บทที่ 471 ข้อแลกเปลี่ยน
บทที่ 471 ข้อแลกเปลี่ยน
“เพื่อนของเรามิได้มีไว้ขาย”
กู๋เหมิงตอบ “หากรู้แต่แรกว่าพวกเจ้าชอบม้า พวกข้าก็คงไปที่ทุ่งหญ้าเสวี่ยหลิง แล้วจับกลับมาให้พวกเจ้าแล้ว”
ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก เห็นท่าทางอยากได้ของพวกเขาแล้ว หากว่ามีม้าก็คงจะแลกข้าวของได้อีกมากโข
แม่ทัพเซี่ยได้ยินเขาพูดเช่นนั้น จึงได้รู้ว่าม้าพันธ์ุนี้สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้าที่พวกเจ้ามาก็นำม้าพันธ์ุนี้มาด้วย มีเท่าไรพวกเราเอาหมด”
ม้าสายพันธุ์นี้ดูไปแล้วยอดเยี่ยมจริง ๆ
เมื่อคุยเรื่องม้าเสร็จสิ้น กู๋เหมิงก็ถามขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับชาวทุ่งหญ้าเหล่านั้น
ครั้งก่อนที่มาที่นี่ก็เหมือนว่าพวกต้าเซี่ยจะไล่ล่าและโจมตีพวกเขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน
พูดถึงพวกซยงหนู แววตาของแม่ทัพเซี่ยและคนอื่น ๆ ก็ฉายแววรังเกียจอย่างชัดเจน
“พวกซยงหนูไม่รู้จักทำมาหากิน ทำการใดก็ล้วนแต่แย่งชิงมาทั้งสิ้น ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในทุ่งหญ้าจนเป็นนิสัย ทั้งยังจับจ้องต้าเซี่ยของพวกข้าด้วยความละโมบ ทุกครั้งที่เข่นฆ่าปล้นชิงต้าเซี่ย ประชาชนต้าเซี่ยนับไม่ถ้วนต่างล้มตายด้วยคบดาบของพวกมัน และครอบครัวมากมายก็ถูกทำลายเพราะพวกมัน…”
ที่แม่ทัพเซี่ยยกตัวอย่างเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น พวกซยงหนูนั้นชั่วร้ายเลวทราม พื้นที่ที่พวกมันแย่งชิงเกือบทั้งหมดถูกทำลายจนย่อยยับ ผู้คนที่ถูกจับไปก็ถูกปฏิบัติไม่ต่างกับสัตว์ ไร้ซึ่งมนุษยธรรมใด ๆ
เผ่าเทียนกู่น่าได้ฟังเช่นนั้นก็รู้สึกโกรธแค้นตามไปด้วย
หากว่าคนในเผ่าของพวกเขาถูกปฏิบัติเช่นนี้ ต่อให้เหลือเพียงแค่คนเดียวในเผ่าก็ต้องลากตัวศัตรูมาล้างแค้นให้จงได้
ชนเผ่าเทียนกู่น่าใช้ชีวิตและอาศัยบนภูเขาหิมะ แม้ว่าทุกคนจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง ทว่ากลับดำเนินชีวิตโดยมิได้ฆ่าฟันกับผู้ใด
พวกเขายังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ทั้งยังมีนิสัยที่เรียบง่าย
เห็นได้ชัดว่าทุกคนล้วนมีร่างกายเป็นอาวุธ แต่แท้ที่จริงเมื่อได้ทำความรู้จักแล้วถึงได้รู้ว่านอกเหนือจากการรักษาชีวิตของคนในเผ่า พวกเขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก
เป็นกลุ่มคนที่พอใจกับอะไรง่าย ๆ
ต้องบอกเลยว่าหนานกงสือเยวียนเองก็ชื่นชอบคนนิสัยเช่นนี้
เขาถึงขั้นคิดจะหว่านล้อมคนจากเผ่าเทียนกู่น่าให้มาตั้งรกรากในต้าเซี่ยเลยทีเดียว
ทว่าหลังจากที่พูดคุยกันอยู่นาน ทำให้ได้เข้าใจจิตวิญญาณและความศรัทธาของชาวเทียนกู่น่า รู้ดีว่าชนเผ่าที่เรียบง่ายนี้ก็มีจิตใจที่แน่วแน่ทั้งยังไม่ยอมอ่อนข้อ ไม่ว่าโลกภายนอกจะเจริญรุ่งเรืองและน่าหลงใหลเพียงใด พวกเขาก็ไม่มีวันที่จะสูญสิ้นความเป็นตัวตน
ดังนั้นหนานกงสือเยวียนจึงล้มเลิกความตั้งใจ การที่สองฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว
“คนพวกนั้นสมควรตาย”
แววตาของกู๋เหมิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “จะปล่อยให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นไม่ได้”
เขายังตระหนักได้ถึงภัยร้ายที่อาจคืบคลานเข้ามา
แม้เผ่าเทียนกู่น่าจะอาศัยบนภูเขาหิมะ แต่ด้วยนิสัยชอบปล้นชิงของพวกซยงหนู ไม่แน่อาจส่งกองกำลังไปโจมตีทันทีที่ค้นพบก็เป็นได้
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว มีหลายครั้งที่พวกเขาพบเห็นคนในชุดของพวกซยงหนูมาป้วนเปี้ยนอยู่นอกภูเขาหิมะ ทว่าบ้างก็ถูกสัตว์ป่ากัดตาย บ้างก็แข็งตาย จำนวนคนต่างกระจัดกระจาย พวกเขาจึงมิได้ใส่ใจเท่าใดนัก
ทว่าตอนนี้พอได้ฟังเรื่องราวจากชาวต้าเซี่ย ในใจของกู๋เหมิงก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย
ชาวเผ่าเทียนกู่น่าเช่นพวกเขาล้วนกล้าหาญและไม่เกรงกลัวตาย ทว่าติดที่มีคนน้อยเกินไป
ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจปล่อยให้คนเช่นนี้แข็งแกร่งได้อย่างเด็ดขาด
กู๋เหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ทุบกำปั้นเข้าที่อก “พวกเรายินดีอยู่ที่ต้าเซี่ยเป็นการชั่วคราวเพื่อช่วยพวกท่านกำจัดพวกซยงหนู”
หนานกงสือเยวียนมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย “พวกเราต้าเซี่ยก็ยินดีให้สัญญาว่าตราบใดที่พวกเจ้าไม่โจมตีต้าเซี่ย ความสัมพันธ์ระหว่างเทียนกู่น่ากับต้าเซี่ยก็จะเป็นดั่งบ้านพี่เมืองน้องตลอดไป”
ใบหน้าของกู๋เหมิงเผยรอยยิ้มสดใส
“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่นอน!”
เขารู้จักคนในเผ่าของตนดี และเชื่อมั่นในตัวพวกเขา
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อถึงคราวพักผ่อนก็ร่วมดื่มสุราด้วยกัน เพียงพริบตาเดียวความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นขึ้นทันใด
แม้จะมีกำแพงทางภาษา แต่ต่างฝ่ายก็คาดเดาได้จากการทำท่าทางมั่ว ๆ จากนั้นก็ตามด้วยซดสุราตบท้าย
หลังจากที่ชนะศึกก็เดินทางมาถึงเมืองหน้าด่านภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ทุกคนต่างก็โล่งใจเป็นอย่างมาก
หนานกงสือเยวียนเองก็ได้รู้ว่าเหตุผลหลักที่พวกเขามาในครั้งนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนธัญพืช นมผง และสุรา
เกลือที่แลกกลับไปคราวก่อนยังเหลืออีกมาก พวกเขาจึงยังไม่ขาดแคลนเกลือในตอนนี้ และนมผงก็กลายเป็นของโปรดที่สุดในเผ่าไปแล้ว
มิได้มีแต่คนชราและเด็กที่ชอบดื่ม พวกเขาจะนำนมผงผสมน้ำหนึ่งกาติดตัวเมื่อไปล่าสัตว์ แค่ดื่มเพียงเล็กน้อยก็ช่วยฟื้นฟูให้กลับมามีเรี่ยวแรง คราวก่อนนำนมผงกลับไปไม่มาก คราวนี้จึงตั้งใจแลกกลับไปให้มากยิ่งกว่าเดิม
หลังจากหยุดพักจนหายเหนื่อยก็ออกเดินทางต่อ
ไม่นานก็มาถึงเมืองหน้าด่าน ผู้คนตลอดทั้งทางต่างก็ส่งเสียงโห่ร้องเฉลิมฉลอง
เผ่าเทียนกู่น่ารู้สึกแปลกใหม่ ทุกครั้งที่พวกเขากลับจากการล่าสัตว์ ผู้คนในเผ่าก็จะออกมาโห่ร้องยินดีเช่นกัน แต่ไหนเลยจะยิ่งใหญ่อลังการเหมือนกับในตอนนี้
ประชาชนในต้าเซี่ยช่างมีมากมายอะไรเช่นนี้ และเหมือนเช่นทุกครั้ง พวกเขาถูกจัดให้เข้าไปพักผ่อนที่ในเรือน
สาวใช้ที่นั่นตัดเย็บเสื้อผ้าไว้ให้พวกเขาแล้ว ด้วยเพราะไม่ใช่ชุดหรูหราอะไร เป็นเพียงชุดผ้าหยาบธรรมดา จึงใช้เวลาตัดเย็บไม่ถึงครึ่งวัน
พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าด้วยความดีใจแม้ว่ามันจะเป็นแบบที่เรียบง่ายที่สุดก็ตามที
“ครั้งนี้ข้าจะซื้อชุดนี่กลับไปให้ภรรยากับลูกของข้าด้วย”
“อาหารของต้าเซี่ยก็อร่อย คราวก่อนพวกเรารีบไปจึงไม่ทันได้ถามวิธีทำซาลาเปากับหมั่นโถวของพวกเขาให้ละเอียด นั่นเป็นของอร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย!”
ชาวเผ่าเทียนกู่น่าเริ่มต้นสนทนากัน ในตอนนั้นเองก็มีคนเปิดประตูและนำอาหารเข้ามา เป็นซาลาเปากับหมั่นโถวที่พวกเขาชื่นชอบพอดิบพอดี นอกจากนี้ก็ยังมีของจำพวกมันเผากับมันฝรั่งอบ
พวกเขาหยิบเข้าปากและกินอย่างรู้สึกพึงพอใจเป็นที่สุด
คนที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกต่างตาเป็นประกาย มือหนึ่งยัดหมั่นโถวเข้าปาก ขณะที่อีกข้างถือซาลาเปา พวกเขากินหมั่นโถวลูกโตด้วยการกัดเพียงแค่สองคำ
ตะกร้าบรรจุหมั่นโถวห้าสิบลูกและซาลาเปาอีกห้าสิบลูกถูกสวาปามจนเกลี้ยงภายในเวลาแค่ครู่เดียวเท่านั้น
หลังจากที่กินหมั่นโถวกับซาลาเปาหมด ก็ยังกินมันเผาและมันฝรั่งอีกหลายลูกกว่าจะอิ่มท้องได้
เจริญอาหารขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่มีรูปร่างใหญ่โต