บทที่ 394 ผลพวงจากหนังสือพิมพ์
บทที่ 394 ผลพวงจากหนังสือพิมพ์
แม้คนในเมืองหลวงจะไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนั้นกับตนเองมันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่เห็นอกเห็นใจผู้คนที่ต้องตกระกำลำบาก มีเพียงชาวนาอย่างพวกเขาเท่านั้นที่จะรู้ซึ้งว่าการทำนานั้นยากลำบากเพียงใด
ปากท้องของชาวนาอย่างพวกเขาล้วนขึ้นอยู่สวรรค์เบื้องบน กว่าจะได้ข้าวแต่ละเมล็ดมานั้นช่างยากลำบากเหลือหลาย ทั้งหนึ่งปียังมีเพียงหนึ่งหน กลับต้องเสียผลผลิตเกินครึ่งให้พวกขุนนางทุจริต นำเงินเข้ากระเป๋าตนเอง คนพวกนั้นนับวันยิ่งมั่งคั่งขึ้นเรื่อย ๆ คนที่ต้องทำงานหนักมาตลอดปีอย่างพวกเขากลับต้องทนทุกข์อยู่กับความอดอยาก
“ขุนนางทุจริตต้องไม่ตายดี!”
“ข้ามีญาติอยู่ที่หนานโจว เสียดายที่อยู่ห่างไกลกันยิ่งนัก ข้าจึงไม่ได้ติดต่อพวกเขามาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องตกระกำลำบากเพราะขุนนางทุจริตพวกนี้ด้วยหรือไม่”
“ข้าก็มีญาติอยู่ที่อวิ๋นเจ๋อด้วย ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องหาทางไปเยี่ยมพวกเขาสักหน่อยแล้ว”
ไม่มีผู้ใดแคลงใจเนื้อหาในหนังสือพิมพ์เลยสักนิด เพราะนอกจากเรื่องราวจะสมเหตุสมผลแล้ว ยังระบุสถานที่ไว้ชัดเจน หากผู้ใดยังสงสัยก็สามารถเดินทางไปตามหาความจริงได้ด้วยตนเอง
หลังได้ฟังเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างเคียดแค้นขุ่นเคืองและสาปแช่งขุนนางทุจริต ไม่หลงเชื่อข่าวลือที่ว่าฝ่าบาทโหดเหี้ยมทารุณไร้คุณธรรมอีกต่อไป
บางคนถึงกับประณามคนพวกนั้นด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดูถูกและเหยียดหยาม
ฝ่าบาททรงมีเมตตาต่อราษฎร ลดภาษีการเกษตรเหลือสองส่วน แต่บรรดาขุนนางผู้อ้างตนว่าสูงศักดิ์กลับทำตัวเป็นปลิงดูดเลือด ทำชั่วขนาดนี้ยังกล้าแสร้งทำตัวเป็นผู้ดีมีการศึกษา หน้าด้านเหลือทน!
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เท่านั้น นักเล่าเรื่องในโรงน้ำชาก็อ่านเนื้อหาในหนังสือพิมพ์เช่นกัน ตามท้องบนถนนก็มีบัณฑิตผู้ยากจนยืนอยู่บนที่สูงและอ่านให้ผู้ไม่รู้หนังสือฟัง…
เพียงวันเดียว ความคิดที่ประชาชนมีต่อฮ่องเต้ก็พลันเปลี่ยนไป จากฮ่องเต้ทรราชเผด็จการโหดเหี้ยมทารุณ กลับกลายเป็นฮ่องเต้ผู้เปี่ยมคุณธรรมปราดเปรื่องปรีชา
ตรงกันข้ามกับชื่อเสียงของเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่ที่ย่ำแย่ลงทันตา
กว่าคนพวกนั้นจะรู้ตัวและหมายจะพลิกสถานการณ์มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
เรื่องราวทั้งหมดถึงหูหนานกงสือเยวียนอย่างรวดเร็ว
“หนังสือพิมพ์?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับคำชื่นชมสรรเสริญจากราษฎรในเมืองหลวง ทั้งยังสนับสนุนการจับกุมขุนนางทุจริต
สถานการณ์เปลี่ยนผันเพียงเพราะหนังสือพิมพ์
“ฝ่าบาท บ่าวให้คนไปซื้อหนังสือพิมพ์มาแล้ว จะทอดพระเนตรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฝูไห่กล่าวพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขารับใช้ข้างกายฝ่าบาทมานาน พอรู้หนังสือประมาณหนึ่ง แม้ในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้จะมีบางคำที่เขาไม่รู้จักก็ตาม แต่ก็พอจับใจความได้
ทันทีที่อ่านเนื้อหาในหนังสือพิมพ์จบ เขาแทบอยากลุกปรบมือ
พวกขุนนางตระกูลใหญ่คอยควบคุมความคิดเห็นของประชาชน ข่าวลือใส่ร้ายฝ่าบาทในคราวนี้ก็คงไม่พ้นฝีมือคนพวกนั้น
หนานกงสือเยวียนอ่านทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว มุมปากหยักพลันโค้งขึ้นทันใด
ไม่ใช่เพราะเนื้อหา แต่เป็นเพราะเครื่องหมายวรรคตอน มองเพียงแวบเดียวเขารู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือเจ้าตัวน้อยเป็นแน่
“เมื่อวานนี้เสี่ยวเป่าได้มาหาข้าหรือไม่”
ขันทีผู้หนึ่งรีบก้าวออกมารายงาน “องค์หญิงทรงมาที่นี่ช่วงค่ำพ่ะย่ะค่ะ แต่พอทราบว่าฝ่าบาทไม่ได้ประทับอยู่ที่นี่ ก็เสด็จกลับทันทีพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้น”
หนานกงสือเยวียนวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ “ตามหาผู้ดูแลหนังสือพิมพ์นี้ให้ข้าที”
ฝูไห่รับคำสั่ง ทว่ายังไม่ทันได้ทำการอันใด หลีไท่ฟู่มาขอเข้าเฝ้าเสียก่อน
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
หนานกงสือเยวียน “หลีไท่ฟู่มีธุระสำคัญอันใดหรือไม่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมาสารภาพผิด เรื่องหนังสือพิมพ์…”
หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้วเล็กน้อย “หืม? หลีไท่ฟู่เป็นคนเขียนหนังสือพิมพ์นี้หรอกหรือ แต่ข้าว่ามันดูไม่เหมือนสิ่งที่ไท่ฟู่เขียน”
บทความทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ล้วนเขียนด้วยภาษาพูด ไม่ได้มีความสละสลวยอันใด
“กระหม่อมเกรงว่าหนังสือพิมพ์นี้จะเป็นฝีมือของศิษย์คนหนึ่งของกระหม่อม อีกทั้งยัง… เขียนภายใต้การแนะนำขององค์หญิง มันถูกเผยแพร่ออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาทก่อน”
หนานกงสือเยวียนหัวเราะแผ่วเบา “เป็นฝีมือเสี่ยวเป่าจริง ๆ สินะ”
หลีรุ่นได้ยินน้ำเสียงของเขาจึงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “องค์หญิงทรงเป็นห่วงฝ่าบาท แม้ฝ่าบาทจะไม่สนใจว่าคนอื่นจะให้ร้ายพระองค์อย่างไร ทว่าองค์หญิงทรงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ในความคิดเขา หากบุตรสาวหรือหลานสาวเฝ้าห่วงใย ทั้งยังพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เขาจะเข้าข้างนางโดยไม่ลังเลเลยสักนิด
เขาเชื่อว่าฝ่าบาทเองก็คงคิดเหมือนเขา ผู้ใดก็เห็นว่าฝ่าบาททรงรักใคร่องค์หญิงน้อยเพียงใด แต่ขณะเดียวกัน องค์หญิงก็ไม่ยอมให้ผู้ใดให้ร้ายเสด็จพ่อของนาง เด็กน้อยจึงปกป้องบิดาของตนในแบบของตัวเอง
พอพูดถึงเสี่ยวเป่า ท่าทีของหนานกงสือเยวียนพลันอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ให้ศิษย์ของท่านเข้ามาเถิด”
หลีรุ่น “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฉินเฟิงได้ย่างกรายเข้ามาในตำหนักฉินเจิ้งเป็นครั้งแรก ทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่า เขาพยายามรักษาสีหน้าและมารยาท จนลืมฟังคำชมเชยจากฝ่าบาท
กว่าจะรู้ตัวว่าตนเองเหงื่อออกท่วมตัวก็ยามที่เดินพ้นตำหนักฉินเจิ้งแล้ว
หลีรุ่นจึงตบไหล่ให้กำลังใจ “เดี๋ยวเจ้าก็ชิน”
เขายังสรุปสิ่งที่ฝ่าบาทกล่าวกับฉินเฟิงตอนที่อยู่ในห้องโถงตำหนักฉินเจิ้งอย่างถี่ถ้วน
คราวนี้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ฝ่าบาทยังฝากฝังให้เขาดูแลหนังสือพิมพ์ต่อ และยังเลื่อนขั้นให้เขาเป็นขุนนางขั้นหก จากนี้ไปเขาจะต้องไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวัง…
คำพูดเหล่านั้นลอยเข้าไปในหูและไหลลงไปรวมที่กลางดวงใจของฉินเฟิงทันที
ฝ่าบาททรงชื่นชมเขา แถมยังส่งเสริมเขาด้วย!
นับจากนี้ ตระกูลน้อยใหญ่อันใดเขาไม่สน ในสายตาเขาจะมีเพียงฝ่าบาท
เขาจะจงรักภักดีต่อฝ่าบาท!
หลีรุ่นที่เห็นจิตวิญญาณอันแน่วแน่ลุกโชนในแววตาของชายหนุ่ม “…”
เห้อ… ช่างเถิด ๆ เขามีความสุขก็ดีแล้ว
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะแยกย้ายก็บังเอิญพบองค์หญิงที่มาจากที่ใดก็ไม่รู้ใบหน้าถึงได้มอมแมมเล็กน้อย
“ท่านราชครู ฉินเฟิง!”
ทันทีที่เสี่ยวเป่าเห็นทั้งสอง ดวงตาพลันเป็นกายด้วยความดีใจพร้อมกับวิ่งดุ๊กดิ๊กมาทางที่คนทั้งสองยืนอยู่
ทั้งสองทักทายนางตามมารยาท
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
“เป็นอย่างไรบ้าง หนังสือพิมพ์ขายดีหรือไม่ ยังมีคนกล่าวร้ายท่านพ่อของข้าอยู่อีกหรือไม่”
ฉินเฟิงรายงานอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับการขายหนังสือพิมพ์ รวมถึงสถานการณ์ในเมืองหลวง
เนื่องจากหนังสือพิมพ์ราคาถูกมาก ผู้คนที่พอมีเงินจึงยอมจ่ายเงินหนึ่งอีแปะเพื่อซื้อหนังสือพิมพ์
อย่างไรเสียมันก็คือกระดาษ กระดาษที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่หาซื้อได้
แถมยังมีบทความมากมายอยู่ในนั้น
ฉินเฟิงยังได้จัดเตรียมผู้รู้หนังสือไว้อ่านหนังสือพิมพ์ในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ทั้งในโรงน้ำชาและร้านอาหาร
ข่าวขุนนางทุจริตกระทำการชั่วร้ายต่อประชาชนแพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว
ในยุคสมัยที่มีสื่อบันเทิงเพียงไม่กี่อย่าง เป็นเหตุให้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ชาวบ้านก็ยังนำไปซุบซิบนินทากันได้ทุกที่ นับประสาอะไรกับข่าวใหญ่อย่างการจับกุมขุนนางทุจริต เพียงวันเดียวข่าวก็แพร่ไปทั่วราวกับติดปีก
ภายหลังเหล่าขุนนางตระกูลใหญ่ พยายามตอบโต้ด้วยกลอุบายแบบเก่า โดยการให้คนไปแพร่ข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับฝ่าบาทใส่หัวประชาชน นอกจากจะไม่เป็นผลแล้วนั้น ผู้ที่เริ่มปล่อยข่าวให้ร้ายฝ่าบาทยังถูกผู้คนในเมืองหลวงรุมทุบตีอย่างเดือดดาล
ผู้ดูแลเรื่องการจัดทำหนังสือพิมพ์อย่างฉินเฟิงจึงเฝ้าติดตามสถานการณ์ในเมืองหลวงอย่างใกล้ชิด เพื่อเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมายมารายงานเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ เสียดายที่ตนไม่ได้ออกไปชมเรื่องสนุกกับตาตนเอง