บทที่ 424 งานประมูล
บทที่ 424 งานประมูล
หลังถูกจับกุมหลายครั้ง จะเป็นคนที่หัวแข็งแค่ไหนก็กลายเป็นสงบเสงี่ยมขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรตระกูลของเขาก็ยังต้องการหน้าตาอยู่นะ
ส่วนประเภทที่ถูกจับหลายครั้งแล้วก็ยังไม่รู้จักปรับปรุงตัว ผู้คุมจะใช้สายตามองคนโง่มองพวกเขาโดยตรง
“พวกเจ้าไม่ชอบใจขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่จากไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดเล่า”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คนเหล่านั้นกลับเอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่ตอบคำถาม
ผู้คุมพลันเข้าใจขึ้นมา “อ้อ พวกเจ้ายังอยากอยู่ร่วมงานประมูลสินะ ได้ยินว่าเครื่องกระเบื้องที่จะนำมาประมูลคราวนี้เป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชุดตำนานเทพบรรพกาล นี่ พวกเจ้าเคยได้ยินตำนานเรื่องหนี่ว์วาซ่อมฟ้าหรือไม่ ไม่เคยล่ะสิ”
ผู้คุมส่งเสียงจุ๊สองครา “ข้าว่าแทนที่พวกเจ้าจะมัวแต่มาทำเรื่องพวกนี้ เอาเวลาไปฟังนิทานในโรงน้ำชาเทียนเป่าไม่ดีกว่าหรือ ที่นั่นเล่าตำนานผานกู่เบิกฟ้าไปจนถึงหนี่ว์วาซ่อมฟ้า*[1] ข้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังเอง…”
แต่เห็นได้ชัดว่าความจำของผู้คุมผู้นี้ไม่ดีเท่าไหร่ เรื่องที่เล่าจึงไม่สมบูรณ์นัก พาให้คนฟังบังเกิดความสงสัยอยากรู้เรื่องราวฉบับเต็มอย่างมาก แต่ครั้นเล่าถึงศึกเทพบรรพกาลเขากลับหยุดเล่าเสียอย่างนั้น
“ไอ้หยา มัวแต่คุยกับพวกเจ้า ถึงเวลาที่ข้าต้องผลัดเวรแล้ว ข้าไปก่อนนะ แล้วค่อยพบกันใหม่”
คนที่ถูกคุมขังเหล่านั้น “!!!”
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
“เจ้าแน่จริงก็กลับมาเล่าให้จบก่อนสิ!”
ผู้คุมหลุดขำ ใครยังจะมีแก่ใจมาเล่าให้พวกเจ้าฟังจนจบกัน เมื่อครู่นี้แค่รู้สึกเบื่อจึงเสวนาฆ่าเวลาด้วยเท่านั้นแหละ ตอนนี้เขาต้องกลับไปนอนแล้ว รอดูว่าพรุ่งนี้จะขอวันหยุดทดแทนได้หรือไม่ เขาอยากไปฟังนิทานที่โรงน้ำชา
ตำนานเทพบรรพกาลนี้ย่อมเป็นความคิดของเสี่ยวเป่า ทั้งยังระบุนามเจ้าของต้นฉบับเอาไว้อย่างชัดเจน
ประวัติศาสตร์ของที่นี่ผิดเพี้ยนไปไกลสุดกู่ ต่างจากสิ่งที่นางเคยรู้มาในชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง ในอนาคตไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่เขียนเรื่องราวเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีกนี้หรือไม่
เสี่ยวเป่าชอบตำนานพวกนี้มาก ตอนอยู่ในห้องสมุด นอกจากช่วยท่านพ่อหาข้อมูลแล้ว นางจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านตำนานพวกนี้นี่แหละ
หนังสือนิทานภาพของโลกนี้ยังค่อนข้างขาดแคลน ตำนานเทพบรรพกาลที่เสี่ยวเป่าหยิบมาจากห้องสมุดนั้นกล่าวได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่งสำหรับคนในโลกนี้
คนยุคนี้เดิมทีก็เชื่อเรื่องเทพเจ้า ตำนานเทพบรรพกาลที่เสี่ยวเป่านำมาเผยแพร่นั้นสำหรับพวกเขาแล้วกล่าวได้ว่าราวกับบอกบรรยายโลกยุคบรรพกาลที่มีอยู่จริงก็ไม่ปาน
กระทั่งหนานกงสือเยวียนหลังได้อ่านแล้วยังนึกสงสัยว่าเทพเซียนเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่กันแน่
เรื่องนี้เสี่ยวเป่าก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะนางเป็นภูตน้อยที่ข้ามมาในโลกนี้ ทั้งยังมีเทียนเต้าอีกต่างหาก นางจึงไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วโลกนี้มีเทพเซียนอยู่จริงหรือไม่
แต่หลังจากคัดลอกตำนานเหล่านั้นเสร็จ นางก็จะเขียนคำเตือนไว้ท้ายเรื่องว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้น โปรดอย่าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง’
ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องแต่ละครั้ง นางก็จะลงนามผู้เขียนเจ้าของต้นฉบับเอาไว้ เพื่อให้คนอื่นรับรู้ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นผลงานของใคร ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ก็ตาม
แน่นอนว่าถึงจะมีคำเตือนท้ายเรื่องก็ยังมีคนจำนวนมากเชื่อเรื่องเทพเซียนเหล่านั้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง ถึงขั้นมีคำร่ำลือแสนพิสดารออกมาว่ามีชาวต้าเซี่ยเคยพบเห็นเทพเซียนตัวเป็น ๆ
เสี่ยวเป่า “…”
ความจริงพูดเช่นนี้ก็ไม่ผิด เทียนเต้าก็น่าจะเป็นเทพเซียนกระมัง เช่นนั้นแล้วนางก็เคยเห็นมาก่อนเหมือนกันจริง ๆ นั่นแหละ
สาเหตุที่เสี่ยวเป่านำตำนานเหล่านี้มาเผยแพร่ก็เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชุดเทพบรรพกาล สร้างตัวตนให้เทพเซียนเหล่านั้นเสียก่อน
แต่สิ่งมีชีวิตบางอย่างไม่อาจนำมาทำตุ๊กตากระเบื้องเคลือบได้ ยกตัวอย่างเช่นสามสัตว์เทพจากยุคบรรพกาลอย่างมังกร หงส์ และกิเลน
หนานกงสือเยวียน “ไม่เห็นจะยากตรงไหน ให้คนวาดออกมาก็ได้แล้ว พี่สามของเจ้าเชี่ยวชาญการวาดภาพไม่ใช่หรือ”
ภาพวาดของหนานกงฉีอวิ๋นไม่นับว่าเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ ใช้คำทั่วไปมาบรรยายก็คือมีลักษณะของงานช่างมากเกินไป
แต่การวาดภาพหงส์มังกรไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาเหมือนเทพ ขอเพียงวาดได้วิจิตรสมจริงทำให้คนตะลึงได้ก็พอ วาดให้เห็นภาพได้จึงจะประมูลได้ราคาสูง
จากนั้นหนานกงฉีอวิ๋นก็ถูกลากตัวมาใช้แรงงาน
อาศัยเพียงการบอกเล่าย่อมไม่อาจวาดออกมาได้ สุดท้ายหนานกงสือเยวียนจึงไปหาข้อมูลที่มีภาพประกอบจากในห้องสมุด แล้ววาดภาพร่างออกมาคร่าว ๆ เพื่อให้เขาใช้ศึกษาจนกระทั่งมีภาพเค้าโครงในใจแล้วค่อยลงมือร่างภาพลงสี
หนานกงฉีอวิ๋นและซ่งชิงใช้เวลาวาดภาพมังกร หงส์ และกิเลนสามภาพไปถึงหนึ่งเดือนเต็ม
ไม่ผิด เพราะซ่งชิงก็ถนัดวาดภาพจึงถูกหนานกงฉีอวิ๋นลากตัวมาใช้แรงงานวาดภาพด้วยกัน
ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นน่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก
ซ่งชิงมองภาพทั้งสามแล้วก็ถึงขั้นรู้สึกว่าไม่อยากให้นำภาพเหล่านั้นออกไปประมูล
หนานกงฉีอวิ๋นกลับไม่ได้ยึดติดถึงเพียงนั้น เขาไม่ต้องการมาวาดภาพแบบนี้อีกแล้วจึงตัดสินใจว่าจะหาจิตรกรเก่ง ๆ สักคนมาให้น้องสาว คาดว่าภายภาคหน้าเสี่ยวเป่าคงมีเรื่องให้จิตรกรช่วยงานมากกว่าเดิมเป็นแน่
ในที่สุดวันงานประมูลก็มาถึง เสี่ยวเป่าแต่งตัวเสร็จแล้วก็นั่งรถม้าออกจากวังพร้อมกับเยว่หลีและพวกพี่ชาย
แน่นอนว่าห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของโรงน้ำชาเทียนเป่าเป็นของพวกนาง
ปัจจุบันโรงน้ำชาเทียนเป่ามีขนาดใหญ่โตยิ่ง เนื่องจากทุกวันจะมีคนมาฟังนิทานที่โรงน้ำชาจำนวนมาก ทั้งยังมีงานประมูล ตอนนี้ห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาจึงสงวนไว้สำหรับแขกที่มีป้ายทองและป้ายดำเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้วผู้ถือครองป้ายดำจะเป็นกลุ่มคนที่จับจ่ายมือเติบและมีฐานะสูงศักดิ์
ไม่ใช่ว่าเสี่ยวเป่าเลือกปฏิบัติ แต่เป็นเพราะต่อให้เหล่าพ่อค้าได้ป้ายดำไป แต่ถ้าเกิดการยื้อแย่งห้องส่วนตัวกับชนชั้นสูงของต้าเซี่ย ถ้ายอมให้ก็ดูเสียหน้า ทั้งยังเป็นไปได้มากที่จะมีคนหลายกลุ่มแย่งห้องส่วนตัวห้องเดียวกัน ถึงตอนนั้นไม่ว่าพวกเขาจะยกให้ใครล้วนกลายเป็นการล่วงเกินอีกฝั่งทั้งสิ้น
ถ้าไม่ยกให้ก็เท่ากับว่าพวกเขาล่วงเกินคนอื่น ตอนอยู่ในต้าเซี่ยคนเหล่านั้นอาจไม่กล้าทำอย่างไรต่อพวกเขา แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องไปจากต้าเซี่ย ยามนี้พ่อค้ายังมีฐานะทางสังคมต่ำต้อย ไม่ว่าตระกูลพ่อค้าจะยิ่งใหญ่ปานใดมีกิจการใหญ่โตเพียงใด สำหรับชนชั้นสูงเหล่านั้นแล้วการทำลายพวกเขาก็ง่ายดายไม่ต่างจากการบี้มดตัวหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้จึงกำหนดให้กลุ่มผู้ถือครองป้ายดำเป็นชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวยซึ่งมีโอกาสใช้งานมากที่สุด เอาเป็นว่าพวกเขาจะเต็มใจหอบเงินมาซื้อป้ายดำหรือไม่ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขา
โถงใหญ่เป็นสถานที่ที่มีคนมากที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย เมื่องานประมูลเริ่มขึ้น องครักษ์จินอู่ก็ล้อมโรงน้ำชาเทียนเป่าเอาไว้ ทั้งยังมีเสือสองตัวกับแพนด้าหนึ่งตัวเฝ้ารักษาการณ์ ผู้ใดคิดจะสร้างปัญหาก่อกวนในโรงน้ำชาก็ต้องชั่งใจดูเสียก่อน
โรงน้ำชามีสี่ชั้น ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวาง ยิ่งเป็นชั้นที่สูง ห้องส่วนตัวก็ยิ่งกว้าง โถงใหญ่สามารถรองรับคนได้มากราวห้าพันคน แต่ละชั้นครอบทับโถงใหญ่เป็นวงกลม ชั้นสองมีห้องส่วนตัวขนาดเล็กยี่สิบกว่าห้อง ผู้ครองป้ายทองจึงจะมีสิทธิ์ใช้ห้องส่วนตัวเหล่านี้
ชั้นสามมีห้องส่วนตัวขนาดกลางสิบห้อง ผู้ครองป้ายดำสามารถใช้ห้องส่วนตัวของชั้นนี้ได้ ชั้นสี่มีห้องส่วนตัวเพียงสามห้อง ไม่ว่าป้ายใดก็ไม่อาจใช้ห้องส่วนตัวของชั้นนี้ได้ เพราะห้องหนึ่งเป็นของเสี่ยวเป่าและบรรดาองค์ชาย ห้องหนึ่งเป็นของฝ่าบาท ส่วนอีกห้องเป็นของรัชทายาท
ต้องมีป้ายประจำตัวของพวกเขาเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ห้องส่วนตัวของชั้นสี่ได้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์มาจากไหน หากไม่มีสายสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์ต้าเซี่ย จะมีเงินมากมายเพียงใดก็ไม่อาจขึ้นชั้นสี่ได้ และชั้นสี่ก็ไม่มีวันเปิดรับคนนอก
[1] ผานกู่และหนี่ว์วาเป็นเทพจากตำนานสร้างโลกของจีน ตำนานเล่าว่าตอนแรกสรรพสิ่งมีเพียงความว่างเปล่าและไข่ใบหนึ่ง ผานกู่ตื่นขึ้นในไข่ใบนั้นและใช้ขวานจามออกมา เมื่อนั้นธาตุหนักตกลงมาเป็นผืนดิน ธาตุเบาลอยขึ้นเป็นผืนฟ้า เมื่อผานกู่ตายไปอวัยวะต่าง ๆ ของผานกู่ก็กลายเป็นต้นไม้ใบหญ้า แหล่งน้ำ ฯลฯ ส่วนหนี่ว์วาเป็นเทพนารีที่ใช้ดินเหลืองจากริมแม่น้ำฮวงโหมาเนรมิตมนุษย์และเป็นผู้ซ่อมฟ้าที่เสียหายจากการสูญเสียเสาค้ำฟ้าเพราะถูกก้งกงที่สู้แพ้จู้หรงพุ่งชน