บทที่ 418 วันเกิดของเสี่ยวเป่า
บทที่ 418 วันเกิดของเสี่ยวเป่า
คราวนี้ต้าหานถึงสงบเสงี่ยมได้เสียที กระทั่งส่งคนมาขออภัยและเจรจาสงบศึกด้วยท่าทางพินอบพิเทา
เรื่องการเจรจาสันติภาพหนานกงสือเยวียนมอบหมายให้หนานกงหลี เขาไม่ออกหน้าเองด้วยซ้ำ
แต่เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องชั่วคราว หนานกงสือเยวียนไม่คิดจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่ก่อนที่จะกรีธาทัพไปโจมตีต้าหานอย่างเต็มรูปแบบ หนานกงสือเยวียนจำเป็นต้องแน่ใจก่อนว่าทางนี้มีบุคลากรที่ดูแลเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเพียงพอ
ถ้าขยายดินแดนเร็วเกินไปแต่กลับไม่มีคนทำหน้าที่บริหาร ไม่ช้าก็เร็วย่อมเกิดปัญหาตามมาในสักวัน
ปีถัดมา เมืองที่ยึดมาจากต้าหานถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของต้าเซี่ยอย่างเป็นทางการ และวันเกิดของเสี่ยวเป่าก็เวียนมาถึงอีกครั้ง
ปีที่แล้วช่วงวันเกิดเสี่ยวเป่าเกิดเรื่องขึ้นจนต้องเดินทางไปชายแดนทางใต้จึงไม่ได้ฉลองร่วมกัน ดังนั้นปีนี้หนานกงสือเยวียนจึงตั้งใจว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้ลูกสาวอย่างยิ่งใหญ่
ส่วนตัวเสี่ยวเป่าคิดว่าขอแค่มีบิดาและบรรดาพี่ชายอยู่กันพร้อมหน้าก็พอแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าหนานกงสือเยวียนไม่คิดเช่นนั้น
กุ้ยเฟยตำหนักในเป็นผู้จัดงานเลี้ยงวันเกิดของเสี่ยวเป่า มีคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงมาร่วมงานไม่น้อย แต่ส่วนมากล้วนเป็นคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตา
เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ในอดีตส่วนใหญ่ล้วนได้รับโทษไปพร้อมกับตระกูล บ้างเข้าคุก บ้างถูกเนรเทศ
แม้การลงโทษคนทั้งตระกูลเพราะความผิดของคนเพียงคนเดียวจะไม่ค่อยมีมนุษยธรรมนัก แต่ในยุคโบราณที่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เข้มแข็ง ถ้าไม่ลงโทษอย่างรุนแรงก็อาจทำให้มีคนหาช่องโหว่กระทำความผิดได้
เมื่อมีความหวั่นเกรงว่าจะเดือดร้อนถึงคนในครอบครัว คนที่หลงเหลือคุณธรรมในใจอยู่บ้างก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง
เสี่ยวเป่าพบว่าในบรรดาคนมาร่วมงานยังมีคนที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง นั่นคือพี่สาวเซี่ยหลานซูจากตระกูลเซี่ย และชิวหยวนเด็กสาวที่แลดูอิ่มเอิบสมบูรณ์จากครอบครัวของเจ้ากรมมหาดไทย
ครั้นพวกนางมาถึงก็เข้ามาทักทายเสี่ยวเป่า
“วันนี้องค์หญิงทรงฉลองพระองค์เข้ากับบรรยากาศมงคลยิ่งนักเพคะ เหมือนทารกในภาพวาดอวยพรปีใหม่เลยเชียว”
ชิวหยวนทักทายเสี่ยวเป่าด้วยหน้าตายิ้มแย้ม นางชอบองค์หญิงน้อยผู้นี้จริง ๆ
“ถวายพระพรองค์หญิงเจาเสวี่ยเพคะ”
“เหมือนข้าจะเคยเห็นท่านมาก่อน”
สาวน้อยกล่าวอย่างกระดากใจ “ระหว่างงานเลี้ยงหนหนึ่งเมื่อปีก่อน ข้าทะเลาะกับหลี่หนานจูแล้วทำให้พระองค์ต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วยเพคะ”
เสี่ยวเป่าได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็พลันนึกขึ้นมาได้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีนามว่า จี้ชิงชิง
ตอนนั้นหลี่หนานจูกดดันให้พี่ชายของจี้ชิงชิงไปสู่ขอตนเอง แต่เขาไม่ยินยอม สุดท้ายกลายเป็นเรื่องครึกโครม จี้ชิงชิงผู้นี้ก็ช่วยเอาเรื่องฉาวโฉ่ที่หลี่หนานจูทำไว้มาเปิดเผย เป็นเหตุให้พวกนางทะเลาะวิวาทกันตอนมาพบหน้ากันในงานเลี้ยง
และก็ระหว่างเหตุการณ์นั้นเองที่เสี่ยวเป่าถูกคนผลักตกน้ำ
พวกนางนั่งสนทนากัน ยามกล่าวถึงเรื่องปีที่แล้วนางยังไม่สบายใจมากทีเดียว กล่าวขอโทษกับเสี่ยวเป่าอย่างจริงใจอยู่หลายครั้งหลายครา
เสี่ยวเป่ากลับไม่ได้คิดอะไร เรื่องนั้นเดิมทีก็ไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่าย กลับกันสมมติว่าเรื่องนั้นเกิดขึ้นกับตนเอง พี่ชายถูกบังคับให้ไปสู่ขอคนที่ไม่ว่าด้านไหนล้วนไม่ยินยอมพร้อมใจแบบนั้น นางก็คงจะโมโหและพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือพี่ชายเช่นกัน
นางคิดว่าวิธีการของจี้ชิงชิงช่วยระบายโทสะได้ดีทีเดียว
แต่จี้ชิงชิงในยามนี้ดูแล้วสำรวมกว่าในอดีตมาก คิดว่าคงถูกคนที่บ้านอบรมสั่งสอนมาแล้ว ดูไปก็สมกับเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เพียงขาดความแก่นซนในกาลก่อนไปเท่านั้น
แต่ในไม่ช้าพวกนางก็ได้รู้ว่า นางไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
หลังจากพวกนางพูดคุยจนคุ้นเคยกันแล้ว จี้ชิงชิงก็พบว่าคนทั้งสามมีนิสัยสอดคล้องกับตนเองอย่างมาก
เซี่ยหลานซูสุภาพเรียบร้อย แต่กลับเป็นยอดหญิงที่เปิดเผยใจกว้างภูมิความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง อีกทั้งตอนเอ่ยถึงพวกท่านปู่ ท่านพ่อ และพี่ชายของตนเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจอย่างมาก
“น่าเสียดายที่ข้าเติบโตมาในเมืองหลวง ความจริงแล้วข้าอยากไปชายแดนมาก ทิวทัศน์ที่พี่ชายเขียนเล่ามาทางจดหมาย ข้าล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งแผ่นฟ้าสีครามไร้ขอบเขต ทะเลทรายโกบี รวมถึงทุ่งหญ้าไกลสุดลูกหูลูกตา ได้ยินมาว่าผู้หญิงทางนั้นยังแข่งขี่ม้ากับพวกผู้ชายอีกด้วย ทั้งวัฒนธรรมของที่นั่นยังต่างจากที่เมืองหลวงนัก พี่ข้ายังเคยส่งกริชพกมาให้ข้าด้วย”
ได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เด็กสาวคนอื่น ๆ ก็พลอยอยากเห็นตามไปด้วย
เสี่ยวเป่าเท้าคาง “ข้าก็อยากไปเหมือนกัน ให้พี่รองขี่ม้าพาข้าท่องไปบนทุ่งหญ้า พี่รองของข้าดียิ่ง ทุกเดือนมักจะส่งของดีหลายอย่างมาให้ข้า ล้วนเป็นของประจำท้องถิ่นของที่นั่นทั้งนั้น ข้ามีขนสุนัขจิ้งจอก ขนเตียว และก็ขนหมาป่าเยอะแยะเชียวล่ะ ถ้าพวกท่านอยากได้ ข้าจะยกบางส่วนให้พวกท่านก็ได้”
ชิวหยวนสงสัย “ได้ยินว่าที่นั่นมีสัตว์มากมาย ทั้งยังชอบมาแย่งอาหารที่คนป้อนให้สัตว์เลี้ยงอีกด้วย จริงหรือไม่เพคะ”
เสี่ยวเป่า “ใช่กระมัง พวกสัตว์โตกันเร็วมาก”
ยุคสมัยนี้ยังมีสัตว์ชนิดต่าง ๆ อยู่ดาษดื่น โดยเฉพาะบริเวณชายแดน มีสัตว์กินเนื้ออยู่จำนวนมาก ทำให้พวกมันขาดแคลนอาหาร จึงมักโจมตีสัตว์ที่คนเลี้ยงไว้บ่อยครั้ง
“อาหารอร่อยของทางนั้น ข้าก็ไม่เคยกินเหมือนกัน”
ชิวหยวนกลืนน้ำลาย
จี้ชิงชิงกลอกตาใส่นาง “เจ้าก็คิดถึงแต่เรื่องกิน บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เจ้าเคลื่อนไหวร่างกายเสียบ้าง ชิวฮูหยินกลุ้มใจเรื่องเจ้าอยู่ทุกวัน กลัวว่าเจ้าอ้วนเกินไปแล้วจะขายไม่ออก”
ชิวหยวนมองค้อนนางอย่างเคือง ๆ “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ข้าน่ารักน่าชังปานนี้ มีคำกล่าวว่ากินได้คือวาสนาไม่ใช่หรือไร แบบข้าเรียกว่ามีวาสนาชัด ๆ!”
อีกอย่างนางก็ควบคุมไม่ได้ ให้นางควบคุมอาหารยังโหดร้ายกว่าฆ่านางให้ตายเสียอีก
ความจริงแล้วชิวหยวนไม่ถือว่าอ้วน อย่างมากก็แค่อิ่มเอิบมีน้ำมีนวลเท่านั้น
แต่นางอยู่ในช่วงวัยกำลังโต ชิวหยวนมั่นใจว่าถ้านางสูงกว่านี้อีกนิดจะต้องดูผอมลงแน่นอน
เสี่ยวเป่าก็รู้สึกว่าชิวหยวนน่ารักมากเช่นกัน น่ารักเหมือนแพนด้าอย่างไรอย่างนั้น
เด็กสาวทั้งสามป้อนของกินให้เสี่ยวเป่า ทันใดนั้นจี้ชิงชิงก็พูดเรื่องครอบครัวของตนเองขึ้นมา
ถึงตอนนี้นางเปิดเผยตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ จึงแลดูขี้เล่นซุกซนอยู่บ้าง
“คราวก่อนทะเลาะกับหลี่หนานจูจนทำให้องค์หญิงตกน้ำ ครอบครัวพวกข้าคิดว่าคงจบสิ้นกันแล้ว คิดไม่ถึงว่าฝ่าบาทกลับลงโทษเพียงหักเบี้ยหวัดของท่านพ่อ ข้าบอกพวกท่านเลยว่าพี่ใหญ่ข้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในบ้านแล้ว มันสมองของเขาคนเดียวก็สามารถแทนที่พวกข้าได้ทั้งครอบครัว แต่งานมงคลของเขากลับถูกหลี่หนานจูเล่นงานจนเละเทะไปหมด ทุกคนยังเข้าใจว่าครอบครัวข้าล่วงเกินองค์หญิงไปแล้ว ใคร ๆ จึงพากันหลีกเลี่ยงพวกข้า รวมถึงครอบครัวคู่หมั้นของพี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน”
กล่าวถึงตรงนี้จี้ชิงชิงก็มีท่าทางหม่นหมอง นางเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายกลัวว่าจะพลอยฟ้าพลอยฝน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนถึงเพียงนั้นกระมัง ขนาดที่ว่าวันรุ่งขึ้นก็เชิญแม่สื่อมาดูตัว ทำเหมือนกลัวว่าพวกนางจะเกาะติดครอบครัวพวกเขาอย่างนั้นแหละ
ชิวหยวนอ้าปากหวออย่างประหลาดใจ “ว่ากันว่าพวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ใช่หรือ”
จี้ชิงชิงกล่าวอย่างไม่พอใจ “รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ๆ อะไรกัน ตอนนั้นเพื่อดับฝันของหลี่หนานจูถึงได้บอกไปแบบนั้น ครอบครัวพวกเราสนิทสนมกันมาก เพราะพ่อข้าเป็นเพื่อนกับพ่อของนาง พี่ข้าเคยพบนางแค่ไม่กี่ครั้ง ยามพบหน้ากันก็แค่ทักทายเล็กน้อยเท่านั้น แต่ดีชั่วอย่างไรก็มีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ ผู้ใดจะไปคิดว่าพวกเขาได้ยินข่าวคราวนิดหน่อยก็รีบทำลายสัญญาหมั้นทันที”