เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 463 ข่าวฉางเซิงเทียน

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 463 ข่าวฉางเซิงเทียน

บทที่ 463 ข่าวฉางเซิงเทียน

การล้วงข้อมูลจากปากของชายร่างใหญ่แสนซื่อเหล่านี้นับเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง หนานกงสือเยวียนจึงได้รับรู้สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของเผ่าเทียนกู่น่าอย่างรวดเร็ว

พวกเขาอาศัยอยู่ในภูเขาหิมะอันหนาวเหน็บ ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ ภายในเผ่ามีคนหนุ่มแข็งแรงอยู่ไม่ถึงห้าร้อยชีวิต อีกทั้งมีคนชราและสตรีต้องเลี้ยงดู เกลือกับเสบียงอาหารนับเป็นสิ่งจำเป็น ทว่าพวกเขามักจะถูกหลอกอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ทุกครั้งได้เกลือและเสบียงอาหารกลับไปไม่มาก

สำหรับที่ตั้งของพวกเขานั้น อธิบายออกมาอย่างไม่ชัดเจน

ไม่ใช่ไม่พูด แต่เป็นเพราะพูดไม่ชัดเจน

พวกเขาเดินทางโดยใช้ความรู้สึก แม้จะเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน

ทว่าเมื่อชนเผ่าทุ่งหญ้าอื่น ๆ ต้องการจะตามหาเผ่าเทียนกู่น่า แม้ค้นทั่วทั้งภูเขาหิมะก็ไม่พบ

นี่อัศจรรย์ยิ่ง!

หลังจากรับรู้สถานการณ์ด้านนั้นแล้ว หนานกงฉีโม่ก็สั่งให้คนนำข้าวสาลี มันเทศ มันฝรั่ง ข้าวโพด และอื่น ๆ เข้ามา

ที่นำออกมาไม่ใช่เพราะความเห็นอกเห็นใจ แต่เขามั่นใจว่าถึงชาวเทียนกู่น่าจะนำสิ่งเหล่านี้กลับไปก็ไม่อาจเพาะปลูกได้ ไม่เป็นภัยคุกคามอันใดต่อพวกเขาแน่นอน

ชาวเผ่าเทียนกู่น่ามีพละกำลังแข็งแรงเป็นอย่างมากจริง ๆ ทว่าจำนวนคนมีน้อยเกินไป

ในบรรดาเสบียงที่นำออกมา นอกจากข้าวสาลีก็ไม่มีสิ่งใดที่ชาวเทียนกู่น่ารู้จัก

มันเทศสามารถกินดิบได้

แต่ละคนหยิบไปคนละชิ้นเพื่อลองชิมทันที รสหวานและสัมผัสกรุบกรอบทำให้พวกเขาชื่นชอบขึ้นมาทันที

หนานกงฉีโม่เอ่ย “สิ่งนี้สามารถเก็บเอาไว้ได้ทั้งฤดูหนาว”

ดวงตาของผู้นำกลุ่มเปล่งประกาย

เมื่อได้ลองอาหารที่ทำจากเสบียงที่เหลือแล้ว พวกเขาก็ต่างตกหลุมรักขึ้นมาทันที

หลังจากนั้นพวกเขาก็หยิบของทั้งหมดที่นำมาในครั้งนี้ออกมา ต้องการจะแลกเปลี่ยนทั้งหมดกับหนานกงฉีโม่

“ข้ายังต้องการแลกเปลี่ยนชุดเหล่านี้เหมือนกัน”

เขาชี้ไปยังเสื้อขนสัตว์

หลังจากสวมใส่มาได้สักพัก เขาก็รับรู้ได้ว่าเสื้อผ้าเช่นนี้อบอุ่นเพียงใด นี่คือสิ่งที่เผ่าของพวกเขาต้องการไม่ใช่หรือ!

เผ่าเทียนกู่น่าอาศัยอยู่ในภูเขาหิมะ คนหนุ่มฉกรรจ์อย่างพวกเขาอาจไม่รู้สึกหนาว ทว่าเหล่าคนแก่ เด็ก และสตรีไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เสื้อผ้านี่อบอุ่นมาก เหล่าคนแก่และเด็ก ๆ ในเผ่าจะต้องชอบมากอย่างแน่นอน

หนานกงฉีโม่มองไปยังของที่พวกเขานำออกมาแลกเปลี่ยน

ผู้ที่พูดภาษาทุ่งหญ้าได้รีบแนะนำทันที

“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเขี้ยวของสัตว์ร้าย ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านต้องการหรือไม่ แต่ทั้งหมดต่างก็เป็นของดี”

จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังกองพืช “นี่คือหญ้ากระดูก สรรพคุณช่วยเสริมสร้างกระดูก หญ้าแดงนั่นสามารถทำให้เลือดหยุดไหลจากปากแผลได้ หญ้าขาวบรรเทาอาการไอและไข้…”

หนานกงฉีโม่ : ควรเรียกให้ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาเองดีกว่า

“พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าเรียกคนมาดูก่อน”

หลังจากนั้นอาจารย์ของเสี่ยวเป่าผู้เป็นหมอปีศาจก็เข้ามา

“เรียกข้ามาทำ….”

ยังไม่ทันพูดจบ เจี่ยเจินก็พุ่งตรงถลาไปยังเบื้องหน้ากองสมุนไพรอย่างรวดเร็ว

มองไปมองมา เขาก็พลันตบขาเสียงดังลั่นด้วยโทสะ

“เสียของ เสียของยิ่งนัก! ผู้ใดเป็นคนทำ เหตุใดสมุนไพรล้ำค่าเหล่านี้จึงกลายเป็นเหมือนวัชพืช!”

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกลุ่มหนึ่งมองเขาอย่างไร้เดียงสายิ่ง

หนานกงฉีโม่กระแอมไอเบา ๆ ออกมาสองสามครั้ง จากนั้นก็อธิบายเหตุผลให้เขาฟัง

เจี่ยเจินฟังแล้วก็มองไปยังชายฉกรรจ์เหล่านั้น “เผ่าเทียนกู่น่า เทียนกู่น่า…”

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “ฉางเซิงเทียน!”

แม้ว่าพวกเขาจะเอ่ยออกมาด้วยภาษาจงหยวน แต่พวกเขาก็ยังคงฟังคำว่าฉางเซิงเทียนออก

พริบตานั้นเอง เหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูไร้พิษภัยก็แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที

หัวใจของหนานกงฉีโม่สั่นไหวเล็กน้อย “พวกเจ้ารู้จักฉางเซิงเทียนหรือ”

ผู้นำกลุ่มนามว่ากู๋เหมิงมองมาด้วยสายตาระแวดระวัง

“เจ้าถามเพื่อสิ่งใด”

หนานกงฉีโม่อธิบายด้วยรอยยิ้มประหนึ่งไม่เห็นสายตาระแวดระวังและดุร้ายของพวกเขา

“เพียงแค่ความอยากรู้อยากเห็น ก่อนหน้านี้ได้ยินคนจำนวนมากจากเผ่าทุ่งหญ้าพูดถึงมาก่อน กล่าวว่ามีเทพสถิตอยู่ในดินแดนแห่งนั้น มีคนมากมายต้องการตามหาเทียนกู่น่า ทว่ากลับไม่พบ เพราะเรื่องนี้ลึกลับเกินไป ดังนั้นพวกข้าชาวต้าเซี่ยจำนวนไม่น้อยจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น ที่แห่งนั้นมีเทพจริง ๆ หรือ”

“ย่อมมี!”

น้ำเสียงของกู๋เหมิงมีความตื่นเต้นเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างบ้าคลั่งร้อนแรง

“ว่ากันว่าคนของฉางเซิงเทียนล้วนสามารถทำให้สัตว์ร้ายยักษ์เชื่องจนกลายเป็นพาหนะของตนเองได้ ทั้งยังเป็นมิตรกับเหล่าหมาป่าขาว นับเป็นพวกที่ห้าวหาญเปี่ยมพลังที่สุดในโลกหล้า”

หนานกงฉีโม่ถาม “ห้าวหาญเปี่ยมพลังยิ่งกว่าพวกเจ้าหรือ”

“พวกข้าไม่อาจนับเป็นสิ่งใด ผู้ที่อาศัยอยู่ในฉางเซิงเทียนคือคนของเทพเจ้า พวกเขาสามารถทำให้สัตว์ร้ายยักษ์เชื่องได้!”

หลังจากนั้นกู๋เหมิงก็อธิบายถึงสัตว์ร้ายยักษ์ว่าตัวสูงใหญ่เสียยิ่งกว่าบ้านของพวกเขา ใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุด มีเขี้ยวยาวแหลมคม

“ครั้งหนึ่งพวกข้าโชคดีอย่างยิ่งที่ได้รับเขี้ยวของสัตว์ร้ายยักษ์จากพื้นหิมะ น่าเสียดายที่ช่วงหนึ่งในเผ่าขาดแคลนเสบียงอาหารและเกลือ พวกข้าจึงได้แต่นำออกมาแลกเปลี่ยน”

เปลือกตาของหนานกงฉีโม่กระตุก เขาคิดถึงเขี้ยวขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในลานบ้านของเสี่ยวเป่าให้เหล่านกเหยี่ยวได้ใช้เป็นที่เกาะ เขาคิดว่าตนเองรู้แล้วว่าเขี้ยวของสัตว์ร้ายยักษ์ที่คนเหล่านี้พูดถึงอยู่ที่ใด

“เหตุใดพวกเจ้าจึงรู้ชัดเจนถึงเพียงนี้ หรือว่าพวกเจ้าเคยไปยังฉางเซิงเทียนมาก่อน ข้าได้ยินมาว่าไม่มีผู้ใดพบเห็นฉางเซิงเทียนแล้วสามารถมีชีวิตรอดออกมา”

“โกหก คนเหล่านั้นโกหก พวกเขาไม่มีทางพบฉางเซิงเทียนได้!”

หนานกงฉีโม่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ดังนั้นพวกเจ้าเองก็ไม่เคยไปฉางเซิงเทียน เช่นนั้นผู้ใดจะรู้เล่าว่าสิ่งที่พวกเจ้าพูดเป็นจริงหรือเท็จ”

ใบหน้าของกู๋เหมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“แม้พวกเราจะไม่เคยไปที่นั่น แต่หมอผีรู้ เรื่องเล่านี้พวกข้าล้วนได้ยินมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่มีทางผิดแน่!”

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท