บทที่ 443 ข้าส่งเจ้ากลับไปดีหรือไม่?
บทที่ 443 ข้าส่งเจ้ากลับไปดีหรือไม่?
เซี่ยสุยอันเข้าไปหยิบ ‘เนตรพันลี้’ ที่เหลืออยู่อีกอันมาจากในกระโจมอย่างว่องไว
รองแม่ทัพทั้งสองเห็นเช่นนั้นก็ตามมาทันที
เซี่ยสุยอัน : รังแกเขาอย่างหน้าไม่อายจริง ๆ ด้วย
ทหารหน้าหนา คิดถึงคำพูดที่ท่านแม่ทัพบอกว่าเจ้าสิ่งนี้ช่วยให้เห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไปได้ ถึงจะถูกแม่ทัพน้อยเซี่ยเหม็นขี้หน้า พวกเขาก็ยังอยากทดลองดูอยู่ดี
หลังจากคว้ามาได้แล้ว พวกเขาก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง
ทำได้อย่างไรกัน!
“ท่านพ่อ องค์หญิงคงไม่ใช่เทพธิดามาจุติจริง ๆ หรอกใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นจะส่งเนตรพันลี้มาให้พวกเราได้อย่างไร”
แม่ทัพเซี่ยไม่ได้แย้ง เพราะเขาเห็นพ้องว่าองค์หญิงช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้
ทำให้สัตว์ร้ายเชื่องได้ ทั้งยังมีสิ่งของที่ช่วยให้ราษฎรมีกินอิ่มท้อง รวมถึงโต๊ะทรายกับเนตรพันลี้
นี่เป็นสิ่งที่เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบทั่วไปทำออกมาได้งั้นหรือ
อย่าว่าแต่เด็กน้อยเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน!
อย่างพวกเขาที่เป็นทหารมาหลายสิบปีก็ทำของพวกนั้นออกมาไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
ดังนั้นไม่แน่ว่าองค์หญิงอาจเป็นเทพเซียนมาจุติจริง ๆ ก็ได้
กล้องส่องทางไกลมีเพียงสามตัว พวกเขาทดลองส่องจนหนำใจแล้วค่อยกลับเข้ากระโจม
แม่ทัพเซี่ยถือกล้องส่องทางไกลเอาไว้ราวกับเป็นของล้ำค่า
“องค์ชายรอง องค์หญิงได้บอกไว้หรือไม่ว่าเนตรพันลี้จะมอบให้ใครบ้าง”
บนใบหน้าหยาบกร้านนั้นแทบจะสลักคำพูดในใจเอาไว้อยู่แล้ว
หนานกงฉีโม่ “เสี่ยวเป่าไม่ได้บอก ของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อกองทัพ คงจะให้เสด็จพ่อกับเหล่าแม่ทัพจัดสรรกันเอง”
แต่ก็เข้าใจได้ สิ่งที่องค์หญิงทำออกมานั้นคงไม่ได้ทำไว้ให้พวกเขายึดถือเป็นสมบัติส่วนตัว
“ในกล่องนั่นคืออะไร”
เซี่ยสุยอันสงสัยว่ากล่องที่มาพร้อมกับเนตรพันลี้คืออะไร
หนานกงฉีโม่ “เนื้อแห้ง”
เขาไขกุญแจเปิดออก
เมื่อได้ยินว่าเป็นเนื้อแห้ง ทั้งยังส่งมากล่องเดียว จะต้องส่งมาให้ฝ่าบาทเป็นแน่ เซี่ยสุยอันกับคนอื่น ๆ จึงหมดความสนใจ
แต่เมื่อกลิ่นหอมเผ็ดร้อนโชยมาจากในกล่อง สายตาของทุกคนก็มองกลับมาอย่างพร้อมเพรียง
ของสิ่งนี้ไม่ค่อยเหมือนกับเนื้อแห้งที่พวกเขาคุ้นเคยและเคยกินมาก่อน เหตุใดจึงหอมเช่นนี้!
เนื้อแห้งของเสี่ยวเป่าไม่เพียงมีกลิ่นหอมหวน รสชาติยังอร่อยมาก ทั้งยังเคี้ยวเพลินมากอีกต่างหาก
แต่ในโลกนี้ไม่อาจฆ่าวัวตามอำเภอใจ เนื้อวัวที่เสี่ยวเป่าใช้ทำเนื้อแห้งพวกนี้ได้มาจากวัวไถนาที่ประสบอุบัติเหตุขาหัก วัวที่ขาหักแล้วไม่มีประโยชน์ เจ้าของวัวจึงรายงานกับทางการแล้วให้คนขายเนื้อเชือดให้
เสี่ยวเป่าซื้อเนื้อวัวกลับไปทำเนื้อแห้งแล้วส่งมาที่นี่
เนื้อวัวหายาก แต่คนที่อยู่ตรงนี้ใช่ว่าจะไม่เคยกินมาก่อน
เซี่ยสุยอันพึมพำ “เนื้อแห้งที่องค์หญิงทำหอมอะไรอย่างนี้”
หนานกงฉีโม่แบ่งออกมาเล็กน้อยให้คนอื่น ๆ “ส่วนที่เหลือข้าเก็บไว้ให้เสด็จพ่อ”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว นี่เป็นของที่องค์หญิงทำให้ฝ่าบาท พวกกระหม่อมได้กินเท่านี้ก็ดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาพูดคำว่าอิจฉามาจนเบื่อแล้ว ผู้ใดใช้ให้พวกเขาไม่มีบุตรสาวที่เก่งกาจและเอาใจใส่เช่นนี้กันเล่า
หนานกงสือเยวียนกลับมาพร้อมกลิ่นคาวเลือด เมื่อได้รับสิ่งของแทนความห่วงใยจากบุตรสาว จิตใจก็พลันอ่อนยวบลง
พรุ่งนี้เขาควรกลับไปหาได้แล้ว
วันรุ่งขึ้น ขณะที่เสี่ยวเป่ากำลังจะให้เสี่ยวไห่ไปส่งจดหมายที่เขียนถึงท่านพ่อก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าท่านพ่อกลับมาแล้ว!
“ท่านพ่อ!”
ไม่ได้เห็นท่านพ่อมาหลายวัน เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปหาแล้วโถมเข้าสู่อ้อมอกของอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้นยินดี
หนานกงสือเยวียนสวมชุดลำลอง เขาอุ้มบุตรสาวขึ้นมาทั้งอย่างนั้น
เสี่ยวเป่ากอดคอเขาไม่ยอมปล่อยมือ
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านยิ่งนัก!”
ถ้อยคำเหล่านั้นมิอาจบรรยายความคิดถึงของนางได้หมด
หนานกงสือเยวียนกอดเด็กน้อยในอ้อมอก ในใจรู้สึกสงสาร
“อยู่ทางนี้คุ้นเคยหรือยัง ข้าส่งเจ้ากลับไปดีหรือไม่”
เสี่ยวเป่าส่ายหน้าไปมาเหมือนกลองป๋องแป๋ง
“ไม่เอา ไม่เอา ข้าชินแล้ว”
เสี่ยวเป่ากอดบิดา ศีรษะน้อย ๆ หนุนอยู่บนไหล่ของหนานกงสือเยวียน
“สามารถช่วยเหลือท่านพ่อ เสี่ยวเป่าดีใจมาก”
หนานกงสือเยวียนลูบศีรษะนาง “ดี”
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาครึ่งวันอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าแปลงร่างเป็นหางน้อย ๆ ของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ นางตามหลังหนานกงสือเยวียนไปทุกที่
จนถึงเวลาที่บิดาต้องกลับไป เสี่ยวเป่าก็ทำของอร่อยหลายอย่างให้เขาเอาติดตัวไปด้วย
เสี่ยวเป่ายืนมองท่านพ่อขึ้นม้าอยู่หน้าประตูเรือนด้วยแววตาหักใจไม่ได้ แต่นางก็รู้ความพอที่จะไม่รั้งเอาไว้ เพราะทราบดีว่าบิดามีเรื่องมากมายต้องไปจัดการ
“ไว้เจอกันนะท่านพ่อ ถ้ามีอะไรข้าจะให้เสี่ยวไห่ไปหาท่านนะ”
หนานกงสือเยวียนนั่งอยู่บนหลังม้า หันกลับมามองบุตรสาวด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“อืม”
เขาจากไปโดยไม่กล้าหันกลับมาอีก เพราะกลัวว่าตนเองจะตัดใจไปไม่ได้
เสี่ยวเป่ายืนอยู่หน้าประตูเรือนเนิ่นนาน จนกระทั่งไม่เห็นเงาหลังของบิดารวมถึงเสียงฝีเท้าม้า
“โฮก~”
เสือสองตัวยืนขนาบข้างซ้ายขวา เอียงศีรษะมาถูไถตัวเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าลูบศีรษะใหญ่โตของพวกมันพลางกล่าวเสียวเบา “ไปแล้ว กลับไปแล้ว”
การที่บิดาต้องไปจัดการงานทำให้เสี่ยวเป่าเซื่องซึมอยู่ชั่วเวลาสั้น ๆ ก็หันไปทำเรื่องอื่น ไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่คิดว่าสงครามคงไม่ยุติภายในหนึ่งปีแน่ เสี่ยวเป่ารับรู้ได้ราง ๆ ว่าคราวนี้บิดามาพร้อมกับเป้าหมายกวาดล้างพวกซยงหนูและพิชิตทุ่งหญ้าให้จงได้
ดังนั้น… นางจำเป็นต้องมีที่ดินอยู่ที่นี่สักผืน
ต่อให้ไม่ใช่เพื่อเรื่องอื่น ลำพังเลี้ยงเสือสองตัวนี้ก็ต้องสังเวยแกะวันละหนึ่งตัวเป็นอย่างน้อยแล้ว
นางเลี้ยงแกะเองแล้วเอามาเลี้ยงพวกเสืออีกทีย่อมคุ้มกว่า
หลังจากเสี่ยวเป่าสอบถามกับทาสหญิงที่เกิดและเติบโตที่นี่ก็ไปเลือกซื้อที่ดินขนาดใหญ่ที่ติดกับลำธารมาผืนหนึ่ง
สิ่งที่ไม่ขาดแคลนที่สุดในชายแดนก็คือที่ดิน ที่ดินที่เสี่ยวเป่าเลือกซื้อมาเป็นพื้นที่รกร้างที่คุณภาพดินไม่ค่อยดีนัก
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะนางต้องการใช้ที่ดินผืนนี้สำหรับปลูกหญ้า การปลูกหญ้าไม่จำเป็นต้องใช้ดินที่คุณภาพดีแต่อย่างใด
เมื่อซื้อที่ดินมาแล้วก็นำเมล็ดพันธุ์หญ้าไปหว่าน
ก่อนที่หญ้าจะโผล่พ้นพื้นดิน เรื่องสำคัญที่สุดก็มาถึงแล้ว
ฤดูกาลเก็บเกี่ยว
ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเก็บเกี่ยว ชาวบ้านในเขตชายแดนก็ยิ่งตึงเครียดกว่าเดิม
ในเวลาเดียวกัน พวกซยงหนูที่จับตามองด้วยสายตากระเหี้ยนกระหือรือก็แยกเขี้ยวกระโจนเข้ามาตะครุบแกะอ้วนพีตัวนี้
แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่กลับไม่ใช่เนื้อแกะอันโอชะ แต่เป็นสุนัขเลี้ยงแกะแสนดุร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงแกะ
กองทัพของต้าเซี่ยเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อพวกซยงหนูล่วงล้ำชายแดนเข้ามา กองทัพของต้าเซี่ยก็ถือดาบเล่มยาวจู่โจมตอบโต้กลับไปอย่างดุดัน
สงครามเริ่มขึ้นโดยสมบูรณ์
ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนเร่งมือเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร ต่อให้เป็นคนเสเพลที่ไม่ทำงานทำการในยามปกติ ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ก็ยังไปช่วยคนในครอบครัวเก็บเกี่ยว
รวงข้าวสีทองอร่าม ผลเก็บเกี่ยวปริมาณมากทำให้ทุกคนปีติยินดี แต่ข่าวการสู้รบก็ทำให้จิตใจของทุกคนหนักอึ้งเช่นกัน
เพราะสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว ช่วงเวลานี้แม้แต่พ่อค้าก็ไม่กล้ามายังชายแดน
ยังดีที่สวรรค์เมตตา ก่อนที่ชาวบ้านจะเก็บเกี่ยวเสร็จจึงไม่มีฝนตกลงมา
แต่เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสร็จสิ้นเพียงเท่านี้ ทว่ายังต้องนำข้าวที่เก็บเกี่ยวกลับมาไปผึ่งให้แห้งในยุ้งฉางของที่บ้าน
ในช่วงเวลานี้ บรรดาคนเฒ่าคนแก่จะคอยจับตามองสภาพภูมิอากาศด้วยความตื่นตัว
……………………………..