บทที่ 453 มิตรไมตรีจากใต้เท้าหลี่
บทที่ 453 มิตรไมตรีจากใต้เท้าหลี่
เรื่องราวจบลง กลุ่มคนแยกย้าย สถานที่ซึ่งเคยคึกคักคลาคล่ำด้วยผู้คนเมื่อครู่กลับคืนความสงบ เหลือไว้เพียงแต่พวกอู๋ฝานที่ยืนอยู่
“นายท่าน พวกเราก็ควรไปแล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเยวี่ยเอ่ยขึ้น
อู๋ฝานพยักหน้ารับ “ไปกัน”
จากนั้นพวกอู๋ฝานจึงกลับขึ้นรถลากของตนเอง ลั่วเยวี่ยยังคงมีท่าทีอึมครึมเพราะเรื่องราวเมื่อครู่ ส่วนลั่วหยางกลับไปควบคุมรถลากอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง
ไม่นานพวกอู๋ฝานก็มาถึงศาลาพักม้าที่ทางราชสำนักจัดตั้งขึ้น เพื่อรับรองสำหรับการพักผ่อนแก่ขุนนางพลเรือนและผู้มีตำแหน่งที่มาทำกิจธุระในเมืองหลวงโดยเฉพาะ อาณาเขตของสถานที่กว้างใหญ่ อีกทั้งบรรยากาศก็ยังร่มรื่น
ปกติหากขุนนางพลเรือนท้องถิ่นไม่มีพระราชโองการจากจักรพรรดิ ก็มักจะไม่ค่อยเดินทางมาเมืองหลวง เว้นแต่จะมารายงานตัวตามหน้าที่ หรือมีเรื่องสำคัญอื่นให้ต้องทำ แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ดังนั้นภายในศาลาพักม้าจึงไม่ค่อยมีผู้คน หลังอู๋ฝานมาถึงก็แสดงป้ายตัวตน ก่อนจะได้รับเรือนหลังหนึ่งที่มีลานกว้างตรงหน้า ภายในประกอบด้วยห้องราวเจ็ดถึงแปดห้อง
“ถ้าเรือนขนาดใหญ่แบบในเมืองหลวงนี่ไปอยู่ที่โลกแห่งความเป็นจริง น่าจะราคาหลายสิบล้าน หรืออาจจะมากกว่านั้น” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเองขณะมองสถานที่ใช้พำนักชั่วคราว
โดยภาพรวมมันถือเป็นสถานที่อาศัยชั่วคราวที่น่าพึงพอใจ เดิมเขาคิดว่ามันอาจจะคล้ายโรงเตี๊ยมที่ได้รับการจัดสรรห้องให้ใช้พัก ไม่ได้นึกคิดว่าจะเป็นเรือนขนาดใหญ่มีห้องหับมากมายรวมถึงลานกว้าง เรียกได้ว่าทั้งประหลาดใจและน่าพึงพอใจในเวลาเดียวกัน
“นายท่าน มีคนจากหน่วยงานพลเรือนมาขอพบขอรับ” ขณะลั่วเยวี่ยไปช่วยอู๋ฝานทำความสะอาดห้อง ลั่วหยางก็เข้ามารายงาน
“คนจากหน่วยงานพลเรือน?” อู๋ฝานชะงักไปครู่หนึ่ง
เป็นเรื่องอะไรกัน? หรือใต้เท้าหลี่เกิดเปลี่ยนใจอีกแล้ว? หรือว่ามีเรื่องราวใดกันแน่?
“ให้เข้ามาได้” อู๋ฝานตอบ
“ขอรับ” ลั่วหยางตอบรับ
สิ่งที่ทำให้อู๋ฝานต้องประหลาดใจคือการที่คนของหน่วยงานพลเรือนไม่ได้มาเพียงแค่หนึ่ง แต่มากันถึงเจ็ดหรือแปดคน นำมาโดยสองคนที่ใส่ชุดเครื่องแบบของหน่วยงานพลเรือน ส่วนผู้อื่นแต่งกายเป็นข้ารับใช้
“มาพบข้ามีเรื่องอะไรหรือ?” อู๋ฝานเอ่ยถามตามตรง
“ใต้เท้าอู๋ พวกเรารับคำสั่งจากใต้เท้าหลี่ให้มาคอยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันให้แก่ท่านขอรับ นอกจากนี้ใต้เท้าหลี่ก็ยังเกรงว่าท่านอาจจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่สุขสบาย ดังนั้นจึงขอให้พวกเราสองคนนำข้ารับใช้มาคอยปรนนิบัติขอรับ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่หน่วยงานพลเรือนเอ่ยออกมาด้วยความนอบน้อม
“ใต้เท้าหลี่สุภาพเกินไปแล้ว” อู๋ฝานรับคำ
ขณะนี้เขาจึงได้เข้าใจ ว่าใต้เท้าหลี่ทำเช่นนี้เพราะกลัวจะถูกย้อนถามหาความผิดจากเรื่องราวก่อนหน้า เพียงแค่เรื่องนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาต้องตระหนักถึงตัวตนของเจ้าฉี
“ทราบแล้ว ให้ข้ารับใช้อยู่ที่นี่ได้ ส่วนพวกท่านกลับไปฝากคำขอบคุณถึงใต้เท้าหลี่แทนข้าด้วย” อู๋ฝานรับคำ
อู๋ฝานทราบดีว่าหากปฏิเสธความหวังดีของใต้เท้าหลี่ อีกฝ่ายอาจจะคิดเป็นอื่นจนนำไปสู่อะไรที่ยากจะคาดเดา ดังนั้นการรับเอาไว้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกยินดี
ชายหนุ่มไม่มีความคิดที่จะก่อเรื่องกับขุนนางขั้นสี่ตั้งแต่มาเยือนเมืองหลวง ยังไม่กล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นถึงคนของกรมพลเรือน
“ขอรับ” เจ้าหน้าที่ทั้งสองประสานมือให้อู๋ฝาน หลังจากนั้นจึงฝากเหล่าข้ารับใช้เอาไว้ก่อนจะกลับกันไป
“ลั่วเยวี่ย เดี๋ยวพวกเขาจัดการต่อเอง เจ้าคอยกำกับพวกเขาอีกทีหนึ่งก็พอ” อู๋ฝานบอกกับลั่วเยวี่ย
“เจ้าค่ะนายท่าน” ลั่วเยวี่ยตอบรับ
หลังเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนเดินทางกลับไป ผู้ที่รับผิดชอบดูแลศาลาพักม้าแห่งนี้จึงเดินทางมาพบอู๋ฝานด้วยตัวเอง เพื่อสอบถามว่าขาดเหลือหรือบกพร่องอะไรหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายเป็นเพราะท่าทีของใต้เท้าหลี่
หลังส่งผู้ดูแลศาลาพักม้ากลับไปแล้ว อู๋ฝานจึงนำลั่วหยางเดินทางออกจากศาลาพักม้า นครเหยียนหยางคือเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง ในเมื่อมาถึงที่นี่กันแล้วเขาก็คิดอยากไปเดินเล่นเที่ยวชม
ขณะอู๋ฝานและลั่วหยางไปเที่ยวเล่นชมเมือง เจ้าฉีที่ได้รับการคุ้มกันจึงเดินทางกลับมาถึงวังพร้อมเหล่าทหารและองครักษ์ หลังกลุ่มคนถอยกลับไป นางจึงนำเสี่ยวชิงมุ่งตรงไปยังห้องทรงอักษรในวังหลวง
ภายในห้องทรงอักษร จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงกำลังถือกระดาษพลางขมวดคิ้ว ด้านล่างประกอบด้วยเหล่าขุนนางผู้มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก
“อ้ายชิง*[1]ทั้งหลาย คิดเห็นเช่นไรกับการที่อาณาจักรหนานปิงกล่าวว่าต้องการทำสัญญาสงบศึก?” จักรพรรดิที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังมองเหล่าขุนนางพลางถาม
“ฝ่าบาท อาณาจักรหนานปิงต้องการส่งองค์หญิงของพวกเขามาเพื่อเป็นพระสนมของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเหยียนเฟิง เป็นเรื่องที่น่าจะแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมพลเรือนหยวนจีประสานมือเอ่ยชื่นชม
“ทูลฝ่าบาท อาณาจักรหนานปิงเป็นหนึ่งในอาณาจักรขนาดเล็กที่มั่งคั่งที่สุดของทางใต้ ตลอดมาเป็นเมืองรองของอาณาจักรเหยียนเฟิง การส่งองค์หญิงมาเป็นพระสนมของฝ่าบาทครั้งนี้ถือเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรพ่ะย่ะค่ะ” โหวอี้เสนาบดีกรมโยธาธิการเอ่ยขึ้น
จักรพรรดิพยักหน้ารับ ราวกับคิดเช่นเดียวกัน
“ฝ่าบาท ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงเล็กแห่งอาณาจักรหนานปิงยังอายุไม่มาก อีกทั้งรูปโฉมก็งดงาม เพียงแต่นางค่อนข้างมีนิสัยที่ดิบเถื่อน ไม่ใช่กุลสตรี ทั้งยังชื่นชอบการร่ายรำกระบี่ หากส่งตัวเข้าเป็นพระสนมของฝ่าบาท อาจจะกระทบถึงเกียรติของราชวงศ์ได้พ่ะย่ะค่ะ” โจวเหยียนเฟิงเสนาบดีกรมคลังเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าโจวกังวลเกินไปแล้ว” หลี่หยางเสนาบดีกรมกลาโหมเอ่ยขึ้น “องค์หญิงเล็กแห่งอาณาจักรหนานปิงมักทำอะไรตามใจชอบก็จริง แต่อาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเราเพียงแค่รับนางมาเป็นพระสนมของฝ่าบาท ดังนั้นนางย่อมต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของอาณาจักรเหยียนเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าเกรงว่าองค์หญิงจากอาณาจักรขนาดเล็กเช่นนั้นจะไม่ทราบธรรมเนียมปฏิบัติ ความป่าเถื่อนนั้นยากจะทำให้เชื่อฟัง สุดท้ายอาจฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองเอาได้” โจวเหยียนเฟิงเลิกคิ้วขึ้นขณะตอบกลับ
“ข้าคิดว่าอาณาจักรหนานปิงเป็นเพียงอาณาจักรขนาดเล็กจากทางใต้ องค์หญิงของพวกเขาจะเหมาะสมกับฝ่าบาทหรือ? อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงผู้ไม่ค่อยปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองเสียด้วย มันทำให้ข้าคิดว่าพวกเขาอาจมีเจตนาอื่นจึงส่งองค์หญิงผู้นั้นให้ฝ่าบาทหรือไม่?” ฉีข่ายเสนาบดีกรมพิธีการเอ่ยขึ้น
แต่ละคนต่างก็มีความเห็นต่อการแต่งงานทางการเมืองระหว่างอาณาจักรหนานปิงและอาณาจักรเหยียนเฟิงแตกต่างกันออกไป เพียงแต่ไม่มีใครเห็นความผิดปกติในเรื่องที่จักรพรรดิชราต้องแต่งงานกับองค์หญิงรุ่นลูกในยุคนี้ สามีชรากับภรรยาสาวไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่ โดยเฉพาะกับตัวตนยิ่งใหญ่เช่นจักรพรรดิของอาณาจักรแห่งหนึ่ง
ความเห็นต่างของแต่ละคนคือการที่มีบางส่วนมองว่าองค์หญิงผู้ป่าเถื่อนไม่ควรเป็นพระสนมของจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิง การแต่งงานเป็นพระสนมจำเป็นต้องมองในแง่มุมของความเหมาะสมทางการเมือง เห็นได้ชัดว่าพวกเขามององค์หญิงผู้นั้นไม่ผ่านคุณสมบัติ
จักรพรรดิชราเงียบไปชั่วขณะ แต่ไม่นานสายตาพลันต้องหันไปมองทางหลี่หยางผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม “ข้าจำได้ว่าเดือนก่อนอาณาจักรหนานปิงร้องขอความช่วยเหลือมา แต่ช่วงนั้นเป็นเพราะพวกเรายุ่งอยู่กับการปราบพวกกบฏ ทั้งยังมีเรื่องต้องรับมือกับกองทัพโลกอสูรจึงเมินคำขอของพวกเขาไปใช่หรือไม่?”
[1] อ้ายชิง เป็นคำเรียกที่กษัตริย์ใช้เรียกแทนขุนนาง