ตอนที่ 739 เมี้ยว!
ร่างของเหล่าจางเริ่มโอนเอนและค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ระหว่างความมึนงงคลุมเครือนั้น สามารถได้ยินเสียงเสียดสีกระทบกันดังออกมาจากในกระดูกคมชัดขึ้นทุกที ความรู้สึกอันน่าพิศวงกำลังกระเพื่อมทะลักออกมา อย่างน้อยๆ ก็เป็นเช่นนั้นสำหรับทุกคนในร้านหนังสือ
อันที่จริง บารมีของเจ้าหน้าที่รัฐมันมีอยู่จริงๆ นะ บางทีเมื่อคุณเห็นเลขาธิการสาขาพรรคประจำหมู่บ้านตรงทางเข้าหมู่บ้านของตนเองอาจจะไม่มีความรู้สึกพิเศษ แต่ถ้าตำแหน่งสูงขึ้นไปอีก สำหรับคนทั่วไปจะมีความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นอยู่จริงๆ ราวกับว่าเมื่อเขายืนขึ้น ท้องฟ้าเหนือศีรษะถูกดันขึ้นเช่นกัน และตรงกันข้ามนั้นทุกคนจะ ‘เตี้ยลง’ โดยธรรมชาติ
โชคดีที่คนในร้านหนังสือไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอะไร แม้ว่าทุกคนจะรู้สึกหายใจลำบากและอึดอัดตรงหน้าอกอยู่บ้างก็ตามที แต่ไม่ได้ตกใจถึงขนาดคุกเข่าลงก้มหัวกราบไหว้ กลับกันถ้าเป็นเมื่อก่อนละก็ บางทีอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้
ตอนที่ทนายอันเห็นภาพร่างแยกของเซี่ยจื้อครั้งแรก จริงๆ แล้วก็ตาลีตาเหลือกเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้มีผลการต่อสู้อันรุ่งโรจน์ที่เถ้าแก่ของเขาใช้มือฉีกเซี่ยจื้อเป็นชิ้นๆ ตั้งสองครั้งสองครา พลังอำนาจอันน่าเกรงขามและรัศมีเจิดจ้าของเซี่ยจื้อในสายตาของทุกคนในร้านหนังสือเห็นได้ชัดว่าลดฮวบลงไปไม่น้อย
นี่ก็เหมือนกับเทพธิดาในทีวีท้องเสียและปลดทุกข์ไปตั้งสองครั้งในส้วมหลุมข้างบ้านคุณ อืม คำพูดแม้จะหยาบคายแต่มันเป็นความจริง
เหล่าจางยืนขึ้น เขาจ้องโจวเจ๋อเขม็ง แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามขั้นสุด บางครั้งการยืนอยู่ในที่สูงนานเกินไป ก็มักจะคิดว่าตัวเองเป็น ‘เทพเจ้า’ ไปแล้ว แบบเดียวกับที่ผู้ยิ่งใหญ่เรียกว่าแปลกแยกออกจากฝูงชน เซี่ยจื้อคิดว่าเมื่อตัวเองยืนขึ้นแล้วคนตรงหน้าก็ควรจะคุกเข่าลง แต่คนตรงหน้าเพียงแค่มองมันอย่างเรียบนิ่ง สีหน้าไร้วี่แววหวาดกลัว กระทั่งเซี่ยจื้อยังมองเห็นมุมปากของอีกฝ่ายกระตุกเบาๆ
นี่มัน นี่มัน!!!!
คิดไม่ถึงว่าเขากลั้นหัวเราะไว้!!!!
‘ตัวใหญ่มาก ใหญ่ยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีกนะ เจ้าโง่’
‘ใช่…แล้ว…’
‘มาแจกของครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังแจกยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่แล้วอีก ถ้าไม่รู้ละก็ ยังนึกว่าพวกคุณทั้งคู่เป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก่อนนะเนี่ย’
‘เมื่อ…ก่อน…ไม่…รู้…สึก…ว่า…มัน…น่า…รัก…ขนาด…นี้…’
สุภาพเกินไปจริงๆ เกรงใจกันเกินไปแล้ว มาก็มาสิ มาแต่ละครั้งยังแจกของอีกต่างหาก มาครั้งเดียวก็ว่าพอแล้ว นี่มาเยี่ยมที่กระท่อมถึงสามครั้ง[1]เลยนี่นา
ด้านคนในร้านหนังสือนั้น นอกจากทนายอันที่พอจะเดาได้ว่าอิ๋งโกวตื่นขึ้นแล้ว คนที่เหลือนั้นจริงๆ แล้วยังไม่แน่ใจ
แต่ในด้านของโจวเจ๋อ หนึ่งคือระยะนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาก การเอาชนะเจ้าฮวาหูเตียวเมื่อครู่นี้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ดีที่สุด สองคือมีเจ้าโง่อยู่ในมือ ใต้หล้ามีฉันที่ยิ่งใหญ่!
“เมี้ยว!” แมวดำส่งเสียงร้อง ในเสียงร้องนั้นติดจะสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าในฐานะจิตวิญญาณอาวุธ มันกลัวการดำรงอยู่ของคนผู้นี้ แต่มันก็ยังควบคุมค่ายกลต่อเช่นเดิม โดยปิดกั้นการเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ ระหว่างภายในค่ายกลและโลกภายนอก เหมือนตอนนั้นที่ชายชราสร้างเขตอาคมตัดการเชื่อมต่อระหว่างร่างแยกของเซี่ยจื้อในร่างของตำรวจเฉินและตัวจริง ค่ายกลแห่งนี้ในตอนนี้ก็มีผลเช่นเฉกเดียวกัน เป็นหลักการเดียวกับที่สวี่ชิงหล่างหลอมรวมเข้ากับส่วนหนึ่งของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล
พูดตามหลักการตรงๆ ก็คือบังคับหลอมรวมร่างแยกโดยที่ปิดบังร่างจริงของอีกฝ่าย โดยใช้วิธีการขึ้นรถก่อนแล้วค่อยจ่ายค่าตั๋วทำให้ปฏิเสธความจริงไม่ได้ บีบคั้นให้อีกฝ่ายอุดจมูกยอมรับถึงการมีอยู่ของคุณ ดังนั้นตราบใดที่ค่ายกลไม่พังทลาย เถ้าแก่โจวและคนผู้นั้นในร่างของเขาก็ไม่หวั่น!
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่กลัวว่าเซี่ยจื้อร่างจริงจะโผล่ออกมาเองในอนาคตด้วย การมีอยู่ของคนระดับนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถปรากฏออกมาในโลกมนุษย์ได้ตามปกติหรือไม่ ต่อให้มาจริงๆ โดยไม่สนดินฟ้าอากาศ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้วี่แววการเคลื่อนไหว
เวลานั้นมันจะไม่ง่ายเหมือนการปิดถนนขนาดนั้น แต่เป็นฉากใหญ่ที่มีทั้งลมฝนฟ้าคะนองอย่างน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงแน่นอน ถึงเวลานั้นควรจะทำอย่างไรก็ทำตามอำเภอใจไปตามธรรมชาติ
“เป็นเจ้า” เซี่ยจื้อก้มหน้ามองตัวเองสลับกับมองโจวเจ๋อ รอยยิ้มประดับมุมปากพลางเอ่ยว่า “บังเอิญเพียงนี้เชียว”
ใช่แล้ว บังเอิญมาก เพิ่งจะซุ่มซ่อนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ถูกพบทันที เรียกได้ว่าน่ากระอักกระอ่วนมาก มันคล้ายกับวางแผนยุยงให้สมาชิกขององค์กรมาเฟียมาเป็นหูเป็นตาให้ตัวเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือเจอกับนายใหญ่ขององค์กรนี้เตรียมพร้อมต่อต้านการล้วงความลับของเขาเอาไว้แล้ว
“เจ้าบังอาจนัก กล้าล่าร่างแยกของข้า วันนี้ข้ามาเยือนด้วยแสงแห่งจิตวิญญาณ เจ้าจะต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม!” คำพูดสุภาพแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกกดขี่ข่มเหง
เถ้าแก่โจวก็ยังไม่รู้สึกตระหนกเลยสักนิด ความรู้สึกนี้เหมือนกับชมการแสดงของไก่ที่มีความสุขที่สุดในสนาม แล้วจินตนาการดูว่าอีกเดี๋ยวพอเอามันออกจากเตาแล้วจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร และเหมือนกับท่วงทำนองขับร้องบนเวทีการแสดงที่ดูขัดกันไม่เข้ากันเลย
เซี่ยจื้อเงื้อมือขึ้น เขาตั้งใจจะทำลายค่ายกลแห่งนี้
เถ้าแก่โจวเจ๋อเงื้อมือขึ้นเช่นเดียวกัน เขาไม่อาจปล่อยให้เซี่ยจื้อทำลายค่ายกลแห่งนี้โดยเด็ดขาด
‘แกรก!’ เสียงดังคมชัด ค่ายกลไม่ได้แตกร้าว แต่งูไฟฟ้าสีแดงสายแล้วสายเล่าแหวกว่ายอยู่บนร่างของเซี่ยจื้อไม่หยุด มือที่เซี่ยจื้อเพิ่งจะเงื้อขึ้นมาร่วงผล็อย ร่างกายสั่นสะท้านจนกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ใหม่อีกครั้งพร้อมกับก้มหน้างุด สีหน้าฉายแววประหลาดใจ
“นี่มัน…” เซี่ยจื้อวางมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอกของตัวเอง ตรงจุดนั้น โจวเจ๋อเพิ่งจะยัดเจ้างั่งเข้าไปเมื่อครู่นี้
‘เหอะ…เหอะ…’ เจ้าโง่หัวเราะเบาๆ จากก้นบึ้งหัวใจ
โจวเจ๋อทำความเข้าใจได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เจ้าโง่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตัวเขา หลายครั้งที่ระบายโทสะออกมาล้วนถูกเจ้างั่งบังคับสยบและผนึกเอาไว้ได้ รสชาติแบบนี้เขาเคยสัมผัสมันมาก่อน ในเวลานี้เมื่อเห็นคนอื่นได้สัมผัสมันเช่นกัน ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นเป็นธรรมดา
“ทำไมปากกาด้ามนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่…” เซี่ยจื้อรู้สึกสับสนและมึนงงเล็กน้อย แต่น้ำเสียงและการเคลื่อนไหวของเขากลับยังเผยให้เห็นถึงความไหลลื่นเป็นธรรมชาติ
‘แกรก!’ เสียงคมชัดที่หน้าอกดังขึ้นอีกครั้ง ตัวอักษร ‘ผนึก’ ขนาดใหญ่ยักษ์ผุดขึ้นเหนือเซี่ยจื้อและเริ่มกดลงมาด้านล่าง!
เซี่ยจื้อเงยหน้า อ้าปากส่งเสียงร้องคำราม ตัวอักษร ‘ผนึก’ เริ่มสั่นสะเทือน เมื่อถูกขวางกั้นเอาไว้แล้วก็ไม่สามารถลงมาได้จริงๆ
“ที่เล็กๆ แห่งนี้ คิดไม่ถึงว่ากลับมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่บ้าง”
เซี่ยจื้อกางฝ่ามือออก กลุ่มมวลจุดสีดำมืดแหวกว่ายบนฝ่ามือแล้วกดกระแทกเข้าหน้าอกของตัวเองอย่างแรง “กฎแห่งฟ้าดินคงอยู่ตลอดกาล ผนึก!”
‘แซ่ดๆ ซ่าๆ แซ่ดๆ…’ ราวกับเสียงน้ำมันร้อนเดือด เซี่ยจื้อเปล่งเสียงร้องคำรามต่ำออกมาจากลำคอ พอรอให้เขาเอามือออก หน้าอกของเหล่าจางหรือก็คือตรงตำแหน่งที่โจวเจ๋อแทงเจ้างั่งเข้าไป คิดไม่ถึงว่าจะผุดแสงวงกลมสีดำออกมา
เจ้างั่งปากกาพิฆาตที่ขึ้นชื่อเรื่องการผนึกนั้นดันถูกผนึกไว้แล้วจริงๆ!
ฉากนี้ทำเอาโจวเจ๋อถึงกับประหลาดใจเล็กน้อย ขนาดเถ้าแก่โจวยังประหลาดใจ อย่างนั้นคนในร้านหนังสือที่มุงดูอยู่รอบนอกก็คงตกตะลึงพรึงเพริดไปพร้อมกันแล้ว
เดิมทีในมุมมองของพวกเขา ปากกานั้นเป็นกุญแจสำคัญในการปิดผนึก มันคือไพ่ตาย แต่ตอนนี้ที่พึ่งพาที่สำคัญที่สุดดันถูกปิดผนึกไปแล้ว อย่างนั้นควรจะทำอย่างไรต่อไป
ในแววตาของสวี่ชิงหล่างกลับฉายแววตรัสรู้ชัดแจ้ง “สัตว์อสูรผดุงธรรมเดิมก็เป็นการดำรงอยู่ที่เชี่ยวชาญกฎเกณฑ์ จะปิดผนึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ละเมิดกฎเกณฑ์ วิชาปิดผนึกเดิมทีก็เป็นความเชี่ยวชาญของมันสินะ พลาดแล้ว แผนพลาดแล้ว”
การใช้วิธีปิดผนึกจัดการสัตว์อสูรผดุงธรรมมันช่างเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนจริงๆ
ทนายอันกลอกตาใส่สวี่ชิงหล่างก่อนจะพูดว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมารับบทตัวประกอบคอยอธิบายอยู่ข้างๆ นะ”
สวี่ชิงหล่างยิ้มพลางมองทนายอันและบอกว่า “ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ผมเห็นว่าคุณไม่เครียด ผมก็เลยไม่เครียดตามน่ะ”
“…” ทนายอัน
นี่หมายความว่า เมื่อก่อนตอนที่ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ ฉันขี้ขลาดมากเหรอ
แต่ทว่า พูดก็พูดไปอย่างนั้น สวี่ชิงหล่างก็ยังล้วงยันต์และเข็มเงินออกมาจากกระเป๋า นี่เป็นแผนที่จะใช้กำลังกระตุ้นศักยภาพของร่างกายตัวเองภายใต้สถานการณ์สุดวิสัย อัญเชิญเทพเจ้าแห่งท้องทะเลประทับร่าง!
เจ้าลิงตัวน้อยก็กระโดดออกจากอ้อมแขนของนักพรตเฒ่ามาหมอบอยู่บนเคาน์เตอร์ กัดฟัน ตัวสั่นหงึกๆ พร้อมจะแปลงร่างเป็นปีศาจวานรได้ทุกเมื่อ ส่วนบนผนังชั้นหนึ่งของร้านหนังสือมีเถาวัลย์สีเขียวมรกตปกคลุมอยู่พร้อมที่จะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา
ในมุมนั้นเอง เด็กชายยืนขึ้นพร้อมกับอ้าปากเล็กน้อย กำลังพยายามลองเคลื่อนพลังปราณพิฆาตในร่างกาย สาวน้อยโลลิยืนอยู่ข้างๆ เด็กชายไม่พูดอะไร แม้แต่นักพรตเฒ่าในเวลานี้ก็ยังล้วงมือเข้าไปในเป้ากางเกงด้วยสีหน้าจริงจังมากด้วยซ้ำ แต่การกระทำนี้กับการแสดงออกทางสีหน้าเช่นนี้ มันตลกสุดๆ ไปเลยจริงๆ
ทนายอันตะลึงไปครู่หนึ่ง แม่เจ้าโว้ย นี่จะถ่ายทำละครทีวีกันหรือไง แต่ละคนแสดงออกเหมือนไม่ยี่หระต่อความตายใดๆ ทั้งสิ้นงั้นเหรอ ต้องการให้เปิดดนตรีเร่าร้อนและน่าเศร้าคลอให้พวกคุณด้วยหรือเปล่า!
เรื่องนี้มักพบเห็นได้ในภาพยนตร์สงคราม ผู้ป่วยบาดเจ็บจำนวนมากรวมตัวกัน ภายใต้หมอกควันตลบอบอวลพากันวิ่งพุ่งเข้าหาศัตรูที่ปรี่เข้ามาอีกครั้ง
ไม่ถูก ไม่ถูกต้อง หรือว่านี่จะเป็นการแสดงละครของพวกคุณ
ใช่สิ!
ทันใดนั้นทนายอันก็คิดออกแล้ว เขามีข้อมูลบางอย่างดีกว่าคนอื่นๆ นั่นคือคนผู้นั้นที่อยู่ในร่างของเถ้าแก่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะตื่นแล้ว
ไม่เห็นว่าตอนนี้เถ้าแก่ยังดูปกติอยู่หรือไง ทนายอันไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าโจวเจ๋อกำลังเสแสร้งอยู่!
เขาไม่เสแสร้ง แต่ฉันต้องเสแสร้ง!
มือกระดูกของทนายอันเผยออกมา เขาที่เหลือแขนเพียงข้างเดียวดูท่าทางสง่างามเหมือนจอมยุทธ์เอี้ยก้วย แต่น่าเสียดายที่ในร้านหนังสือไม่มีอินทรีตัวใหญ่ มีแค่เตียวโง่ๆ เท่านั้น
บางครั้ง ทนายอันก็คิดถึงด้านที่ตัวเองแต่งชุดสูทเบอร์กันดีที่ทั้งสุภาพและสุขุมสง่างามในอดีต ตอนนั้นเขาสามารถขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นบุรุษได้เลย แต่ตอนนี้ เฮ้อ…จริงๆ แล้วโทษตัวเองไม่ได้ โลกและสังคมนี้มันโหดร้ายเกินไป สิ่งงดงามดีๆ ใดๆ ก็ตามล้วนถูกบิดเบี้ยวจนผิดรูปผิดร่าง ณ ที่แห่งนี้
เขาเดินตรงไปข้างหน้า เดินตรงไปจนถึงริมขอบค่ายกล สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ได้ออกแรงมากเกินไปใดๆ เหลือไว้เพียงความเศร้าโศกจางๆ มือกระดูกคลอเคลียบนริมฝีปากตัวเองเบาๆ พลางเอ่ยราบเรียบ “เถ้าแก่ คุณถอยก่อน”
สิ่งที่มาตรฐานของการแสดงให้ความสำคัญคือจังหวะ ไม่ใช่คำพูดซ้ำซาก เมื่อมาถึงจุดนี้ ทนายอันประสบความสำเร็จมาก จากนั้น ทนายอันตะลึงงัน เพราะเขาคิดว่าเขาประสบความสำเร็จเกินไปหน่อยไหม ก่อนอื่น เถ้าแก่ของเขาพยักหน้าจริงๆ ทั้งยังเริ่มถอยหลัง ไม่ส่งเสียงพล่ามใดๆ เลยสักนิดจริงๆ และไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย
จากนั้น คิดไม่ถึงว่าวงกลมค่ายกลสีแดงตรงหน้าเขาดันเปิดทางให้เขาก่อน ส่งสัญญาณให้เขาเข้าไป โดยเฉพาะแมวดำที่กำลังควบคุมค่ายกลตัวนั้น ไม่รู้ว่าโง่จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่ เมื่อเห็นว่าเขาไม่เข้าไปข้างในให้ทันเวลาดันส่งเสียงเร่งเร้าเขาอีกต่างหาก
“เมี้ยว!”
………………………………………………………….
[1] เยี่ยมที่กระท่อมสามครั้ง เป็นการเปรียบถึงการลดเกียรติไปเชื้อเชิญถึงสำนักด้วยความจริงใจถึงสามครั้ง