บทที่ 436 ข้าขอใช้สิ่งของแลกพวกมันได้หรือไม่?
บทที่ 436 ข้าขอใช้สิ่งของแลกพวกมันได้หรือไม่?
การเลี้ยงวัวเป็นเรื่องยาก อีกทั้งวัวหนึ่งตัวใช้งานได้มากกว่าคนหลายคน ไม่แปลกที่ราคาจะสูง
และด้วยความที่ประชาชนแถวชายแดนประสบปัญหาความหนาวเย็น ขาดแคลนทุนทรัพย์ คนส่วนใหญ่จึงไม่มีเงินซื้อวัว
หากพูดตามหลักเหตุผลแล้ว การเลี้ยงวัวในชนบทนั้นง่ายกว่าเลี้ยงในเมือง แต่พวกเขายากจน ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อวัวสักตัว
พ่อค้าม้าและพ่อค้าวัวจากชนเผ่าทุ่งหญ้าจึงมักจะต้อนวัวไปขายแถวเมืองหลวง เพราะที่นั่นมีคนรวยเยอะกว่า
เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปนั่งลงข้างท่านพ่อ บังเอิญได้ยินพวกเขาคุยกันเรื่องวัวจึงเอียงคอถาม
“ที่นี่มีหญ้าเยอะมิใช่หรือ เลี้ยงวัวได้สบายมาก”
นางจำได้ว่ามอบเมล็ดพันธุ์ให้พี่รองไปตั้งเยอะ หญ้าที่ปลูกที่นี่ก็น่าจะมีไม่น้อย ไม่น่าจะขาดแคลนหญ้าเลี้ยงวัวเลี้ยงม้าได้
“หญ้าพวกนั้นส่วนใหญ่เป็นของม้าในค่ายทหาร ปีที่แล้วม้าในค่ายทหารเพิ่มขึ้นมากกว่าสี่พันตัว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหญ้าอวบอ้วนของเจ้า”
ทุกครั้งที่หนานกงฉีโม่ต้องเรียกพวกมันว่าหญ้าอวบอ้วน เขายังรู้สึกกระดากปากทุกที ทักษะการตั้งชื่อน้องสาวเขาตรงไปตรงมาพอ ๆ กับวาจาที่เอื้อนเอ่ยแสดงความรู้สึก
“มันเพียงพอสำหรับม้าพวกนั้น แต่หากต้องการเลี้ยงวัวจำนวนมาก ก็คงต้องปลูกเพิ่มอีกเท่าตัว หญ้าถึงจะเพียงพอ”
เสี่ยวเป่าตั้งใจฟังไม่พูดไม่จา ในใจจดจ่ออยู่กับอาหาร
ระหว่างกินอาหาร หนานกงฉีโม่ยังพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์การเก็บเกี่ยวพืชผลในเมืองหน้าด่าน สถานการณ์การค้าขาย และอีกหลายเรื่อง
ฟังจบ หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “ทำได้ไม่เลว”
หลังจากได้รับคำชมจากเสด็จพ่อ หนานกงฉีโม่พลันเอ่ยปฏิเสธอย่างถ่อมตัว
เสี่ยวเป่าที่อยู่ข้าง ๆ คนทั้งสองกลับเอ่ยยกยอพี่ชายไม่หยุด “แน่นอนอยู่แล้ว พี่รองของข้าเก่งมาก ไม่เพียงแต่เก่งกาจเรื่องการสู้รบ แต่ยังจัดการเรื่องต่าง ๆ ในเมืองหน้าด่านได้เป็นอย่างดี ยามที่เสี่ยวเป่ามาถึงที่นี่ยังได้ยินผู้คนมากมายเอ่ยชื่นชมพี่รองว่าเป็นเทพบุตรจากสรวงสวรรค์ ช่วยชีวิตคนจน ไม่ให้ผู้คนอดอยาก เหตุใดพี่รองถึงได้เก่งกาจมากความสามารถเยี่ยงนี้นะ”
หนานกงฉีโม่ : ชมเกินไปแล้ว ชมกันเกินไปแล้ว
“นี่ไม่ใช่ผลงานของเสี่ยวเป่าหรอกหรือ”
หนานกงฉีโม่เลิกคิ้ว “มิสู้เจ้าลองออกไปตั้งใจฟังให้ดีอีกทีเถิด ทุกคนต่างรู้ดีว่าองค์หญิงเจาเสวี่ยเป็นผู้มอบเมล็ดพันธุ์ให้พวกเขา เป็นองค์หญิงน้อยที่ช่วยพวกเขาจากความหิวโหย”
เสี่ยวเป่าได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้เขินอายที่ถูกชม แต่กลับยืดอกรับพร้อมแววตาเป็นประกาย “ที่นี่ทุกคนรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเสี่ยวเป่าเก่งมาก”
หนานกงฉีโม่ยกยิ้มพลางบีบแก้มนุ่ม
ครั้นอาหารเรียงรายอยู่ตรงหน้าจนครบแล้ว เสี่ยวเป่าก็นั่งตัวตรงทันที พร้อมยกชามเล็ก ๆ ขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาลิ้มรสอาหารค่ำ
หนานกงฉีโม่ที่ไม่ได้เห็นเจ้าตัวเล็กกินข้าวมานานแล้วก็พลันรู้สึกดีจนกินข้าวได้มากกว่าปกติตั้งหนึ่งชาม
เขาเอาแต่จัดการกิจการบ้านเมืองในเมืองหน้าด่าน หนานกงฉีโม่จึงยุ่งมาก เขามีเวลาให้เสี่ยวเป่าเพียงวันเดียว เช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวเป่าตื่นมาก็ไม่พบผู้ใดเลย พี่ชายของนางออกไปจัดการเรื่องน้อยใหญ่
ส่วนท่านพ่อไปค่ายทหารพร้อมกับพี่สี่และพี่ห้า
แม้เสี่ยวเป่าจะอยากใช้เวลาอยู่กับพวกเขามากเพียงใด แต่นางก็หักห้ามใจไว้ ไม่สร้างปัญหาให้ท่านพ่อกับพี่ชายต้องเป็นกังวล
เล่นคนเดียวในสนามหญ้าอยู่ครึ่งค่อนวัน นางกำนัลที่ยกของว่างมาให้เห็นท่าทางเบื่อหน่ายจึงเอ่ยถามขึ้น
“องค์หญิงทรงอยากไปเดินตลาดหรือไม่เพคะ”
ทันใดนั้นแววตาของเสี่ยวเป่าก็กลับมาสดใสอีกครั้ง “อยากไป ๆ พวกเราไปกันเลยเถอะ”
เสี่ยวเป่าพาชุนสี่และนางกำนัลคนอื่น ๆ ไปตลาดในเมืองหน้าด่าน พร้อมกับบ่าวรับใช้ผู้มีร่างกายแข็งแรง
ตลาดที่นี่ไม่ได้ครึกครื้นและงดงามเท่ากับตลาดในเมืองหลวง แต่ก็มีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังพบเห็นพ่อค้าหลากหลายเชื้อชาติได้ที่นี่
ร้านค้ามีไม่มากนัก ร้านค้าส่วนใหญ่จะตั้งแผงขายของบนถนน
สินค้าที่ผู้คนนิยมเลือกซื้อหาจะเป็นขนสัตว์ เนื้อสัตว์ และสัตว์หลากหลายชนิด
สัตว์ส่วนใหญ่ที่นิยมซื้อขายก็คือวัว แกะ และม้า เหล่าพ่อค้าต่างแดนเจรจาซื้อขายกับพ่อค้าในพื้นที่เป็นภาพที่พบเห็นได้ส่วนใหญ่
นอกจากนี้ยังมีผลไม้พิเศษบางชนิดอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นองุ่น มะละกอ แตงหวาน เป็นต้น
เสี่ยวเป่าซื้อทั้งขนมหูปิ่ง*[1] ผลไม้ และหินอัญมณีที่พ่อค้าต่างแดนนำมาขาย
ขณะที่นางกำลังจะกลับ เสี่ยวเป่าก็เหลือบไปเห็นนกยูงสองตัวเข้าเสียก่อน
เป็นนกยูงตัวผู้ทั้งสองตัว ตัวหนึ่งสีเขียว อีกตัวสีน้ำเงิน พวกมันนอนขดตัวอยู่ในกรง
พวกมันมีขนที่สวยงาม ผู้คนจึงเข้าไปมุงดู แต่กลับไม่มีผู้ใดคิดจะซื้อ
“นายท่านเชิญเข้ามาชมก่อนได้ขอรับ นกยูงสองตัวนี้งดงามไร้ที่ติ หากทุกท่านซื้อพวกมันกลับไปเลี้ยงดู พวกมันจะเป็นหน้าเป็นตาให้พวกท่านได้อย่างแน่นอน”
พ่อค้าชาวหูชักชวนลูกค้าพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มอย่างกระตือรือร้น
คนที่ถูกเขาเชิญชวนยกยิ้มหยัน “พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่หรือ นกสองตัวนี้งดงามก็จริง แต่พวกมันดูป่วยและเหมือนกำลังจะตายในไม่ช้า ผู้ใดซื้อก็โง่แล้ว”
พ่อค้าชาวหู “พวกมันแค่ร้อน หากทุกท่านซื้อพวกมันกลับไปเลี้ยง พวกมันก็จะกลับมาเป็นปกติอย่างแน่นอน”
นี่มันหลอกลวงกันชัด ๆ มีเพียงคนมีเงินแต่ไร้สมองเท่านั้นแหละที่จะซื้อนกยูงสองตัวนี้
“ข้าซื้อ ข้าจะซื้อพวกมันเอง”
เสี่ยวเป่าเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปข้างหน้า ผู้คนที่อยู่แถวนั้นได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเสี่ยวเป่าต่างมองนางเป็นตาเดียว พ่อค้าชาวหูเองยังทำหน้าประหลาดใจ
แต่พอคนทั้งหลายเห็นเจ้าของเสียง บางคนคิดร้ายหวังให้นางถูกหลอก ในขณะที่บางคนเตือนนางด้วยความหวังดี เพราะไม่อยากให้ถูกหลอก
เสี่ยวเป่าเอ่ยขอบคุณผู้มีน้ำใจด้วยรอยยิ้ม “ที่จวนข้ามีผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงนก ข้าเลี้ยงพวกมันได้แน่นอน พวกท่านไม่ต้องห่วง”
พ่อค้าชาวหูมองเสื้อผ้าบนตัวนางก็พอรู้ว่าเป็นลูกหลานคนมีเงิน พลันเกิดความคิดในหัว ‘คนรวยหลอกง่าย’ เขาจึงตั้งใจยิ้มให้กว้างขึ้น พยายามเอาใจนางด้วยการพูดภาษาจงหยวนให้ชัด
“คุณหนูท่านช่างจิตใจดียิ่งนัก นี่คือนกยูงที่เรานำมาจากอาณาจักรทางใต้ ไม่มีในดินแดนจงหยวนของพวกท่านแน่นอน หากท่านซื้อไป ท่านจะเป็นผู้เดียวที่มีนกยูงในครอบครอง นกยูงสองตัวนี้ราคาเพียงตัวละร้อยตำลึงเท่านั้น”
เสี่ยวเป่า “เจ้าคิดว่าข้าโง่และหลอกง่ายใช่หรือไม่!”
นางเท้าสะเอวต่อรองราคาทันที “สองตัวสิบตำลึงเงิน!”
พ่อค้าชาวหูได้ยินราคาแล้วเข่าแทบทรุด “ท่านให้ราคาต่ำเกินไปกระมัง!”
จากสองร้อยตำลึงเหลือสิบตำลึง เจ้าเด็กนี่คิดจะก่อกวนเขาเป็นแน่
“ไม่ได้ ๆ ถูกเกินไป เราพานกยูงสองตัวนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกล!”
หากนกยูงสองตัวนี้ไม่ได้มีสภาพเหมือนใกล้ตายเช่นนี้ พวกเขาคงตั้งราคาสูงกว่านี้ถึงสิบเท่า
นกยูงสองตัวนี้ถือเป็นของหายากและล้ำค่าสำหรับชาวจงหยวนและชาวเผ่าทุ่งหญ้า แต่พวกมันอ่อนแอเกินไปทำให้พวกมันเกือบจะตายระหว่างเดินทางมาที่นี่
จนกระทั่งมาถึงที่นี่ พวกเขาถึงรู้ว่าเหตุใดพ่อค้าคนอื่น ๆ ถึงไม่นำนกชนิดนี้มาขาย เพราะมันเลี้ยงยาก แทนที่จะได้กำไรก็จะขาดทุนเอาเสียเปล่า ๆ
เสี่ยวเป่า “ข้าเห็นนะว่าพวกมันใกล้จะตายอยู่แล้ว ราคาที่ท่านตั้งไว้มันสูงเกินไป”
เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปจับตัวนกยูงทั้งสองที่กำลังจะตาย คนอื่น ๆ คิดว่านางแค่ชอบที่พวกมันสวยงาม แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังใช้โอกาสนี้มอบพลังวิญญาณให้พวกมัน
นกยูงใกล้ตายค่อย ๆ ยกหัวขึ้นถูฝ่ามือเสี่ยวเป่าพลางส่งเสียงร้องอย่างอ่อนแรง
พ่อค้าชาวหูกลัวว่าถ้านกยูงสองตัวนี้ตายในมือเขา เขาจะไม่ได้อะไรเลย
“สองตัวร้อยตำลึง!”
เสี่ยวเป่ากลอกตา “เช่นนั้นข้าขอใช้สิ่งของแลกพวกมันได้หรือไม่”
พ่อค้าชาวหู “ของสิ่งใด”
เสี่ยวเป่าหยิบตุ๊กตากระเบื้องขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากถุงนำโชค
เป็นหนึ่งในตุ๊กตากระเบื้องเคลือบชุดโฉมงาม ใช่แล้ว หวังเจาจวิน
“สิ่งนี้”
นางชูตุ๊กตากระเบื้องเคลือบสีสันสดใสและเหมือนจริงบนมือขึ้น
ผู้คนต่างมองมันเป็นตาเดียวทันที
[1] ขนมหูปิ่ง คือ วัตถุดิบหลักเป็นแป้ง ใส่เกลือเล็กน้อย บางสูตรยังใส่น้ำมัน เกลือ งา และเครื่องเทศเล็กน้อย เป็นขนมที่มีแถบชายแดน