บทที่ 419 จี้อวิ่นอัน
บทที่ 419 จี้อวิ่นอัน
“และก็เพราะเหตุนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงไม่มีใครกล้าแต่งให้เขา ทำให้แม่ข้ากลุ้มใจมาก แต่พี่ชายข้ากลับไม่กังวลสักนิด จากนั้นพี่ชายก็ทุ่มเทความคิดจิตใจทั้งหมดไปกับการเรียน อาศัยความสามารถของตัวเองจนได้เป็นขุนนางเส้าชิงในศาลต้าหลี่ ทำให้คนพวกนั้นทึ่งกันไปหมด หลังจากนั้นก็มีคนมากมายมาเจรจาเรื่องงานมงคล…”
ตอนแรกเสี่ยวเป่ายังตั้งใจฟังอยู่ดี ๆ แต่แล้วก็ตาไวเห็นว่าพี่สาวเซี่ยหลานซูหน้าแดงระเรื่อ
นางเอียงคอมองอย่างสงสัย คล้ายจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเด็กน้อย สีหน้าเซี่ยหลานซูยิ่งแดงเข้มกว่าเดิม แต่นางก็ทำเป็นจัดแจงอาภรณ์ของตนเองไปอย่างสงบ
ชิวหยวนถามอย่างใคร่รู้ “หลังจากนั้นเล่า พี่ชายเจ้าตกลงไปหรือยัง อดีตคู่หมั้นของพี่ชายเจ้านึกเสียใจทีหลังบ้างหรือไม่”
เซี่ยหลานซูกางหูผึ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงขึ้นมา
“ต้องเสียใจอยู่แล้วสิ พวกเจ้าไม่รู้อะไร ครอบครัวพวกเขาหอบหิ้วของกำนัลมาขอขมาหวังว่าพ่อแม่ข้าจะให้อภัย บอกว่าพวกเขาแค่เลอะเลือนไปเท่านั้น ทำอย่างกับคนอื่นมองไม่ออกอย่างนั้นแหละ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเห็นว่าพี่ชายข้าทำตัวดีมิหนำซ้ำยังได้รับหน้าที่สำคัญจึงนึกเสียดายน่ะสิ ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องดีงามปานนั้น”
คนอื่น ๆ พยักหน้าหงึกหงัก
“พี่ข้าไม่มีทางไปเกี่ยวดองกับพวกเขาอีกแล้ว แต่คนที่มาเจรจางานมงคลล้วนถูกเขาไล่กลับไปจนหมด เขาบอกว่าตอนนี้ยังไม่รีบร้อน”
ชิวหยวน “เจ้าเอาเรื่องมงคลของพี่ชายเจ้ามาพูดกับพวกข้าแบบนี้ ถ้าเขารู้เข้าจะไม่โกรธเจ้าเอาหรือ”
จี้ชิงชิง “คิกคิก ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าไม่พูดออกไปหรอก จริงหรือไม่”
ชิวหยวนหัวเราะหึ ๆ “นั่นก็ไม่แน่นักหรอก”
ทันใดนั้นนางก็จ้องหน้าของเซี่ยหลานซู “พี่สาวเซี่ยหลานซู ทำไมหน้าท่านแดงเช่นนั้นเล่า”
เซี่ยหลานซูแววตาสั่นไหว “หา? อาจเป็นเพราะ เป็นเพราะข้านั่งจนร้อนแล้วกระมัง”
ดวงตาของเสี่ยวเป่ากลอกกลิ้ง “พวกเราออกไปเดินเล่นกันหน่อยดีหรือไม่ ข้าอยากไปหาพวกท่านพี่แล้ว”
ฮิฮิ เสี่ยวเป่าดูออกนะ พี่สาวเซี่ยหลานซูดูเหมือนจะชอบพี่ใหญ่ของพี่สาวจี้ชิงชิงล่ะ
นางก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่ชายของพี่สาวจี้ชิงชิงมีรูปโฉมเช่นไร คนที่สามารถทำให้หลี่หนานจูหัวเด็ดตีนขาดก็จะแต่งด้วยให้ได้ รูปโฉมต้องไม่ธรรมดาแน่
จี้ชิงชิงยืนขึ้น “ดีสิ พี่ใหญ่ของข้าก็น่าจะอยู่ทางนั้น ได้ยินว่าพวกเขากำลังแข่งโยนศรกันอยู่ พวกเราไปดูกันเถอะ”
เสี่ยวเป่าแอบชำเลืองมองพี่สาวเซี่ยหลานซูก็พบว่า เมื่อได้ยินว่าพี่ใหญ่ของพี่สาวจี้ชิงชิงอยู่ที่นั่นด้วยก็หน้าแดงกว่าเดิมหลายส่วน
เสี่ยวเป่า : ข้าฉลาดจริง ๆ คนอื่นยังไม่ทันสังเกต เสี่ยวเป่าก็ค้นพบความลับของพี่สาวหลานซูก่อนใครแล้ว
พวกนางเดินไปทางฝั่งบรรดาคุณชายทั้งหลายก็พบว่ามีผู้หญิงมากมายอยู่ที่นั่น กำลังโห่ร้องให้กำลังใจบรรดาคุณชายที่แข่งโยนศรกันอยู่
“องค์หญิง ท่านมาดูเร็วเถอะเพคะ ทางนั้นคือพี่ใหญ่ของข้าเอง!”
อาจเป็นเพราะนางเสียงดังเกินไป ทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังจะโยนศรผู้นั้นหันหน้ามองมาเป็นตาเดียว
กล่าวได้ว่ารูปโฉมดุจเกี้ยวหยก กอปรด้วยบุคลิกภาพของสุภาพบุรุษผู้สง่างาม
เดิมทีสายตาของจี้อวิ่นอันยังอยู่ที่น้องสาว แต่ในไม่ช้าก็ถูกเด็กสาวข้าง ๆ ดึงดูดความสนใจ
นั่นก็คือเซี่ยหลานซู
ยามสบตากัน เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มบางพลางพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันไปโยนศรในมือ ลูกศรเสียบลงไปในปากแคบ ๆ ของแจกันคอยาวที่มีหูสองข้างอย่างแม่นยำ
รอบด้านเสียงปรบมือโห่ร้องดังสนั่น สีหน้าจี้อวิ่นอันไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ทั้งยังคงโยนศรอีกสามดอกตามไป
จี้ชิงชิงตบมือจนแทบกระโดดโลดเต้นอยู่รอมร่อ “พี่ใหญ่ข้าเก่งกาจมาก เขาไม่ได้เก่งแค่ด้านบุ๋นเท่านั้น แต่ด้านบู๊ก็ไม่แพ้ใครเหมือนกัน”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ร้ายกาจ ร้ายกาจ แต่พี่ชายของข้าก็ร้ายกาจมากเหมือนกันนะ”
จี้ชิงชิง “ดนตรี หมากล้อม บทกวี วาดภาพ พี่ข้าแตกฉานทุกอย่าง”
เสี่ยวเป่า “พี่ใหญ่ข้าก็เหมือนกัน”
“เวลาพี่ข้ายิงธนูจากบนหลังม้าล้วนเข้าตรงกลางเป้าตลอด”
“พี่ใหญ่ข้าก็เหมือนกัน ยังมีพี่รองของข้าด้วย เขาออกรบสังหารข้าศึก พี่สี่ของข้ามีพละกำลังมหาศาลโดยกำเนิดก็สามารถบดขยี้เป้าหมายได้เหมือนกัน พี่ห้าของข้าก็ขี่ม้ายิงธนูได้เก่งกาจมาก”
จี้ชิงชิงสูดลมหายใจหนาวเหน็บ พี่ชายเยอะแยะแบบนั้นนางจะไปแข่งได้อย่างไร
“ตอนพี่ใหญ่ข้ายังเล็กเคยจับพี่รองแขวนเอาไว้แล้วอัดทั้งอย่างนั้น แถมยังลงมือหนักมากอีกด้วย!”
จี้ชิงชิงพูดเสียงดังมาก จี้อวิ่นอันชะงักไปเล็กน้อย เขาหันไปแสดงคารวะต่อรัชทายาทโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอไปจัดการธุระส่วนตัวสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
จี้ไหวในยามนี้แทบเต้นแล้ว หน้าแดงก่ำด้วยความอับอายปนโมโห
“จี้ชิงชิง!”
จี้ชิงชิงปิดปากแน่น “แย่แล้ว”
เห็นพี่ชายทั้งสองย่างสามขุมตรงมาทางนี้ จี้ชิงชิงพลันอยากวิ่งหนี
จี้อวิ่นอันเอ่ยเตือนเสียงราบเรียบ “ที่นี่คือวังหลวง เจ้าจะหนีไปไหน”
จี้ชิงชิงหันหน้ากลับมายิ้มเจื่อน
“ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว”
จี้อวิ่นอันปรายตามองนาง ก่อนจะหันมาแสดงคารวะต่อเสี่ยวเป่า “กระหม่อมจี้อวิ่นอันคารวะองค์หญิงเจาเสวี่ย”
เสี่ยวเป่า “ไม่ต้องมากพิธี ๆ”
เซี่ยหลานซูแสดงคารวะต่อจี้อวิ่นอันทั้งที่ใบหูแดงก่ำ “คารวะคุณชายจี้”
“แม่นางเซี่ย แม่นางสบายดีหรือไม่”
เซี่ยหลานซูพยักหน้า “เรื่องคราวก่อนต้องขอบคุณคุณชายแล้ว”
ชิวหยวนขยับเข้ามาชิดกับเสี่ยวเป่า มองคนทั้งคู่ตาแป๋วด้วยความใคร่รู้
จากนั้นก็มีศีรษะหนึ่งประชิดเข้ามา
เยว่หลีเอียงคอ “เสี่ยวเป่าทำอะไรอยู่”
จี้อวิ่นอันกับเซี่ยหลานซูหันหน้ามาพร้อมกัน ครั้นเห็นสายตาหลายคู่มองพวกตนอยู่ก็พลันอึดอัดขัดเขิน
ชิวหยวนหัวเราะพลางเกาหน้า “อะไรกัน พี่เซี่ยกับคุณชายจี้รู้จักกันงั้นหรือ”
ดวงหน้าน้อย ๆ ที่งามแฉล้มของเซี่ยหลานซูพลันร้อนผ่าว
“เคยพบกันหนหนึ่ง คราวก่อนระหว่างไปไหว้พระเคยได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายจี้”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ”
จี้ชิงชิงวิ่งเข้ามา “อ๋า ที่แท้พี่เซี่ยก็รู้จักพี่ใหญ่ของข้าหรือเนี่ย พวกท่านไม่เคยบอกข้าเลย”
“อย่าวุ่นวาย”
จี้อวิ่นอันตำหนิเสียงต่ำ จี้ชิงชิงพลันว่าง่ายขึ้นมาทันตาเห็น
กล่าวตามตรง ในบ้านนางไม่กลัวใครทั้งนั้น ยกเว้นพี่ใหญ่ผู้นี้
เซี่ยหลานซูลอบถอนหายใจ คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก หากเดินปลีกตัวไปยังศาลาอีกด้านหนึ่ง
เยว่หลีจับมือของเสี่ยวเป่าขึ้นมา แล้วยัดเตาอุ่นมือใส่มือนาง
“ทำไมเจ้าไม่เอาอันนี้มาด้วย”
เสี่ยวเป่า “ไม่หนาว”
เพิ่งพูดจบก็ถูกยัดขนมอบแห้งรสนมมาให้อีก
“อีกเดี๋ยวจะพาเจ้าไปกินมันเผา”
คำพูดประโยคนี้เยว่หลีลดเสียงลงกระซิบกับเสี่ยวเป่า
ดวงตาของเสี่ยวเป่าพลันวาววับ “มันเผา?”
สภาพอากาศแบบนี้เหมาะกับการกินมันเผาที่สุดแล้ว น่าเสียดายที่โอกาสเช่นนี้ไม่เหมาะจะกินมันเผา
ชิวหยวนสมกับที่เป็นคนชอบกิน เสียงเบาเพียงนี้นางก็ยังได้ยิน ด้วยเหตุนี้จึงทำตาโตกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย “องค์หญิง ขอข้าไปด้วยคนได้หรือไม่เพคะ”
เยว่หลีมองนาง สีหน้าเหมือนกำลังพูดว่า ‘เจ้าเป็นใครกัน’
ไม่รอให้ชิวหยวนแนะนำตัวเอง เสี่ยวเป่าก็แนะนำขึ้นมาก่อน “นางชื่อว่าชิวหยวน เป็นสหายของข้าเอง”
เยว่หลีส่งเสียงอ้อ “แบ่งให้เจ้าหัวหนึ่งก็ได้”
เขาตั้งใจเก็บไว้ให้เสี่ยวเป่า ว่ากันตามตรงแล้วคนที่หวงของกินอย่างเยว่หลี นอกจากเสี่ยวเป่าแล้ว เขาก็ไม่เต็มใจจะแบ่งปันของกินให้ใครทั้งนั้น
หลังจากเสี่ยวเป่าทักทายพูดคุยกับพวกพี่ชายแล้ว ในใจคอยแต่จะคิดถึงมันเผาจึงแอบพาเยว่หลีกับชิวหยวนย่องออกไปจากงานเลี้ยง