บทที่ 446 ไม่เชื่อ
บทที่ 446 ไม่เชื่อ
อู๋ฝานไม่คิดเก็บคำขู่ของเจ้าฉีมาใส่ใจ หากเขาต้องการหลบหนี อีกฝ่ายก็ไม่มีทางจับตนเองได้ ขอเพียงเทเลพอร์ตกลับไปยังโลกความเป็นจริง จะมีใครที่ไหนในโลกฝั่งนี้ตามจับตัวเขาได้อีก?
แน่นอนว่าอู๋ฝานก็ไม่ได้มีเจตนาจะช่วงชิงเอาจี้หยกของเจ้าฉีแต่อย่างใด
เจ้าฉีถอดจี้หยกที่ห้อยอยู่บริเวณเอวออกมาก่อนจะส่งให้อู๋ฝาน “เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ไม่นานข้าจะมาไถ่คืน”
“ข้าจะรอ” อู๋ฝานตอบรับ
หลังจากนั้นนางจึงออกไปจากร้านพร้อมกับเสี่ยวชิง ขณะพวกอู๋ฝานทั้งสามคนยังทานอาหารกันต่อไป
เมื่อจัดการอาหารเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนำลั่วหยางและลั่วเยวี่ยไปยังหน่วยงานพลเรือน ที่ซึ่งเป็นหน่วยงานรองของกรมพลเรือน อีกฝ่ายรับหน้าที่จัดการเรื่องการอวยยศและการแต่งตั้งโดยราชสำนัก อู๋ฝานมาเยือนเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพราะเรื่องดังกล่าว ดังนั้นจึงต้องไปรายงานตัวกับหน่วยงานดังกล่าวเสียก่อน
กรมพลเรือนรับผิดชอบงานแต่งตั้ง อวยยศ เลื่อนยศ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับยศขุนนางและข้าราชการพลเรือนต้องมาบรรจบที่นี่ ดังนั้นหากเทียบเปรียบกับสำนักงานระดับกรมอื่น กรมพลเรือนค่อนข้างอยู่สูงกว่าครึ่งระดับ ทำให้ที่แห่งนี้กว้างขวางและใหญ่โต
“มาทำอะไรกัน? หากจะสัญจรผ่านก็ขอให้ออกไป” ขณะพวกอู๋ฝานทั้งสามมาถึงทางเข้าหน่วยงานพลเรือน เจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบดูแลอยู่ก็เอ่ยถามขึ้นมา
“ข้าคืออู๋ฝาน เดินทางมาที่เมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิตามพระราชโองการ” อู๋ฝานตอบกลับ
“อู๋ฝาน? รอการตรวจสอบสักครู่” เจ้าหน้าที่ที่ได้ยินว่าชายหนุ่มมาเพราะรับราชโองการ ขณะนี้จึงไม่กล้าไล่อีกฝ่ายไปไหนอีก แต่ท่าทีก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก อย่างไรพวกเขาก็เป็นเจ้าหน้าที่ของกรม ทุกวันต้องเจอกับขุนนางพลเรือนทุกยศตำแหน่งที่มาเยือน
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไปตรวจสอบข้อมูล แต่เพราะไม่ให้พวกอู๋ฝานเข้าไปด้านใน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรออยู่หน้าประตูท่ามกลางแสงแดดร้อนแรง มันมากพอที่จะทำให้ต้องหลั่งเหงื่อ
“แค่ขุนนางต่ำต้อยแท้ ๆ วางท่าใหญ่โตอวดดีเสียจริง” ลั่วหยางบ่นอุบด้วยความไม่พอใจ
“ระวังปากด้วย อย่าสร้างปัญหาให้นายท่าน” ลั่วเยวี่ยห้ามปราม
“ขุนนางขั้นเจ็ดของหน่วยงานพลเรือนที่เมืองหลวงก็เป็นแบบนี้ เพราะรับใช้กรมพลเรือนจึงวางตัวสูงส่งขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” อู๋ฝานเอ่ยขึ้น
เนื่องจากเขาเป็นเพียงคนมาจากเทศมณฑลไกลห่าง ตำแหน่งทางการก็ยังเป็นแค่ผู้นำหน่วยรักษาการณ์ของหมู่บ้าน เรียกได้ว่าไม่นับว่ามีค่าในเมืองหลวง และกระทั่งเทศมณฑลชิงหยวนก็คงไม่มีใครเก็บมาใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะสถานะจื่อเจวี๋ย เกรงว่ากัวจื่อหมิงคงไม่คิดมองด้วยซ้ำ
ดังนั้นอู๋ฝานจึงปล่อยวางไม่คิดมาก
ที่ลั่วหยางบ่นออกมาก็เพราะสำหรับเด็กชายแล้ว นอกจากพี่สาวก็มีชายหนุ่มเป็นคนสำคัญสูงสุด ขณะนี้เจอผู้อื่นที่ไม่ยินดีต้อนรับ จะรู้สึกไม่ยินดีก็ไม่แปลก แต่จากคำพูดของทั้งพี่สาวและของอู๋ฝาน ทำให้เขาไม่อาจกล่าวคำใดเพิ่มเติม ทำได้เพียงบ่นขุนนางของเมืองหลวงอยู่ในใจต่อไป
จนกระทั่งผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจึงมาหยุดยืนตรงหน้าพวกอู๋ฝานอีกครั้งพร้อมกล่าวบอก “เป็นจื่อเจวี๋ยที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่งั้นหรือ?”
“ใช่” อู๋ฝานตอบกลับ
“เชิญทางด้านนี้” เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทราบข้อมูลของอู๋ฝานแล้ว
“พวกเจ้าทั้งสองรอด้านนอก” เจ้าหน้าที่หันไปบอกลั่วเยวี่ยและลั่วหยาง
“ไปหาสถานที่เย็นกว่านี้รอข้าก็แล้วกัน” อู๋ฝานบอกกับสองพี่น้อง
“ขอรับนายท่าน” ลั่วหยางและลั่วเยวี่ยตอบรับ
ภายใต้การนำทางของเจ้าหน้าที่ อู๋ฝานเดินเข้าสู่หน่วยงาน พื้นที่ภายในกว้างขวางและใหญ่โตกว่าที่เห็นภายนอก บางครั้งก็จะมีเจ้าหน้าที่คนอื่นเดินผ่านไปมา พวกเขาเหล่านั้นไม่คิดหันมามองชายหนุ่มแต่อย่างใด
อู๋ฝานพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ที่ซึ่งมีชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีนั่งอยู่หลังโต๊ะยาว อีกฝ่ายน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องการลงทะเบียน
“นามว่าอะไร มาจากที่ไหน ตำแหน่งอะไร เหตุใดมายังเมืองหลวง” ทันทีที่อู๋ฝานเดินเข้ามาใกล้ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็รัวคำถามออกมาเป็นชุดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
อู๋ฝานตอบอีกฝ่ายทีละคำถาม ขณะกล่าวว่าเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ เขาก็รับรู้ได้ชัดเจนถึงท่าทีดูหมิ่นและเหยียดหยันจากสายตาของอีกฝ่าย
“หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตัวจ้อยถึงกับได้รับแต่งตั้งเป็นจื่อเจวี๋ย?” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นมา
“มีปัญหาใดหรือไม่?” อู๋ฝานถามกลับ
“ข้าลงทะเบียนให้ไม่ได้ เนื่องจากสงสัยว่าป้ายตำแหน่งนี้เป็นของปลอม หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ได้เป็นจื่อเจวี๋ย ทั้งยังมาเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิงั้นหรือ?” ชายวัยกลางคนเผยสีหน้าคร่ำเคร่งตอบกลับมา
เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายที่อายุราวสี่สิบปี แต่กลับทำงานต่ำเตี้ยที่สุดในหน่วยงานพลเรือน ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาศักดิ์ แค่ตำแหน่งขุนนางพลเรือนก็ยังเป็นได้เพียงขั้นที่แปด หากเป็นที่เทศมณฑลก็ถือว่าดี อย่างไรผู้ปกครองเทศมณฑลก็ยังเป็นแค่ขั้นที่เจ็ด แต่สำหรับที่เมืองหลวงแห่งนี้ ตำแหน่งนี้ถือว่าต่ำเตี้ยเกือบจะล่างสุด
ขณะที่อู๋ฝานอายุเพียงยี่สิบต้นกลับได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจื่อเจวี๋ย ทั้งยังเป็นจื่อเจวี๋ยที่ครอบครองศักดินาเป็นของตนเอง ผู้อื่นเห็นมีหรือจะไม่อิจฉาริษยา? นอกจากนี้ชายหนุ่มก็กล่าวว่าตนเองเป็นแค่หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงตั้งคำถาม
หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตัวจ้อยได้เป็นจื่อเจวี๋ย ขณะที่ผู้อื่นไม่อาจได้เป็นแม้เสมียนหน้าประตูอย่างนั้นหรือ?
“องค์เหนือหัวเป็นผู้ประทานบรรดาศักดิ์แก่ข้า และยังเป็นองค์เหนือหัวที่มีพระราชโองการให้ข้ามายังเมืองหลวง หากเจ้ายังไม่รู้ความก็จงไปถามกับองค์เหนือหัว” อู๋ฝานตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า
อีกฝ่ายตั้งข้อสงสัยทำให้เรื่องราวยากลำบากขึ้น ทำให้อู๋ฝานไม่รู้สึกผิดที่ต้องเอ่ยคำเหล่านี้ อย่างไรทุกสิ่งอย่างที่กล่าวไปนั้นก็เป็นความจริงทั้งสิ้น
“วาจาอวดดี!” ชายวัยกลางคนโกรธจนหน้าแดง
เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเหยียดหยามตนเอง เนื่องจากเป็นขุนนางพลเรือนผู้น้อยที่ไม่เคยได้มีโอกาสเข้าราชสำนัก เช่นนั้นจะเอาอะไรไปเจอกับจักรพรรดิ? เห็นได้ชัดว่าอู๋ฝานกำลังเยาะเย้ย
“ข้ากำลังคิดว่าเจ้ากำลังจงใจทำให้เรื่องราวมันยากลำบากขึ้น” อู๋ฝานสวนด้วยการตั้งคำถาม
แม้ตอนที่อู๋ฝานเดินทางมาเมืองหลวงจะคิดมาตลอดว่าไม่ควรมาสร้างปัญหาใดที่นี่ อย่างไรแล้วที่นี่ก็มีแต่ผู้ทรงอำนาจในอาณาจักรเหยียนเฟิงรวมตัวกันอยู่ การไปยั่วยุพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับประโยชน์อันใด
แต่เมื่ออีกฝ่ายจงใจสร้างปัญหาให้ เขาก็ไม่คิดกลัวจนหดหัวแต่อย่างใด ยังไม่กล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนตัวจ้อย
“บัดซบ! กล้าดียังไงพูดจาแบบนี้กับข้า!” ชายวัยกลางคนสวมบทเจ้าหน้าที่ทางการผู้ทรงสิทธิ์ขึ้นมา “ทหาร!”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่เชื่อว่าอู๋ฝานที่เป็นหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์คนหนึ่งจะเป็นจื่อเจวี๋ยจึงไม่คิดถอย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นจื่อเจวี๋ยจริงเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว จื่อเจวี๋ยที่เดินทางมาจากบ้านนอกก็เป็นได้แค่นั้น ต้องเป็นจื่อเจวี๋ยของเมืองหลวง จึงมีทั้งสถานะและเกียรติอันสูงส่งจนเขาไม่กล้าหาเรื่อง แต่ไม่ใช่กับชายตรงหน้านี้อย่างแน่นอน
“เกิดอะไรขึ้นจึงเสียงดังขนาดนี้?” ขณะชายวัยกลางคนเรียกทหารให้เข้ามาจับกุมตัวอู๋ฝาน ชายอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “ไม่รู้รึไงว่าที่นี่คือหน่วยงานพลเรือน? มาส่งเสียงเอะอะโวยวายอะไรที่นี่?!”
เมื่อเห็นผู้มาเยือน ชายวัยกลางคนก็รีบออกมาจากด้านหลังโต๊ะ พร้อมไปหยุดยืนตรงหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะโค้งกายลงอย่างงดงามและนอบน้อม “ใต้เท้าหลี่ ไฉนท่านมาที่นี่ล่ะขอรับ?”
…………………………………………………..