บทที่ 1295 แก่นแท้ของมหาเต๋า
บทที่ 1295 แก่นแท้ของมหาเต๋า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด
เฉินซีผู้นั่งสมาธิอยู่ภายในโลกแห่งดารา จู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งในใจ และคว้าร่องรอยของปัจจัยสำคัญเพื่อการบรรลุได้อย่างฉับพลัน!
ร่องรอยของปัจจัยสำคัญนี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แต่มันก็ใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก มันทำให้เฉินซีที่เข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารา ต้องรอคอยและสั่งสมพลังมาตลอดสองปี
แต่บัดนี้ พลังในร่างของเฉินซีก็พลุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟที่สะสมพลังมานานหลายล้านปี และดูเหมือนเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองกำลังลุกไหม้ไปทั่วร่างกาย ซึ่งสาดส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมานับไม่ถ้วน ทำให้โลกแห่งดาราเต็มไปด้วยความสว่างไสว ประหนึ่งดวงอาทิตย์ที่สุกใสท่ามกลางดวงดาวมากมาย
ครืนนน! ครืนนน!
ในร่างกาย ปราณเซียนพิสุทธิ์ที่ไร้ขอบเขตราวกับหุบเหวก็พวยพุ่งและดังก้องไปทั่วจักรวาลราวกับเสียงฟ้าคำราม มันแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้หัวใจสั่นไหว และกว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุการณ์นี้น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง และเหนือกว่าคนในรุ่นเดียวกันอย่างมาก จนยากที่จะเชื่อ
“ทลาย!” ทันทีที่สามารถจับร่องรอยของปัจจัยสำคัญในการบรรลุได้ ทันใดนั้น เฉินซีก็ตะโกนก้องในใจ เหมือนเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของเทพอสูร คล้ายเสียงกู่ร้องของเหล่าทวยเทพ
โครม!
ปราณเซียนพิสุทธิ์ภายในร่างกายของเฉินซีพลุ่งพล่านราวกับกระแสหินหลอมเหลว มันส่งเสียงคำรามขณะที่มันพุ่งไปทั่วร่างกาย ทุกที่ที่มันผ่านไป ไม่ว่าจะผิวหนัง เส้นเอ็น กระดูก ทุกจุดชีพจร… ทั้งร่างถูกย้อมด้วยทองคำบริสุทธิ์ ราวกับถูกสร้างขึ้นจากทองคำที่แวววาวที่สุด
พลังนี้ไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงกลัวมาก มันมาบรรจบกัน ก่อนที่จะพลุ่งพล่านอยู่ในร่างของเฉินซี ราวกับมังกรที่โกรธเกรี้ยว
ในขณะนี้ สีหน้าของเฉินซีเริ่มเคร่งเครียดและหนักหน่วงอย่างยิ่ง ท่าทางที่หนักแน่นเต็มไปด้วยความห้าวหาญ ความเด็ดเดี่ยว ความไม่เกรงกลัว และจิตวิญญาณที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
เขากำลังจะทะลวงผ่านขอบเขต!
โครม!
ในร่างกายเหมือนถูกม่านพลังไร้รูปร่างได้แยกตนกับฟ้าดินออกจากกัน กระแสพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวที่พลุ่งพล่านภายในร่างกายของเฉินซี ก็พุ่งเข้าใส่ม่านพลังนี้อย่างดุเดือด ตั้งใจที่จะทำลายและบดขยี้ ก่อนจะทะลวงผ่านมันไป!
หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนทองคำทั่วไป ม่านพลังของผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นก็คงจะถูกทำลายอย่างง่ายดายภายใต้อานุภาพของพลังงานนี้ แต่เฉินซีไม่ใช่ เขามีรากฐานแข็งแกร่งเกินไป และม่านพลังภายในร่างก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน มันแข็งแกร่งราวกับกำแพงที่ปกป้องสวรรค์ และถึงแม้จะมีปราณเซียนพิสุทธิ์ที่หนาแน่น ก็ไม่อาจทะลวงผ่านมันในช่วงเวลาสั้น ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ทุก ๆ การพุ่งทะลวงทำให้เกิดเสียงดังก้องอยู่ภายในกาย มันทำให้จิตวิญญาณสั่นสะท้านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้ผลกระทบของการปะทะที่น่าสะพรึงกลัวนี้ ที่หว่างคิ้วของเขาได้แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย
โครม! โครม! โครม!
การปะทะดังกล่าวดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง มันเหมือนกับคลื่นพายุที่ซัดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเมื่อเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดบนใบหน้าก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน
ราวกับพลังที่น่าสะพรึงกลัวนี้กำลังโหมกระหน่ำอยู่ภายใน และมันกำลังพยายามพุ่งออกจากร่างของตน
เจ็บปวด!
ความเจ็บปวดที่แสนสาหัส!
เฉินซีไม่เคยคิดเลยว่า เขาจะประเมินความยากลำบากในการบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงต่ำเกินไป ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้น เหมือนกับดาบจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทงหัวใจ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เส้นประสาทในร่างกายรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัส
แต่ชายหนุ่มไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย และพยายามอย่างเต็มที่รักษาสติของตนเอาไว้ เพราะหากประมาทเพียงเล็กน้อย อาจสูญเสียการควบคุมพลังงานที่อยู่ภายในร่างกายไปอย่างสมบูรณ์
ในท้ายที่สุด เมื่อรู้สึกว่าจิตใจใกล้จะพังทลายจากความเจ็บปวดอันไร้ขอบเขต เฉินซีก็ได้ยินเสียงดังก้องกังวานจากภายในร่าง จากนั้นร่องรอยของรอยร้าวก็ปรากฏบนม่านพลังที่แข็งแกร่งนั่น
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรอยร้าว แต่มันก็ทำให้เฉินซีรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ได้ในทันที เหมือนกระแสน้ำที่พุ่งเข้ามาทางประตูระบายน้ำ ปราณเซียนพิสุทธิ์ที่ใกล้จะระเบิด ในที่สุดก็พบช่องทางระบายออกไปในที่สุด!
รูที่เล็กที่สุดก็สามารถทำลายกระแสน้ำได้ เมื่อมีรอยร้าวปรากฏบนม่านพลัง มันก็จะถูกทำลายจนหมดสิ้น ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่า นี่เป็นเรื่องจริง เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป รอยร้าวบนม่านพลังก็ขยายใหญ่ขึ้น ปราณเซียนพิสุทธิ์ถาโถมผ่านมันมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในทางกลับกัน ความเจ็บปวดบนสีหน้าของเฉินซีก็ค่อย ๆ คลายลง ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชัดเจน เรียบเนียน ไหลเวียน และไร้ที่ติ
สภาพเช่นนี้ดำเนินไปเป็นเวลานาน
ภายในร่างกาย เสียงที่กำลังกังวานและพลุ่งพล่านค่อย ๆ สงบลง ขณะที่พลังงานที่ลุกโชนราวกับเปลวเพลิง ก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตที่อุดมสมบูรณ์กระจายไปทั่วกาย ยิ่งกว่านั้น จิตวิญญาณที่สั่นไหวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ค่อย ๆ สงบลง…
ภายนอกร่างกายของเฉินซี กำลังเปล่งแสงสีทองอ่อนโยนอันไร้ที่ติ และกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทร มันส่องสว่างไปทั้งฟ้าดิน และย้อมทั้งเก้าชั้นฟ้าด้วยแสงสีทอง
เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซีผู้นั่งสมาธิอย่างสงบนั้น แท้จริงแล้วสว่างไสวราวกับทวยเทพ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้มลทินใด ๆ
ทั้งภายในและภายนอกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!
นี่คือระดับพรหมสวรรค์ โลกภายในร่างกายจะบรรลุถึงความสมบูรณ์ และสะท้อนกับทุกสิ่งในโลกที่ไกลออกไปราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเป็นสภาวะที่ ‘สวรรค์และโลกคือข้า และข้าคือสวรรค์และโลก!’
ในขณะนี้ เฉินซีผู้ซึ่งปิดประตูบ่มเพาะภายในโลกแห่งดารามาเป็นเวลาสองปี โดยอาศัยความช่วยเหลือจากต้นอ่อนเงาทมิฬและความมุ่งมั่นสูงสุด ก็สามารถบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงได้ในที่สุด!
แต่นี่ไม่ใช่จุดจบ…
เพราะในทันทีที่บรรลุขอบเขต จิตวิญญาณและความคิด ดูเหมือนจะถูกดึงดูดด้วยพลังที่ไร้รูปร่าง และตกอยู่ในการห่อหุ้มของพลังงานที่คลุมเครือ
ในยามนั้น ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มันรู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกแช่อยู่ในแก่นแท้ของมหาเต๋า และวิญญาณก็รู้สึกสบายใจจนอดหวั่นไหวไม่ได้
เต๋ารู้แจ้ง กฎ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์… ทั้งหมดนี้สามารถเรียกว่ามหาเต๋า และมันถือกำเนิดมาจากจักรวาล และรักษาระเบียบของทั้งสามภพ
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ เต๋ารู้แจ้งเป็นรูปแบบเริ่มต้นของการตีความมหาเต๋า กฎเป็นรูปแบบขั้นกลาง และตราศักดิ์สิทธิ์แห่งมวลสวรรค์เป็นรูปแบบขั้นสูง
นี่เป็นกระบวนการตั้งแต่การเข้าใจอย่างผิวเผินไปจนถึงการเข้าใจอย่างถ่องแท้ และมันก็เป็นกระบวนการที่สามารถรับรู้ถึงแก่นแท้ของมหาเต๋าอย่างไม่หยุดยั้ง จนผู้ที่แสวงหาจุดสิ้นสุดของแก่นแท้ของมหาเต๋าอาจกล่าวได้ว่า ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาเต๋าแล้ว
ในขณะนี้ เฉินซีรู้สึกว่า แม้จะไม่มีความสามารถในการยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาเต๋า แต่วิญญาณทั้งหมด ก็ถูกห่อหุ้มด้วยพลังแก่นแท้ของมหาเต๋าแล้ว!
ในเวลาต่อมา เฉินซีก็คิดเสียเวลาอีกต่อไป หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่า เขาไม่มีเวลาไตร่ตรองเรื่องนี้เลย มันรู้สึกราวกับแก่นแท้โบราณที่คลุมเครือได้พุ่งเข้าสู่ร่างกายจนสูญเสียความสามารถในการคิดทั้งหมดไปโดยสิ้นเชิง
มีเพียงชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากในทะเลแห่งจิตสำนึกเท่านั้นที่ส่งเสียงพึมพำเบา ๆ พวกมันแผ่คลื่นพลังผันผวนที่คลุมเครือและแปลกประหลาดออกมา…
…
เหนือขอบเขตเซียนทองคำคือขอบเขตเซียนปราชญ์
มันเป็นกระบวนการของการกลายเป็นเทพ และการบรรลุสู่ความเป็นปราชญ์ มันทลายขอบเขตของ ‘ตัวข้า’ และมันเป็นระดับใหม่โดยสิ้นเชิง ในช่วงยุคบรรพกาล เหล่าทวยเทพและปราชญ์ต่างต่อสู้เพื่อชิงอำนาจสูงสุด
พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่พวกเขามี คือสิ่งที่มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปราชญ์หรือสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้
ณ ปัจจุบัน การบ่มเพาะของเฉินซีได้ทะลวงไปสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูง และเป็นจุดสิ้นสุดของขอบเขตเซียนทองคำ ก้าวต่อไปคือการก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นเทพและบรรลุความเป็นปราชญ์!
ในขณะนี้ เฉินซีบังเอิญโชคดีในการสำแดงพลังของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ทำให้จิตวิญญาณถูกห่อหุ้มด้วยพลังแก่นแท้ของมหาเต๋า ซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นโชคชะตา
…
“หลิงไป๋ ศิษย์พี่เฉินซี… ยังไม่ออกจากการบ่มเพาะเลยหรือ?” บนหน้าผาด้านนอกห้องกระบี่ ชิงเยี่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย เนื่องจากการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักกำลังจะเริ่มต้นในวันมะรืนนี้แล้ว แต่เฉินซีที่ต้องเข้าร่วมกลับอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ แล้วจะให้ไม่กังวลได้อย่างไร?
ในช่วงหลายวันมานี้ ชิงเยี่ยได้แวะมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ต้องกลับไปมือเปล่าทุกครั้ง ตอนนี้การถกวิถีเต๋าใกล้เข้ามา มันทำให้เขาวิตกกังวลอย่างยิ่ง
“ทุกอย่างปกติดี หากมันเลวร้ายที่สุด ข้าก็จะเข้าร่วมแทนเขา” หลิงไป๋แสยะยิ้มขณะนั่งอยู่บนหลังของชิงชิง พลางเคี้ยวผลไม้สีแดงสดมือ
หลิงไป๋เอ่ยถาม “ทำไมหรือ?”
ใบหน้าของชิงเยี่ยบิดเบี้ยวทันที แล้วเผยสีหน้าเศร้าหมอง แต่ไม่ได้กล่าวคำใด
หลิงไป๋ย่นริมฝีปากด้วยความโกรธและกล่าวว่า “เอาละ ข้าแค่ล้อเล่น ถ้าเขายังไม่ออกมาในวันมะรืน ข้าก็จะไปรับเขาเอง เขาจะไม่พลาดการถกวิถีเต๋าอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ชิงเยี่ยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มีท่าทางลังเล แล้วจึงกล่าวว่า “มันจะไม่รบกวนการบ่มเพาะของศิษย์พี่เฉินซีหรอกหรือ? แล้วถ้าเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นล่ะ…”
หลิงไป๋พยักหน้าอย่างจริงจัง “จากสิ่งที่เจ้าพูด มันมีความเป็นไปได้จริง ๆ การบ่มเพาะอย่างสันโดษ ถือว่าการถูกรบกวนเป็นข้อห้ามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อย่างน้อยที่สุด เลือดลมจะไหลย้อนกลับ และที่แย่กว่านั้น อาจนำไปสู่ลมปราณแตกซ่าน ซึ่งร้ายแรงยิ่ง”
ชิงเยี่ยรู้สึกกังวลทันที “แล้วเราควรทำอย่างไรดี?”
ดังที่กล่าวไปแล้ว ความห่วงใยที่มากเกินไป อาจนำไปสู่ความสับสนในใจได้ หากเป็นในยามปกติ ชิงเยี่ยจะไม่กระทำการเช่นนี้ แม้แต่เด็กก็ยังรู้หลักการง่าย ๆ เช่นนี้
หลิงไป๋เอามือลูบคางและทำท่าราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“เอาละ หลิงไป๋หยุดก่อปัญหาได้แล้ว!” ทันใดนั้น เสียงของเฉินซีดังออกมาจากภายในห้องกระบี่ จากนั้นชายที่สวมชุดนักพรตเต๋าสีเหลืองอมส้มก็เดินออกจากเคหาอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่ได้ก่อปัญหา ข้าแค่อยากดูว่าชิงเยี่ยจะร้องไห้จากความกังวลหรือไม่” หลิงไป๋หัวเราะเบา ๆ และขี่ชิงชิงวิ่งออกไปไกล
“ศิษย์พี่เฉินซี ในที่สุดท่านก็ออกมา!” ชิงเยี่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก แล้วประสานมือคำนับไปทางเฉินซี เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า เฉินซีที่อยู่ตรงหน้ามีกลิ่นอายที่แตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
เฉินซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ชิงเยี่ยตรงไปยังประเด็นทันที และบอกเฉินซีเกี่ยวกับการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก “ผู้เข้าร่วมได้ถูกกำหนดแล้ว ดังนั้นข้าหวังว่าศิษย์พี่เฉินซีจะสามารถมุ่งหน้าไปได้ทันเวลา เพื่อเข้าร่วมในวันมะรืนนี้”
เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสำนัก และตอนนี้เฉินซีได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วม ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เหตุผลที่เฉินซีไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง ก็เพราะร่างหลักยังไม่ได้สติกลับคืนจากพลังงานแก่นแท้ของมหาเต๋า
ทว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะชายหนุ่มสามารถมุ่งหน้าไปยังโลกแห่งดารา และปลุกร่างหลักให้ตื่นเมื่อใดก็ได้
ในไม่ช้า ชิงเยี่ยก็กล่าวลาและจากไป ในขณะที่เฉินซีหันหลังกลับเข้าไปในเคหา
ทันทีที่เข้าไปในเคหา หม้อใบจิ๋วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ร่างหลักของข้าได้บรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงเมื่อสิบวันก่อน แต่ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก และได้รับพลังแก่นแท้ของมหาเต๋า จนตอนนี้ก็ยังไม่ตื่น” ร่างอวตารกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“อะไรนะ? โชคลาภของไอ้สารเลวนั่น ไม่ท้าทายสวรรค์เกินไปหรอกหรือ!?” เมื่อได้ยินคำว่า ‘พลังแก่นแท้ของมหาเต๋า’ แม้หม้อใบจิ๋วจะมีนิสัยสุขุม เยือกเย็น แต่มันก็อดที่จะอุทานออกมาด้วยความตกใจไม่ได้