูงขึ้นกว่าหนึ่งฉื่อ
เด็กหนุ่มลุกขึ้น เช็ดกระบี่กับขนบนตัวหมาป่าที่ยังไม่ไหม้จนสะอาด จากนั้นปัดก้นเล็กน้อย สาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปโดยไร้ซึ่งความอาวรณ์
กฎของป่าเขาก็เป็นเช่นนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงฉากหนึ่งที่ฉายอยู่ในป่าเขาทุกเมื่อเชื่อยาม
เงาหลังของเด็กหนุ่มถูกแสงไฟลากเป็นทางยาว
ไม่รู้ทำไมดูคล้ายหมาป่าออกฝูงที่ตายไปอย่างยิ่ง
ไม่นาน
แสงจันทร์ลอยขึ้นมาแล้ว
แสงจันทร์สาดส่องผ่านกิ่งก้านบางตาของสนเขียว
ตามด้วยลมกลางคืน
เงาต้นไม้ไหวเบาๆ
ฝีเท้าของเด็กหนุ่มผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว
เพิ่งกินกระต่ายอิ่มจึงไม่รู้สึกหนาวเย็น
สบายกว่าตอนนี้มาก
เขาอยากหาผลไม้ป่ามากินแก้หิว
หรือดื่มตาน้ำภูเขาสองสามกอบก็ยังดี
สายตาของเขามองทุกทิศทางรอบหนึ่ง
จากนั้นเลือกเดินไปทิศทางหนึ่งอย่างเชื่องช้า
เพราะเขาได้ยินเสียงลำธารไหลรินทอดมากลางสายลม
แม้การหาน้ำดื่มเสียเวลาอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่หากตอนนี้ไม่ทำให้ในท้องมีอะไรสักอย่าง เกรงว่าพอถึงพรุ่งนี้จะเสียเวลากว่าเดิม
ในที่สุดเขาก็เจอตาน้ำภูเขา
เสียงตาน้ำดังลั่นหูดุจมังกรเงินบินร่ายรำ
ดูวังเวงยิ่งภายใต้ความอึมครึมของแสงจันทร์
แต่เด็กหนุ่มไม่อาจชื่นชมความงดงามนี้เพียงลำพัง
เขาเห็นล่างตาน้ำมีคนนั่งอยู่แล้วคนหนึ่ง
ขัดสมาธิหลับตา เหมือนกำลังปรับลมปราณฝึกตน
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย
เขาไม่กลัวสัตว์ป่าเหี้ยมโหดแต่อย่างใด
กลับจะมีความรู้สึกต่อต้านคนโดยกำเนิด
หากห้าปีก่อนเซียวจิ่นข่านไม่ได้ช่วยชีวิตเขาและให้เขามาหาตนที่หอทรงปัญญาห้าปีให้หลัง
ไม่ว่าพูดอะไรเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ไม่มีทางออกจากกลางหุบเขาแน่นอน
หากไม่ออกมาย่อมเจอคนอื่นได้ยาก
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรทักทายคนผู้นี้อย่างไร
เขาจึงอ้อมไปไกลๆ และยอบตัวลงล้างหน้าอยู่อีกฝั่งของตาน้ำแทน
เขาล้างอย่างใส่ใจยิ่ง
เริ่มจากหน้าผากถึงใบหน้า ค่อยลงมากราม จากนั้นใช้มือถูตรงลำคอไปด้วย
สุดท้ายไม่ลืมจัดเส้นผมที่แตกออกตรงขมับ
ในที่สุดเขากอบน้ำจะดื่มเข้าปาก
พอคิดว่าดื่มน้ำเหล่านี้เสร็จตนก็จะเดินทางได้อย่างสบายใจ เด็กหนุ่มอดกระหยิ่มในใจไม่ได้
แม้เขาจำหน้าตาของเซียวจิ่นข่านไม่ค่อยได้แล้ว
แต่ถ้าได้เจอผู้มีบุญคุณของตนเร็วขึ้นวันหนึ่งแล้วคารวะเขาเป็นอาจารย์ย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง
“ในน้ำมีพิษ”
คนที่นั่งอยู่ข้างตาน้ำเอ่ยกะทันหัน
……………………………………