เด็กชายที่ปกติจะเคร่งขรึมแต่สุดท้ายก็อดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้
นัยน์ตาสีเข้มนั้น รื้นเต็มไปด้วยน้ำตา น้ำตาทีละหยดทีละหยดนั้นไหลลงบนหน้าจอโทรศัพท์
“ในที่สุดแม่ก็ฟื้นแล้ว ในที่สุดแม่ก็ปลอดภัยแล้ว…” สวี่อี้ฝานพูดพร่ำซ้ำๆอยู่เช่นนั้น
สวี่อี้หานร้องไห้เสียงดัง เด็กน้อยเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ หลังจากที่รู้เรื่องของแม่ สิ่งที่อดกลั้นไว้ในใจก็พรั่งพรูหลั่งออกมา
ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าร้องไห้อยู่นานแค่ไหน ร้องไห้จนหมดแรง ดวงตาแดงก่ำ สุดท้ายก็หยุดร้องไห้
ดวงตาของสวี่อี้หานบวมเป่ง เธอหยิบเอากระดาษทิชชูสองสามแผ่นมาเช็ดหน้า “พี่คะ หนูอยากไปหาแม่”
เสียงเธอนั้นค่อนข้างเบา จมูกก็มีเสียงอู้อี้
สวี่อี้ฝานกลับมาใจเย็นเหมือนอย่างปกติแล้ว เขาคิดอย่างตั้งใจ จากสถานะของพวกเขาตอนนี้หากต้องการอยากจะไปเยี่ยมแม่ด้วยตัวเอง มันช่างลำบากมาก
แม่นั้นก็ไม่เคยบอกแด๊ดดี้เกี่ยวกับสถานะของพวกเขาสองคน และจากลักษณะนิสัยของแด๊ดดี้แล้ว เขาเป็นคนที่จมูกไวและเฉียบแหลมมาก แค่เพียงแค่เห็นเขากับสวี่อี้หาน จะต้องเดาออกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่ๆ
ดังนั้น ถ้าหากว่าอยากไปเยี่ยมหม่ามี๊ที่โรงพยาบาล ก็จำเป็นต้องสับหลีกกับแด๊ดดี้
สวี่อี้ฝานคิดถึงจุดนี้ ก็คิดไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
และไม่รู้ว่าตอนนี้แด๊ดดี้ยังอยู่ที่โรงพยาบาลหรือเปล่า ระบบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลเอกชนอันดับหนึ่งนั้นเชื่อถือได้ที่สุด สวี่อี้ฝานหยิบแล็บท๊อปออกมา เตรียมจะเจาะเข้าระบบกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลเพื่อดูว่าตอนนี้ลี่ถิงเซิ่งยังอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่หรือเปล่า
สวี่อี้หานเอ่ยถามมาจากข้างๆ “พี่ ทำไมพี่ไม่ถามแม่บุญธรรมล่ะ? แม่บุญธรรมก็อยู่ที่โรงพยาบาลนะ”
คำถามของสวี่อี้หาน ทำให้สวี่อี้ฝานอ้าปากค้างพูดไม่ออก
เขาลืมวิธีง่ายๆแบบนี้ไปได้ยังไงนะ?
สวี่อี้ฝานถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่ ดูท่าทางอุบัติเหตุของแม่ จะส่งผลกระทบต่อระบบความคิดของเขาจริงๆ
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างไม่ลังเล และกดเบอร์โทรของซูจิ่วเอ๋อร์
ซูจิ่วเอ๋อร์ที่ยังคงอยู่ดูแลสวี่รั่วฉิงที่โรงพยาบาล เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก็หยิบขึ้นมาดู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสายของสวี่อี้ฝาน
ในห้องพักไข้นั้นเงียบสงบมาก ถึงแม้ว่ารั่วฉิงจะยังไม่ตื่น แต่ก็ไม่อยากรบกวนเธอ
เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูจิ่วเอ๋อร์ก็เงยหน้าขึ้น พร้อมพูดกับพยาบาลที่เพิ่งจะเข้ามาในห้อง “คุณน้าคะ รบกวนดูแลแอนนาอยู่นี่สักครู่นะคะ ฉันมีธุระต้องออกไปคุยโทรศัพท์”
พยาบาลพยักหน้า พร้อมยิ้ม “คุณซู คุณวางใจได้เต็มที่เลยค่ะ”
ซูจิ่วเอ๋อร์หยิบโทรศัพท์ เดินไปที่ระเบียง พร้อมเปิดหน้าต่างขึ้น แล้วรับโทรศัพท์ “อี้ฝาน ที่บ้านเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” เธอถามอย่างห่วงใย
สวี่อี้ฝานส่ายหัว “แม่บุญธรรมครับ แด๊ดดี้ไปหรือยัง?”
ซูจิ่วเอ๋อร์นิ่งไปสักพักไม่ได้ตอบอะไร แด๊ดดี้?
เธอตะลึงไปสักพักก็เริ่มคิดออกว่าสวี่อี้ฝานนั้นพูดถึงลี่ถิงเซิ่ง ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ลี่ถิงเซิ่งให้ลูกสาวกับลูกชายบุญธรรมของเธอกินยาพิษอะไรเข้าไปหรือเปล่า ทำไมถึงเอาแต่เรียกว่าแด๊ดดี้แด๊ดดี้อยู่ได้!
เด็กน้อยที่เธอเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กก็กำลังจะถูกพรากไปแล้วเหรอ?
ซูจิ่วเอ๋อร์พูดตอบ “ลี่ถิงเซิ่งกลับไปแล้ว เป็นอะไรเหรอ?”
“ถ้าหากว่าแด๊ดดี้กลับไปแล้วล่ะก็ งั้น…แม่บุญธรรมครับ พวกเราอยากจะไปเยี่ยมหม่ามี๊ได้ไหมครับ?” สวี่อี้ฝานถาม
ในเมื่อแด๊ดดี้กลับไปแล้ว งั้นพวกเราไปโรงพยาบาลตอนนี้ คงไม่มีคนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับแด๊ดดี้หรอก
และคงไม่ทำให้หม่ามี๊ลำบาก!
เมื่อฟังถึงตรงนี้ จมูกของซูจิ่วเอ๋อร์ก็ค่อยๆแดง ตานั้นกะพริบปริบๆ เจ็บปวดอยู่เล็กน้อย
สวี้อี้ฝานพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นลึกๆ แค่ได้ฟังก็รู้ได้เลยว่าเด็กน้อยนั้นเพิ่งจะร้องไห้มา
ใช่แล้ว เขาและสวี่อี้หานนั้นยังเป็นเด็กน้อยอายุยังไม่ถึงสิบขวบเลย
จู่ๆจะให้พวกเขายอมรับเรื่องที่แม่ตัวเองเกิดอุบัติเหตุ ถึงขนาดจะมาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลยังไม่สามารถทำตามใจได้ อยากจะมาดูแม่ของตัวเองที่โรงพยาบาลยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ช่างเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายเสียจริง
ซูจิ่วเอ๋อร์คิดถึงตรงนี้ ในใจก็อดที่จะเป็นทุกข์ไม่ได้
แม้ว่าตอนนี้จะดึกมากแล้ว แต่ก็เกรงว่าคงจะมีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่ลี่ถิงเซิ่งจะไม่อยู่
ขนาดสวี่อี้หานและสวี่อี้ฝานเด็กขนาดนี้ยังรู้เลยว่าพวกเขาสามารถใช้แค่โอกาสที่ลี่ถิงเซิ่งไม่อยู่นี้ได้แค่เท่านั้น จึงจะมาหาสวี่รั่วฉิงได้
ซูจิ่วเอ๋อร์จะไม่รู้ได้อย่างไร?
“ตอนนี้ดึกมากแล้ว พวกหนูมาก็คงไม่ปลอดภัย งั้นเอาแบบนี้ละกัน ฉันจะให้เลขาของฉันพาพวกหนูมาที่โรงพยาบาล แต่ตอนนี่มีนักข่าวอยู่ประตูทางเข้าโรงพยาบาลไม่น้อยเลย พวกหนูจำไว้นะถ้าออกมาแล้วให้สวมหน้ากากอนามัยออกมาด้วย จะได้ไม่โดนถ่ายรูปได้”
สวี่อี้ฝานพยักหน้า “แม่บุญธรรม วางใจเถอะนะครับ”
ซูจิ่วเอ๋อร์จับโทรศัพท์พร้อมกับเดินกลับมาในห้องพักไข้ เธอเหลือบมองเลขาของตัวเอง พร้อมกระซิบสั่งเบาๆ “ไปที่คอนโดของรั่วฉิง ช่วยรับเด็กสองคนมาให้ฉันหน่อยนะ รักษาความปลอดภัยด้วย ให้พวกเขาใส่หน้ากากจะได้ไม่โดนนักข่าวถ่ายรูปได้”
ในคอนโดของสวี่รั่วฉิง ทั้งสวี่อี้ฝานและสวี่อี้หานทั้งสองคนนั้นช่วยกันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น เลขาของซูจิ่วเอ๋อร์ก็ขับรถมาถึงใต้ตึกคอนโด จากนั้นสวี่อี้หานและสวี่อี้ฝานก็ติดตามเลขาของซูจิ่วเอ๋อร์มาจนถึงโรงพยาบาลเอกชนอันดับหนึ่ง
สวี่อี้ฝานและสวี่อี้หาน คนหนึ่งก็เติบโตมาอย่างหล่อเหลา ส่วนอีกคนก็เติบโตมาอย่างน่ารัก
แม้ว่าทั้งสองคนจะสวมหน้ากาก แต่ก็ยังปรากฏดวงตาที่สวยงามนั้นให้เห็น
เพราะเหตุนี้ทั้งสองคนจึงโดนนักข่าวที่อยู่แถวนั้นแอบถ่ายรูปเก็บไว้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่มีใครรู้ว่าเด็กทั้งสองคนนี้คือลูกๆของสวี่รั่วฉิง หรือก็คือลูกของแอนนานั่นเอง
“นี่คือดาราเด็กฝึกหัดหรือเปล่า? เธอดูดวงตากลมโตคู่นั้นสิ ดูดีมากๆเลย!”
“รถที่เพิ่งขับออกไปคันเมื่อครู่นี้ ก็เป็นรถหรูนะ!”
“หรือว่าเป็นคุณหนูคุณชายของตระกูลที่มีทั้งเงินและอิทธิพลตระกูลไหน?”
“แต่ว่าคุณหนูคุณชายก็คงจะไม่มาโรงพยาบาลเวลานี้หรอกมั้ง…”
“ดาราเด็กก็คงจะไม่มาหรอกมั้ง…”
“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ยังไงก็ช่วยกันขายข่าวก่อน!”
นักข่าวที่แอบถ่ายรูปไว้ ก็นำรูปของสวี่อี้ฝานและสวี่อี้หานขายให้กับบรรณาธิการแผนกข่าวบันเทิง จากนั้นก็แอบอยู่ที่บริเวณโรงพยาบาลต่อไป หวังว่าจะสามารถถ่ายข่าวอะไรที่เกี่ยวข้องกับสวี่รั่วฉิงไว้ได้
เลขาของซูจิ่วเอ๋อร์มองนักข่าวสองสามคนนั้นอย่างจริงจัง แล้วจำไว้ในใจ
กลับไปต้องนำเรื่องนี้ไปบอกคุณหนู ต้องช่วยคุณรั่วฉิงจัดการกำจัดรูปภาพพวกนั้นไปให้หมด
เลขาของซูจิ่วเอ๋อร์คิด พร้อมกับจูงมือเล็กของสวี่อี้ฝานและสวี่อี้หานเดินตรงไปทางห้องพักไข้
ก่อนหน้านี้เด็กสองคนนี้ร้องไห้อย่างหนักมานาน เขารู้ดี
ตอนที่เขารับคำสั่งจากซูจิ่วเอ๋อร์ และรีบไปยังคอนโดของสวี่รั่วฉิง เด็กๆสองคนนี้ก็เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว แต่จมูกนั้นยังคงแดงอยู่ ตาก็ยังแดงอยู่ ขนาดตอนที่พูดน้ำเสียงนั้นก็ยังปนความสะอื้นออกมาอยู่เลย
เลขาของซูจิ่วเอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายซูจิ่วเอ๋อร์มานานมากแล้ว เพราะเหตุนี้จึงรู้จักเด็กน้อยทั้งสองคนนี้อย่างดี ทุกทุกวันเขาจะเห็นสวี่อี้ฝานและสวี่อี้หานอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลซู เขาก็เกิดความรักและความผูกพันกับเด็กทั้งสองคนนี้ขึ้นมาโดยธรรมชาติ
เขาเพิ่งจะพบว่ามือเล็กของเด็กทั้งสองที่จับเขาอยู่นั้นสั่นเล็กน้อย
“คุณหนู คุณชายครับ วางใจเถอะนะ คุณแอนต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน” เลขาพูดปลอบใจ
สวี่อี้ฝานและสวี่อี้หานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เลขาพาพวกเขามาจนถึงหน้าประตูห้องพักไข้ของสวี่รั่วฉิง
สวี่อี้ฝานและสวี่อี้หานจ้องตากันและกัน และค่อยๆผลักเปิดประตูอย่างเป็นที่รู้กัน
สายตาพวกเขาก็พบกับสวี่รั่วฉิงที่นอนอยู่บนเตียง ทันใดนั้นดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมา