บทที่ 441 โต๊ะทราย
บทที่ 441 โต๊ะทราย
เสี่ยวไห่กลับมาได้ไม่ทันไรก็มีคนมาเคาะประตูใหญ่นอกเรือน
“องค์หญิง มีคนมาพร้อมกับป้ายประจำพระองค์ของฝ่าบาทเพคะ”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าฉายแววยินดี “รีบให้เขาเข้ามาเร็ว!”
การจัดทำโต๊ะทรายต้องใช้แผนที่ แต่เสี่ยวเป่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางจึงให้เสี่ยวไห่ไปส่งจดหมายให้ท่านพ่อหรือพี่รองเพื่อขอคนที่วาดแผนที่เป็นมาสักคน
ผู้ที่มาเป็นคนมีอายุผู้หนึ่ง ร่างกายผ่ายผอมแต่กลับดูไม่อ่อนแอ บนร่างมีกลิ่นอายบัณฑิต น่าจะรับหน้าที่เป็นกุนซือในกองทัพ
เมื่อเห็นเสี่ยวเป่า เขาก็แสดงคารวะด้วยท่าทางอย่างบัณฑิต “กระหม่อมคารวะองค์หญิง”
เสี่ยวเป่าพาเขาไปหาเหล่านายช่างที่จะทำโต๊ะทรายแล้วอธิบายความคิดของนางออกมา
คนผู้นี้มีนามว่าจางอวี้และเป็นกุนซือผู้หนึ่งจริง ๆ สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการวาดแผนที่ พอเสี่ยวเป่าส่งจดหมายไปขอผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ หนานกงสือเยวียนจึงส่งเขามาโดยไม่ถามสักคำว่าเสี่ยวเป่าต้องการจะทำอะไร
ในสายตาของจางอวี้ การกระทำเช่นนี้ของฝ่าบาทเป็นการกระทำตามอำเภอใจทั้งยังไร้เหตุผล แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงฮ่องเต้ จางอวี้จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก
ตอนมาเขาใคร่ครวญไว้ดิบดีว่า ไม่ว่าองค์หญิงจะมีข้อเรียกร้องที่เอาแต่ใจอย่างไร เขาก็จะอดทนอดกลั้นเอาไว้
หากยามนี้ เมื่อได้ฟังเรื่องที่องค์หญิงต้องการจะทำแล้ว เขาก็ทั้งตื่นเต้นและละอายใจในคราวเดียวกัน เขาใช้สายตาที่คับแคบไปตัดสินผู้อื่น ฝ่าบาททำตามอำเภอใจที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไว้พระทัยองค์หญิงต่างหาก!
จางอวี้ที่สันทัดด้านการวาดแผนที่ย่อมสามารถเข้าใจการใช้งานและคุณประโยชน์ของโต๊ะทรายนี้ได้ในทันที เมื่อมีของสิ่งนี้ เวลาหารือการศึกจะช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามลักษณะภูมิประเทศได้อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงค้อมกายแสดงคารวะต่อเสี่ยวเป่าจากใจจริง “องค์หญิง กระหม่อมจะตั้งใจทำโต๊ะทรายนี้อย่างเต็มกำลังสามารถพ่ะย่ะค่ะ!”
เสี่ยวเป่ากะพริบตา พูดให้กำลังใจ “เช่นนั้นคงต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”
นางเพียงออกความคิด ส่วนเรื่องที่ต้องทำระหว่างนั้นนางก็ช่วยไม่ได้แล้ว ยกให้ผู้เชี่ยวชาญไปทำดีกว่า
หลังได้รับคนที่บิดาส่งมาให้ เสี่ยวเป่าก็ทำตัวเป็นเถ้าแก่ผู้ว่างงานอย่างเบิกบานใจ ปลีกตัวไปสังเกตการณ์เรื่องอื่น
กล้องส่องทางไกล กล้องส่องทางไกล…
ออกไปข้างนอกครานี้ นกยูงสองตัวเดินตามหลังนางมาด้วย
เฮยอู๋ฉางกับไป๋อู๋ฉางไม่ได้ตามมา เพราะสะดุดตาเกินไป
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ นกยูงสองตัวที่ตามนางมาด้วยก็ยังสะดุดตามากอยู่ดี คนที่เดินผ่านไปมาล้วนหันกลับมามองซ้ำอย่างอดใจไม่ไหว
พวกเขาไม่เคยเห็นนกที่งดงามเช่นนี้มาก่อน
ในพื้นที่ชายแดนแบบนี้ พวกเขาเคยเห็นพญาอินทรีมาไม่น้อย กระทั่งยังเคยประมือกับพวกมัน
โดยเฉพาะคนที่เลี้ยงสัตว์เล็กอย่างไก่หรือกระต่ายเอาไว้
แต่นกยูงแสนงามแบบนี้กลับไม่เคยเห็นมาก่อน
“ท่านแม่ นกใหญ่สองตัวนั้นงามยิ่ง ทำไมพวกมันถึงไม่บินเล่า”
“โห นั่นคือนกอะไรน่ะ เดินตามหลังคนโดยไม่บินหนีไปไหนก็เป็นด้วย”
“เหมือนจะตัวใหญ่กว่านกอินทรีเสียอีก!
คล้ายสัมผัสได้ถึงคำชมเชยจากคนรอบด้าน นกยูงสองตัวนั้นจึงเชิดหน้าชูคอ เยื้องย่างอย่างสง่างามกว่าเดิม
หลงตัวเองได้ถึงขนาดนี้เลยทีเดียว
ถึงขั้นมีคนเดินเข้ามาเสนอราคางามเพื่อซื้อนกยูงสองตัวนี้ แต่เสี่ยวเป่าจะยอมขายได้อย่างไร
นกยูงทั้งสองมีท่าทางดุร้ายต่อพวกคนที่มาขอซื้อพวกมันอย่างมาก แทบรุดเข้าไปไล่จิกเลยทีเดียว
เสี่ยวเป่าปลอบโยนให้พวกมันใจเย็นลง
“ท่านเลี้ยงพวกมันรอดมาได้จริง ๆ หรือนี่”
หนนี้เสี่ยวเป่าได้ยินเสียงที่คุ้นเคย คนผู้นี้ก็คือคนที่ถูกพ่อค้าจากต่างแดนรบเร้าให้ซื้อนกยูงทั้งสองตัวนั่นเอง
สาเหตุที่เขาคิดว่าซื้อนกยูงสองตัวนี้มาก็ไม่คุ้มค่า เป็นเพราะพวกมันดูเหมือนพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ ซื้อไปแล้วเลี้ยงไม่รอดก็ขาดทุนกันพอดี
แต่พอได้มาเห็นนกยูงสองตัวนั้นข้างกายเสี่ยวเป่า เขาก็ทั้งอิจฉาและนึกเสียดาย
ถึงอย่างไรพวกผู้ใหญ่มักจะรักศักดิ์ศรี โดยเฉพาะพวกที่มีเงินใช้จ่ายมือเติบ
ถ้าตอนนั้นเขาซื้อนกใหญ่ที่งดงามสองตัวนี้กลับไปเลี้ยงจนรอดมาได้ คนที่พวกมันยืนเคียงข้างอยู่ในตอนนี้ก็คงเป็นเขาแล้วน่ะสิ
พาไปไหนมาไหนด้วยล้วนมีหน้ามีตา
“คุณหนู นกสองตัวนี้ของท่าน…”
เสี่ยวเป่า “ไม่ขาย”
คนผู้นั้นได้ยินนางปฏิเสธโดยไม่ลังเลก็ลูบจมูกด้วยท่าทางเจื่อน ๆ
“อย่ารีบปฏิเสธขนาดนั้นสิ ถ้าเงื่อนไขของข้าสามารถทำให้ท่านหวั่นไหวได้เล่า”
เสี่ยวเป่ากล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ข้าไม่ขาดเงิน”
“งั้นก็ได้”
พ่อค้าที่ร่ำรวยผู้นั้นได้แต่เก็บความคิดของตนเองกลับไปอย่างเสียอกเสียดาย แต่ก็ยังไม่วายมองนกยูงแสนงามสองตัวนั้นไม่วางตา
ที่เขายอมถอยแต่โดยดีเช่นนี้ย่อมเป็นเพราะเขามองออกว่าแม่นางน้อยตรงหน้ามีฐานะไม่ธรรมดา ผู้ที่สามารถนำตุ๊กตากระเบื้องเคลือบหลากสีที่ใครต่อใครล้วนอยากได้ตาเป็นมันมาแลกกับนกยูงท่าทางร่อแร่สองตัวและเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นได้ ข้างกายยังมีบ่าวรับใช้แข็งแรงกำยำหลายคน แค่เห็นก็ทราบว่าต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่มากอิทธิพลสักตระกูลเป็นแน่
เขาไม่อาจไปตอแย
เมื่อพวกเสี่ยวเป่ามาถึงร้านหลอมแก้ว นายช่างผู้หนึ่งก็ประคองแก้วที่ทำเสร็จแล้วมาให้เสี่ยวเป่าพิจารณาด้วยความตื่นเต้น
เสี่ยวเป่ารับมาตรวจดู “ยังใสไม่พอ พวกเราต้องปรับปรุงอีก”
นางล้วงสมุดพกของตัวเองออกมาหารือกับนายช่างเหล่านั้น
จากนั้นก็อยู่สังเกตการณ์ขั้นตอนการหลอมแก้วตลอดทั้งวัน
ผ่านไปอีกวัน ในที่สุดก็สามารถประดิษฐ์แก้วที่มีความบางและความใสที่เหมาะสมต่อการทำกล้องส่องทางไกลได้แล้ว แต่ชิ้นที่ทำออกมาได้มาตรฐานยังมีน้อยมาก
หลังจากนั้นยังต้องขัดและขึ้นรูป
ดังนั้นกว่าจะทำกล้องส่องทางไกลชุดแรกออกมาได้ เวลาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
จำนวนยังน้อยนิดจนน่าสงสาร มีเพียงสามตัวเท่านั้น
ทางด้านโต๊ะทรายถูกนำไปใช้งานแล้ว
หลังจากโต๊ะทรายถูกส่งไปถึงค่ายทหารก็ถูกนำไปตั้งไว้ในกระโจมบัญชาการทันที
จากนั้นก็เรียกประชุมเหล่าแม่ทัพ เมื่อพวกเขาได้มาเห็นภูมิประเทศเสมือนจริงแบบย่อส่วนนั้นก็ต้องเบิกตาโต
“ฝ่าบาท นี่คืออันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝั่งนี้ดูเหมือนลักษณะของพื้นที่ xxx”
“ข้าจำบริเวณนี้ได้ มันคือ…”
เหล่าแม่ทัพยิ่งพิจารณาภูมิประเทศบนโต๊ะทรายก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตา จากนั้นความตื่นเต้นก็พลุ่งพล่านมากขึ้นตามลำดับ
หนึ่งในนั้นตบเข่าฉาดใหญ่ กล่าวเสียงดังกระหึ่ม “มารดามันเถอะ ในที่สุดข้าก็ดูแผนที่เข้าใจเสียที!”
แม่ทัพที่พลั้งปากพูดคำหยาบนึกขึ้นมาได้ว่าฝ่าบาทก็อยู่ตรงนั้นด้วยจึงรีบเอามือปิดปาก
ฝ่าบาทคงไม่เตะเขาออกไปด้วยความโมโหหรอกกระมัง
หนานกงสือเยวียนกลับไม่ถือสา
คนอื่น ๆ ก็กำลังหารือกันว่าภูมิประเทศเช่นนี้จะใช้กลยุทธ์อย่างไรด้วยท่าทางกระตือรือร้น
แม่ทัพเซี่ยตื่นเต้นมากเช่นกัน “ฝ่าบาท ของสิ่งนี้ได้มาจากไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ ดูแล้วคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก”
ขุนนางฝ่ายทหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีการศึกษามากนัก แม่ทัพส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพากำลังอันเข้มแข็ง ประสบการณ์สู้รบที่โชกโชน สัญชาตญาณและความเป็นผู้นำในการบัญชาการกองทัพของตนเอง
แต่เรื่องการทำความเข้าใจแผนที่รวมถึงกลยุทธ์ศึกกลับเป็นจุดอ่อนของพวกเขา
ด้วยประการฉะนี้ ข้างกายแม่ทัพแต่ละคนจึงมีผู้มีภูมิความรู้คอยติดตามเสมอ นั่นก็คือกุนซือที่ดูแผนที่เข้าใจและคอยให้คำแนะนำด้านกลยุทธ์ทางการทหาร
……………………………..