คุณนายสวี่ผ่อมลมหายใจลง สีหน้ายังคงไม่สู้ดีนัก “แกเคยคิดบ้างไหม ถึงแกจะชอบลี่ถิงเซิ่ง แต่ความสัมพันธ์ของตระกูลสวี่กับตระกูลลี่ในตอนนี้คือคู่แข่งกัน! แกส่งคนไปชนนักปรุงน้ำหอมของลี่ซื่อกรุ๊ปแบบนี้ แกคิดว่าคนตระกูลลี่เขาจะคิดยังไง?”
หลังจากได้เห็นข่าว คุณนายสวี่ก็โมโหแทบตาย
ตั้งแต่เด็กจนโต เธอไม่เคยสอนให้สวี่รั่วยีมีทำตัวร้ายกาจแบบนี้!
สุดท้ายสวี่รั่วยีก็ทำเรื่องโง่ๆอย่างนี้ออกมา มันน่าผิดหวังจริงๆ!
คุณนายสวี่ชี้หน้าสวี่รั่วยีแล้วพูดว่า “แกเคยคิดบ้างไหม ถ้าหากลี่ถิงเซิ่งรู้เรื่องนี้ ถ้าหากเรื่องที่แกโกหกว่าท้องหลุดออกไป ถ้าทั้งสองเรื่องถาโถมเข้ามาพร้อมๆกัน ชีวิตนี้แกก็อย่าหวังว่าจะได้แต่งเข้าตระกูลลี่เลย!”
ขณะที่พูด จู่ๆคุณนายสวี่ก็รู้สึกแน่นที่หน้าอก
เดิมทีสวี่รั่วยีมีท่าทีไม่ยอมแพ้ พอเห็นคุณนายสวี่หน้าซีดขึ้นมากะทันหัน ก็รีบถามอย่างเป็นห่วงว่า “แม่ เป็นอะไรไป!”
คุณนายสวี่โบกมือให้สวี่รั่วยีเอายารักษาโรคหัวใจเข้ามาให้ หลังจากดื่มน้ำอุ่นๆตามลงไป เธอก็นั่งพิงโซฟาอย่างเชื่องช้า เอ่ยพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “แกทำฉันโมโหแทบบ้า!ตอนนี้แกไม่ควรเดินเกมส์พลาดแม้แต่ก้าวเดียวรู้ไหม? ถ้าแกเดินพลาด จนพ่อแกรู้ว่าแกไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา แกจะทำยังไง? แล้วฉันจะทำยังไง!”
สีหน้าของสวี่รั่วยีพลันเปลี่ยนเป็นไร้สีเลือด
เธอแสยะยิ้มเย็น “ฉันรู้แค่ว่า พ่อของฉันนามสกุลสวี่ คนอื่นๆฉันไม่รับเป็นพ่อหรอก!”
คุณนายสวี่ยิ้มอย่างอดสู “แกนี่มันร้ายได้พ่อแกจริงๆ!”
เสียงของสวี่รั่วยีเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม “มันคือสิ่งที่แม่สอนฉันมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
คุณนายสวี่เงยหน้ามองสวี่รั่วยี นัยน์ตาฉายแววร้ายกาจ “แกส่งใครไปชนแอนนา คนนั้นไว้ใจได้หรือเปล่า?”
“ได้ อาจจะไม่ค่อยมีชื่อเสียงในวงการเท่าไหร่ แต่ทำงานสมราคาแน่นอน ฉันให้เขาไปสิบล้าน ตอนนี้เขาน่าจะเตรียมตัวหนีออกจากเมืองหลินชวนแล้ว ถึงลี่ถิงเซิ่งจะตามหาเขา ก็คงตามหาไม่เจอไปพักหนึ่งเลยล่ะ หรือต่อให้ตามหาเจอ ก็ไม่มีทางสืบสาวมาถึงฉันแน่”
“แกแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่สาวมาถึงตัวแก?” คุณนายสวี่เอ่ยถาม “คนนั้นชื่อว่าอะไร? แล้วตอนนี้อยู่ไหน? รีบบอกฉันมา ฉันจะได้ส่งคนไปเก็บเขา! เขารู้มากเกินไปแล้ว ไม่ควรมีชีวิตอยู่แม้แต่นาทีเดียว!”
ระดับความร้ายกาจของคุณนายสวี่ห่างไกลสวี่รั่วยีอยู่เยอะ
เมื่อครู่สวี่รั่วยีเพิ่งคิดจะให้เลขาส่งคนไปจัดการผู้ชายคนนั้นซะ แต่พอเทียบกับคุณนายสวี่แล้ว เธอยังห่างชั้นอยู่เยอะ
หลังจากที่ได้รู้ชื่อของผู้ชายคนนั้น คุณนายสวี่ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก
“ส่งคนไปจัดการผู้ชายคนหนึ่งเดี๋ยวนี้ เรื่องมันเกี่ยวกับความเป็นความตายของลูกสาวของแกว่ายังจะมีที่ยืนในสังคมเมืองหลินชวนหรือเปล่า! ไม่ต้องพูดอะไรมาก รีบไปจัดการคนคนนั้นซะ อย่าให้เขามีชีวิตอยู่จนถึงพรุ่งนี้เด็ดขาด”
หลังจากที่คุณนายสวี่วางสาย สวี่รั่วยีก็ค่อนข้างไม่พอใจ “แม่ แม่โทรหาเขาอีกแล้วใช่ไหม?”
คุณนายสวี่มองลึกเข้าไปในดวงตาของสวี่รั่วยี “ดูแลตัวเองดีๆก็พอ อย่าลืมว่าตอนนี้แกคือคนท้อง เรื่องบางเรื่องแกไม่ควรเข้าไปยุ่งหรอก!ถ้าแกอยากแต่งงานกับลี่ถิงเซิ่ง แกก็ห้ามทำอะไรเผยพิรุธแบบนี้อีกล่ะ เข้าใจไหม?”
หลังจากพูดจบคุณนายสวี่ก็ออกไปจากห้อง สีหน้าของสวี่รั่วยีพลันเปลี่ยนเป็นย่ำแย่
เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของคุณสวี่ พ่อแท้ๆของเธอคือคนอื่น
แต่แล้วยังไง ก็ตอนนี้เธอคือคุณหนูตระกูลสวี่นี่นา!
เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นสวี่รั่วฉิงคนที่สองเด็ดขาด!
ตอนนั้นต่อให้คุณสวี่จะชื่นชอบสวี่รั่วฉิงที่เป็นลูกบุญธรรมขนาดไหน ก็สู้สวี่รั่วยีที่เขาคิดว่าเป็นลูกสาวแท้ๆไม่ได้!
ถ้าหากคุณสวี่รู้ว่าสวี่รั่วยีไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของเขา จุดจบของเธอก็คงไม่ต่างไปจากสวี่รั่วฉิง!
สวี่รั่วยีทนให้เกียรติยศและความหรูหราของตัวเองหายไปไม่ได้หรอก!
เพราะงั้นเธอจะไม่มีทางยอมรับพ่อแท้ๆของตัวเองเด็ดขาด!
พ่อของเธอ คือคุณสวี่!
ในเวลาเดียวกัน ซูจิ่วเอ๋อร์ก็มาถึงคอนโดของสวี่รั่วฉิง
คนที่เปิดประตูให้เธอไม่ใช่สวี่รั่วฉิง แต่เป็นสวี่อี้ฝานกับสวี่อี้หาน
ซูจิ่วเอ๋อร์ทรุดตัวลงกอดทั้งสองคนเอาไว้ พร้อมกับฝากรอยลิปสีแดงไว้บนแก้มของเด็กทั้งสองคนละที
“หลานรักไหนบอกมาซิ แม่พวกหนูไปไหน? ทำไมยังไม่กลับ?”
สวี่อี้ฝานส่ายหน้า “คุณแม่ยังไม่กลับมาเลยครับ คืนนี้คุณแม่มีธุระ ต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยง คิดว่าคืนนี้อาจจะไม่กลับครับ”
ถึงคุณแม่จะเมายังไง ก็มีแด๊ดดี้อยู่ด้วย
สวี่อี้ฝานไม่กลัวว่าสวี่รั่วฉิงจะเมา เพราะแด๊ดดี้ของเขาไม่มีทางปล่อยคุณแม่ไว้คนเดียวแน่
ซูจิ่วเอ๋อร์มุ่นคิ้ว “รั่วฉิงไปงานเลี้ยงงั้นเหรอ แต่ว่าก่อนที่จะมาที่นี่คุณมี๊โทรคุยกับแม่พวกหนูแล้วนะ เธอบอกว่ากำลังกลับมาที่คอนโด!”
กำลังกลับมาที่คอนโด?
สวี่อี้ฝานขมวดคิ้ว จากนั้นก็ก้าวขาป้อมๆไปทางห้องรับแขก
ซูจิ่วเอ๋อร์งุนงงนิดหน่อย เธอวางกระเป๋าเดินทางไว้หน้าห้อง เปลี่ยนรองเท้าเสร็จ ก็เดินไปที่ห้องรับแขกพร้อมสวี่อี้หาน
ในห้องรับแขก สวี่อี้ฝานกำลังนั่งหอบโน้ตบุ๊คอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
มือเล็กกำลังพิมพ์รัวๆลงบนแป้นพิมพ์ ไม่รู้ว่ากำลังค้นหาอะไร
หัวคิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ปากเล็กๆก็เอาแต่พึมพำว่า “ไม่ใช่สิ จากโรงแรมที่คุณแม่ไปวันนี้มาถึงคอนโดใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แต่ว่าตอนนี้ผ่านไปแล้วสองชั่วโมงแล้วนะ แล้วคุณแม่ล่ะ?”
เมื่อซูจิ่วเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของสวี่อี้ฝาน ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าตัวเอง แล้วกดโทรออกหาเพื่อนสนิท
แต่ว่าปลายสายกลับโทรไม่ติดตลอด มีแต่เสียงสัญญาณดังขึ้นมา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ซูจิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้ว สวี่อี้ฝานกับสวี่อี้หานมองมาที่ซูจิ่วเอ๋อร์อย่างเป็นกังวล “โทรหาคุณแม่ไม่ติดเหรอครับ?”
ซูจิ่วเอ๋อร์พยักหน้า “โทรไม่ติดเลย บอกว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ ไม่น่าใช่แล้ว…..ถ้าโทรศัพท์มีปัญหาก็น่าจะบอกผ่านช่องทางอื่นแล้วสิ!”
ยิ่งคิด ซูจิ่วเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกๆ
สวี่อี้ฝานรีบเสิร์ชหาข่าวที่เกี่ยวกับแม่ตอนนี้ในอินเทอร์เน็ตทันที ไม่ถึงนาทีเขาก็สะดุดตากับข่าวในแวยป๋อ
เขาอ่านอยู่สักพัก อากัปกิริยาบนใบหน้าเล็กๆก็ยิ่งเครียดเขม็งเรื่อยๆ
“มีอะไร?” ซูจิ่วเอ๋อร์กับสวี่อี้หานเอ่ยถามพร้อมกันด้วยความแปลกใจ
สวี่อี้ฝานเงยหน้าขึ้นมาอย่างหนักอึ้ง “คุณมี๊ คงต้องรบกวนคุณมี๊พาพวกเราไปที่โรงพยาบาลเอกชนที่หนึ่งแล้วล่ะ”
สวี่อี้ฝานพูดพร้อมกับส่งตำแหน่งที่ตั้งของโรงพยาบาลเอกชนที่หนึ่งให้ซูจิ่วเอ๋อร์
ซูจิ่วเอ๋อร์มองที่อยู่ในโทรศัพท์ ก็รู้สึกงุนงงอยู่นิดหน่อย
“คุณแม่ประสบอุบัติเหตุ” เสียงนิ่งสงบของสวี่อี้ฝาน เจือปนไปด้วยแววสั่นระริกเล็กน้อย
สวี่อี้ฝานมีความเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าสามารถเผชิญหน้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ยังไง
แต่กระนั้นบนใบหน้าเห็นแววหล่อเหลาของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆที่หัวใจเป็นผู้ใหญ่กลับมีความลนลานปรากขึ้นมาให้เห็น
ถ้าไม่ใช่เพราะมีสวี่อี้หานอยู่ด้วย เขาก็คงร้องไห้ออกมาแล้ว