บทที่ 449 พบเจออีกครั้ง
บทที่ 449 พบเจออีกครั้ง
ฝั่งอู๋ฝานดูปล่อยวาง แต่ในใจของใต้เท้าหลี่ไม่ใช่ รอจนกระทั่งรถลากเคลื่อนผ่านหายลับไปจากสายตาเขาจึงค่อยปล่อยมือที่สั่นอยู่นานลงได้ รอยยิ้มที่เผยมาโดยตลอดเริ่มเลือนหาย
‘โชคดีแล้วที่เคยเห็นจี้หยกนั่นมาก่อน ไม่งั้นวันนี้คงได้ล้มจนหาทางเงยขึ้นไม่เจอ’ ใต้เท้าหลี่รำพึงรำพันอยู่ในใจ
จี้หยกดังกล่าวเป็นของผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งในวังหลวง เป็นสิ่งที่ได้ประทานมาจากองค์เหนือหัวโดยตรง เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างทราบ และผู้ที่ทราบส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญ อย่างไรแล้วผู้ที่ตำแหน่งต่ำต้อยก็ไม่มีคุณสมบัติได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิ
บุคคลเช่นใต้เท้าหลี่นั้นย่อมไม่มีสิทธิ์ได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิ กระทั่งเข้าเฝ้าผู้สูงศักดิ์ยังถือเป็นเรื่องยากด้วยซ้ำไป แต่จักรพรรดิได้มอบจี้หยกดังกล่าวในงานเลี้ยงวันเกิดอย่างเอิกเกริก เพื่อให้เหล่าขุนนางทั้งหลายที่เข้าร่วมงานเลี้ยงได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ งานเลี้ยงวันนั้นจึงมีการเชิญผู้คนมากมายให้มาเข้าร่วม ใต้เท้าหลี่โชคดีเป็นหนึ่งในนั้นและได้เห็นจี้หยกดังกล่าว แม้ผ่านมานานหลายปีเขาก็ยังไม่เคยลืมเลือนถึงภาพลักษณ์ความงดงามของจี้หยกนั้น
เป็นขุนนางตำแหน่งสูงในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีสายตาที่ดีและการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
จี้หยกปรากฏอยู่กับตัวอู๋ฝานอย่างกะทันหัน เหตุผลมีได้เพียงสองประการ หนึ่งคือการขโมยเอามา ซึ่งแทบไม่มีความเป็นไปได้ เนื่องจากวังหลวงมีการตรวจตราเข้มงวดและรัดกุม อีกทั้งบุคคลที่เป็นเจ้าของยังเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ หัวขโมยใดที่ต้องการช่วงชิงมา คงยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์ หรือต่อให้ช่วงชิงเอามาได้ก็ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตวุ่นวาย และเขาไม่เคยได้ยินว่าเกิดเรื่องราวเช่นนั้นมาก่อน และหากมันถูกขโมยมาจริงอีกฝ่ายก็คงไม่กล้าหาญขนาดห้อยไว้ข้างกายให้ผู้อื่นพบเห็น
ถ้าไม่ใช่การลักขโมย อย่างนั้นจี้หยกดังกล่าวก็ต้องเป็นผู้สูงศักดิ์มอบให้แก่อู๋ฝานด้วยตนเอง ตัวจี้หยกนั้นล้ำค่า อีกทั้งเจ้าของเดิมก็ยังโปรดปรานถึงที่สุด ดังนั้นจึงไม่มีทางมอบให้ผู้อื่นง่าย ๆ รวมกับข้อเท็จจริงที่จักรพรรดิกำลังเฟ้นหาราชบุตรเขย เมื่อขณะนี้จี้หยกปรากฏอยู่กับตัวชายหนุ่มมีหรือจะใช่เรื่องบังเอิญ?
ไม่มีทาง!
‘ไม่น่าแปลกใจเลยที่หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตัวจ้อยจะได้เป็นจื่อเจวี๋ย อีกทั้งยังได้รับพระราชโองการมาเยือนเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิ สัมพันธ์นี้ไม่ใช่ธรรมดา’ ใต้เท้าหลี่ครุ่นคิดพลางวิเคราะห์จนได้ข้อสรุปออกมา
“โชคดีที่เราไหวตัวทัน” เป็นอีกครั้งที่เขาต้องชื่นชมความฉลาดของตนเอง เพียงแต่ในใจยังเกิดความหวาดกลัวแผ่ซ่าน หากเมื่อครู่เกิดการต่อสู้หรือจับกุมตัวอู๋ฝานขึ้นมา เกรงว่าตนคงไม่เพียงแค่เสียตำแหน่งการงาน แต่ยังอาจถูกจำคุกหรือประหาร
ทันทีที่คิดได้ดังนั้น ใจของใต้เท้าหลี่จึงยิ่งแค้นเคืองจ้าวต้าอวี่ สารเลวคนนั้นเกือบลากเขาตายร่วมด้วยแล้ว! ตัวการเช่นนี้ตลอดชั่วชีวิตที่เหลือต้องไม่ได้พบเจอความสงบสุข
“ไม่ได้!” ทันทีที่ใต้เท้าหลี่ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในตัวตนของอู๋ฝาน เขาก็ยิ่งรู้สึกนึกหวาดกลัวการกระทำของตนเองเมื่อครู่ หากผ่านไปไม่นานชายหนุ่มอยากโต้แย้งขึ้นมาจะทำอย่างไร?
เมื่อคิดได้ดังนั้นใต้เท้าหลี่จึงตะโกน “ทหาร!”
ไม่นานผู้ใต้บัญชาทั้งสองคนก็มาถึง พร้อมรอคอยคำสั่งของใต้เท้าหลี่อย่างนอบน้อม
“พวกเจ้าไปยังศาลาพักม้า ส่งของใช้จำเป็นให้แก่ใต้เท้าอู๋ให้เรียบร้อย นอกจากนี้ จัดหาหญิงรับใช้และข้ารับใช้ติดตามไปด้วย กำชับข้ารับใช้เหล่านั้นว่าต้องคอยดูแลใต้เท้าอู๋ให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง” ใต้เท้าหลี่ออกคำสั่ง
“ขอรับใต้เท้า” ผู้ใต้บัญชาทั้งสองรับคำสั่งและออกไป
เมื่อเห็นผู้ใต้บัญชาทั้งสองเดินหายลับไปจากสายตา ใจของใต้เท้าหลี่ก็ค่อยผ่อนคลายได้บ้าง หลังคาดเดาตัวตนของอู๋ฝานได้แล้ว เหตุใดจึงไม่สานสัมพันธ์ในตอนนี้ที่อะไรยังไม่แน่ชัด? ด้วยความรักที่องค์เหนือหัวมีให้แก่องค์หญิง ผู้ใดได้แต่งงานด้วยย่อมได้รับการเล็งเห็นคุณค่าด้วยเช่นกัน
หลังคิดได้ดังนั้น ใจของใต้เท้าหลี่ก็ยิ่งร้อนรุ่ม เนื่องจากมองว่าตนเองยังอายุไม่เยอะ โอกาสที่จะได้เติบโตก้าวหน้ากว่านี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้ว จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้วว่าจะคว้าเอามาหรือปล่อยโชคลาภหลุดลอยไป
ขณะเดียวกันนั้น อู๋ฝานนั่งอยู่ในรถลาก ส่วนลั่วหยางกำลังขับรถลากมุ่งหน้าสู่ศาลาพักม้า ทำให้ชายหนุ่มมีเวลาว่างสำรวจจี้หยกพลางครุ่นคิด
อู๋ฝานไม่ใช่คนโง่ ที่หน่วยงานพลเรือนเมื่อครู่นี้ มันมีเหตุผลว่าทำไมใต้เท้าหลี่ถึงเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างกะทันหัน ทั้งหมดก็เพราะอีกฝ่ายเห็นจี้หยก หากไม่ใช่เพราะจี้หยกนี้เขาคงถูกจับกุมเข้าคุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็กลายเป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัว
‘เจ้าฉีมีสถานะตัวตนยังไงกันแน่? ถึงขั้นมีจี้หยกที่สามารถสยบขุนนางขั้นที่สี่ได้ น่าจะไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
จากคำพูด พฤติกรรม และท่าทีของเจ้าฉี มันทำให้อู๋ฝานรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่สตรีจากตระกูลธรรมดา แต่จะต้องเป็นสตรีจากตระกูลที่มั่งคั่ง เพียงแต่พิจารณาจากท่าทีของใต้เท้าหลี่เมื่อครู่ มันบ่งบอกว่าเขาประเมินตัวตนของนางต่ำเกินไป แทบเป็นไปไม่ได้ที่เพียงแค่จี้หยกชิ้นหนึ่งจะทำให้ขุนนางพลเรือนขั้นสี่หวาดเกรง ทว่าที่หวาดกลัวก็คือเจ้าของจี้หยก หรือก็คือเจ้าฉี!
แต่ก่อนหน้านี้อู๋ฝานไม่ได้ใช้วิชาตรวจสอบกับเจ้าฉีเพราะเหตุผลทางมารยาท ดังนั้นจึงไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของนาง ทว่าพอมองออกว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูลที่มีชนชั้น ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีทางทำให้คนเช่นใต้เท้าหลี่เปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันได้
“ปรามาสนางเกินไปแล้ว” อู๋ฝานหัวเราะกับตัวเอง
ตอนนี้ลั่วหยางที่กำลังขับรถลากอยู่นั้นพลันต้องหยุดอย่างกะทันหันอีกครั้ง อู๋ฝานและลั่วเยวี่ยที่ไม่ได้เตรียมใจรับเรื่องราวไว้ก่อนจึงเสียสมดุลจนแทบล้มคว่ำ
“รถลากสมัยนี้ควรต้องมีเข็มขัดนิรภัยกันแล้วมั้ง?” อู๋ฝานบ่นพึมพำขณะลุกขึ้นมา
“ลั่วหยาง เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมเป็นแบบนี้อีกแล้ว?” ลั่วเยวี่ยเอ่ยถามน้องชาย
“พี่หญิง นายท่าน มีคนโผล่มาจากข้างทางอย่างกะทันหันอีกแล้วขอรับ” ลั่วหยางตอบกลับมา “แต่ครั้งนี้ข้ารับมือเร็วขึ้นนะ ไม่ได้ชนคนแต่อย่างใด”
อู๋ฝานยื่นหน้าออกไปดูนอกรถลาก แต่เพียงชะโงกมองออกไปกลับพบเห็นสองร่างอันคุ้นเคย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้าฉีและผู้ติดตามที่เพิ่งแยกกันเมื่อช่วงเที่ยง
เจ้าฉีเองก็ไม่คาดว่าจะได้เจอพวกอู๋ฝานอีกครั้งที่นี่ เพียงแต่นางที่เดิมตื่นตระหนกอยู่นั้น ชั่วพริบตาที่เห็นรถลากอันคุ้นเคยจึงไม่ทันยั้งคิด พลันพุ่งตัวเข้ามาขวาง หลังรถหยุดลงจึงรีบเข้ามาใกล้ตัวรถลาก
“ไฉนเจอกันอีกแล้ว? มาชำระหนี้งั้นหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“ขอข้าขึ้นรถลากก่อน!” เจ้าฉีเผยน้ำเสียงร้อนรน
อู๋ฝานชะโงกหน้าออกไปสำรวจ ก่อนจะพบว่ามีกลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้เคยออกค้นหาตัวเจ้าฉีปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้ง คล้ายว่ากำลังขยายขอบเขตการค้นหาจนมาถึงแถบนี้แล้ว
“เกรงว่าจะสายเกินไปแล้ว” อู๋ฝานตอบกลับขณะมองคนที่กำลังรีบวิ่งเข้ามาใกล้
เจ้าฉีหันกลับไปมอง ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด
ส่วนเสี่ยวชิงที่เห็นกลุ่มคนเข้ามาใกล้ นางที่เดิมไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจกลับคล้ายจะเผยให้เห็นท่าทีว่าโล่งอกออกมาเสียด้วยซ้ำ
…………………………………………………..