ยิ่งคิดซูจิ่วเอ๋อร์ก็ยิ่งโกรธ ตั้งแต่ที่เจอกับลี่ถิงเซิ่ง เพื่อนสนิทของตัวเองก็ซวยมาตลอด
สวี่รั่วฉิงประสบอุบัติเหตุขนาดนี้ ลี่ถิงเซิ่งยังใจเย็นได้อยู่อีก
ซูจิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น มองไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าม
บนใบหน้าหล่อสุขุมของเขายังคงเรียบนิ่งเหมือนเดิม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ลี่ถิงเซิ่งขบเม้มริมฝีปาก มือขาวคลำหาโทรศัพท์ออกมา แล้วก้มหน้าส่งข้อความหาใครก็ไม่รู้ จากนั้นเขาก็ค่อยๆวางโทรศัพท์กลับลงที่เดิม
เขาจดจ้องประตูห้องผ่าตัดที่ปิดสนิทเขม็ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว?
ลี่ถิงเซิ่งก้มหน้าลงมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาโดยอัตโนมัติ
ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า ท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างเริ่มส่องแสงสว่างรางๆแล้ว
เมื่อคืนเขาไม่ได้หลับเลยเหรอ? ตอนนี้ไม่รู้ว่าอาการของแอนนาเป็นยังไงบ้าง คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาแห้งๆของลี่ถิงเซิ่งก็กะพริบสองสามครั้ง
เขาเหลือบมองหลี่อานที่ดูง่วงซึม
หลี่อานและลี่ถิงเซิ่ง ไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา หลี่อานยุ่งกว่าลี่ถิงเซิ่งเสียอีก วันนี้ลี่ถิงเซิ่งไม่เข้าบริษัท หลี่อานก็ต้องจัดการงานทั้งหมดให้เรียบร้อย
หลังจากเคลียร์ทุกอย่างเกือบเสร็จ ความง่วงก็กลับมาจู่โจมหลี่อานอีกครั้ง
ลี่ถิงเซิ่งหลุบตาลง ไม่ได้ปลุกผู้ช่วยส่วนตัวของตัวเอง เขาค่อยๆแกะกระดุม แล้ววางเสื้อสูทของตัวเองวางไว้บนเก้าอี้ จากนั้นก็คลายเนกไทของตัวเองออก
เขาเหนื่อยล้าไปทั้งตัว ดวงตาดำคล้ำปรากฏให้เห็นความแดงก่ำอย่างชัดเจน
เขาลุกขึ้นเดินไปยังตู้กดน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากห้องผ่าตัด หลังจากที่กดซื้อกาแฟกระป๋องเสร็จ ก็กลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
ใช้มือข้างหนึ่งเปิดฝากระป๋อง เงยหน้าดื่มกาแฟเสียงดังอึกๆ จากนั้นก็วางเอาไว้ข้างๆ
ลี่ถิงเซิ่งมีปัญหาเรื่องการนอนหลับอย่างรุนแรง เขาภาวนาอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีสักวันที่สามารถรักษาหายได้
แต่ว่าในตอนนี้ ณ ขณะนี้ เขากลับรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ไม่อย่างนั้นถ้าหากเขาหลับไป เขาก็จะไม่ได้เฝ้าสวี่รั่วฉิงอยู่หน้าห้องผ่าตัดอย่างนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่ลี่ถิงเซิ่งไม่ได้ใช้น้ำหอมเพื่อให้ตัวเองหลับ เขาจึงเริ่มรู้สึกง่วง แต่เขาก็ยังพึ่งกาแฟกระป๋องแล้วกระป๋องเล่าพยายามกดความง่วงเอาไว้
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาส่งข้อความไปหาเพื่อนสนิทอย่างเสิ่นเชียน ให้เสิ่นเชียนช่วยสืบเงียบๆว่าช่วงนี้วงการตลาดมืดได้ร่วมมือทำอะไรลับๆกับตระกูลไหนในเมืองหลินชวนหรือเปล่า
เสิ่นเชียนไม่รู้เรื่องที่สวี่รั่วฉิงประสบอุบัติเหตุ จึงถามลี่ถิงเซิ่งว่า “พี่ลี่ ให้ผมสืบพวกไหนบ้าง? ลี่ซื่อกรุ๊ปมีเรื่องอะไรเหรอ?”
ลี่ถิงเซิ่งตอบกลับเขาเรียบนิ่ง “ฉันต้องการรู้ว่าคนของตระกูลไหนคิดจะเก็บเธอ”
“เธอ?” เสิ่นเชียนอึ้งในทันที
คงไม่ใช่ว่าพี่ลี่คั่วผู้หญิงจนเกิดเรื่องถึงชีวิตหรอกนะ?
ไม่น่าใช่มั้ง? พี่ลี่ไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้นสักหน่อย! ไม่เหมือนผู้ชายที่คั่วผู้หญิงเสร็จแล้วสลัดทิ้งสักนิด!
เสิ่นเชียนรีบเอ่ยถาม “ไอ้พี่ลี่ พี่แอนนาดีขนาดนั้น พี่คงไม่ได้เล่นๆแล้ว……….”
เมื่อลี่ถิงเซิ่งเห็นคำว่า “แอนนา” เส้นเลือดตรงขมับก็ผุดขึ้นมา เวลาเขาเห็นคำนี้ เหมือนหัวใจมีเลือดไหล เหมือนถูกหนามทิ่มแทงเข้ามานับครั้งไม่ถ้วน
“ฉันต้องการแค่บทสรุป” หลังจากที่ลี่ถิงเซิ่งส่งประโยคนี้ไป เขาก็ไม่สนใจเสิ่นเชียนอีก
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ลี่ถิงเซิ่งนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้พักผ่อน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก้มหน้ามองโทรศัพท์ที่ไม่มีข้อความใดๆ ใช้มือข้างหนึ่งโยนกระป๋องกาแฟที่ดื่มหมดลงในถังขยะข้างๆ จากนั้นก็ค้ำหน้าผากไว้อย่างเหนื่อยล้า
เวลาผ่านไปหนึ่งนาทีหนึ่งวินาที บริเวณทางเดินที่เงียบสนิท ไม่มีเสียงใดๆดังขึ้นมา
ความกดดันที่เงียบงันทำให้รู้สึกหายใจลำบาก
ซูจิ่วเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามลี่ถิงเซิ่งเองก็มีสีหน้าเหนื่อยล้าเช่นเดียวกัน
ในฐานะที่เป็นคุณหนูของตระกูลซู แม้ว่าเธอจะชอบPARTYมากแค่ไหน แต่กลับไม่ค่อยอยู่จนโต้รุ่ง ทุกวันเธอต้องเข้านอนก่อนเที่ยงคืน ไม่ได้อดหลับอดนอนบ่อยนัก
บนโลกใบนี้นอกจากสวี่รั่วฉิงและคนในตระกูลซูแล้ว เธอไม่มีทางฟุ้งซ่านเพราะใครแบบนี้แน่
แต่ว่าตอนนี้ ซูจิ่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดนานเท่าไหร่แล้ว
เธอนั่งจนเมื่อย จึงยืดตัวขยับแขนคลายความเมื่อยล้า จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
ตั้งกี่โมงแล้ว ยังผ่าตัดไม่เสร็จเลย
มันรุนแรงขนาดไหนกัน?
ซูจิ่วเอ๋อร์เดินมาที่ตู้กดน้ำอย่างง่วงๆ เธอหาวออกมาวอดนึ่ง จากนั้นก็ก้มตัวลงไปหยิบกาแฟกระป๋องขึ้นมา แล้วกลับมานั่งที่เดิม
เธอเงยหน้ามองผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามตัวเอง
ผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง เขาก็ยังคงนิ่งๆเหมือนเดิม แต่ว่าดวงตาแดงก่ำกลับหักหลังเขา
ดูเหมือนว่า ลี่ถิงเซิ่งไม่ได้ละเลยรั่วฉิงขนาดนั้น
ซูจิ่วเอ๋อร์ไม่มีอารมณ์มาคิดอะไรเยอะแยะ เพียงแต่เธอแค่รู้สึกแปลกใจ ถ้าลี่ถิงเซิ่งเป็นห่วงสวี่รั่วฉิงจริงๆ แล้วทำไมเขาเอาแต่นั่งนิ่งๆอยู่ได้ล่ะ เขาเป็นหุ่นยนต์เหรอ?
ดูไม่ง่วง แถมยังไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอีก
ทั้งใบหน้าหล่อเหลาของลี่ถิงเซิ่งเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ราวกับไม่ใช่คน
ซูจิ่วเอ๋อร์เหยียบรองเท้าส้นสูง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลี่ถิงเซิ่ง หลังจากเปิดฝากระป๋องกาแฟ แล้วดื่มเข้าไปไม่กี่อึก ก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ประธานลี่ ฉันต้องการรู้เรื่องที่แอนนาประสบอุบัติเหตุอย่างละเอียด”
เธอมาที่โรงพยาบาลได้หลายชั่วโมงแล้ว แต่ลี่ถิงเซิ่งไม่แม้แต่จะเป็นฝ่ายเริ่มบอกว่าสถานการณ์ของสวี่รั่วฉิงในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
ซูจิ่วเอ๋อร์ไม่รู้เลยว่าอาการของแอนนามันรุนแรงแค่ไหน!
ลี่ถิงเซิ่งช้อนดวงตาดำขลับขึ้นมา กวาดมองซูจิ่วเอ๋อร์อย่างไม่มีความอบอุ่นใดๆ ริมฝีปากบางของเขาแห้งผาก
เขาเม้มริมฝีปาก พูดว่า “คุณเป็นอะไรกับเธอ?”
ซูจิ่วเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้น พูดเยาะเย้ยว่า “ฉันสนิทกับเธอมากกว่าคุณก็แล้วกัน หรือไม่ใช่? ฉันกับแอนนารู้จักกันมาตั้งนาน ส่วนคุณเพิ่งรู้จักกับเธอเท่าไหร่เอง ถ้าให้พูดถึงความสัมพันธ์ทางด้านนิตินัย ฉันสนิทกับเธอมากกว่าคุณเยอะ!ฉันมีสิทธิ์รู้อาการของแอนนาในตอนนี้!”
ซูจิ่วเอ๋อร์พูดออกมาอย่างแข็งกร้าว
ถึงแม้ว่าลี่ถิงเซิ่งกับสวี่รั่วฉิงจะเคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา แถมยังมีลูกด้วยกันก็เถอะ
แต่แล้วยังไง? ลี่ถิงเซิ่งไม่แม้แต่จะรู้เลยด้วยซ้ำ ขนาดตัวเองมีลูกยังไม่รู้เลย!
เวลาหกปีที่ผ่านมา มีแต่สวี่รั่วฉิงที่พึ่งพาตัวเองเลี้ยงดูสวี่อี้ฝานและสวี่อี้หานให้เติบโตขึ้นมาขนาดนี้!
ต่อให้ต้องขึ้นศาล ลี่ถิงเซิ่งก็ไม่มีทางแย่งสิทธิ์เลี้ยงดูไปได้เด็ดขาด
อย่างน้อยในตอนนี้ ความสัมพันธ์ของซูจิ่วเอ๋อร์และสวี่รั่วฉิง ก็สนิทชิดเชื้อมากกว่าลี่ถิงเซิ่งเยอะ!
ซูจิ่วเอ๋อร์คิดมาถึงตรงนี้ ความไม่ชอบใจที่มีต่อลี่ถิงเซิ่งก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายตรงหน้า สวี่รั่วฉิงก็คงไม่ถูกสวี่รั่วยีทำร้าย คงไม่ต้องกลายเป็นคุณแม่วัยใสที่ต้องทำงานและเลี้ยงดูลูกไปพร้อมๆกัน
มีแค่ผู้หญิงที่เคยมีประสบการณ์เท่านั้นถึงจะรู้ว่าถ้าอยากทำได้เท่าสวี่รั่วฉิงมันยากขนาดไหน!