บทที่ 462 ขาดแคลน
บทที่ 462 ขาดแคลน
อู๋ฝานมองเจ้าหย้าหนานก่อนจะเอ่ย “ไว้พวกเรามีเวลาค่อยตรวจสอบสัญญาของลูกค้ารายนี้นะครับ ต้องคุยรายละเอียดกันให้ชัดเจนก่อนถึงจะลงนามทำสัญญาได้”
“ทำตามที่ว่าได้เลยค่ะ” เจ้าหย้าหนานตอบรับ
หลังเจ้าหย้าหนานออกไปแล้ว อู๋ฝานจึงบอกกับลู่หรงฮวาและคนอื่น “วันนี้ผมพอมีเวลาอยู่บ้าง เดี๋ยวจะทำของไม่ใหญ่มาก พวกคุณคอยจับตาดูและเรียนรู้ก็แล้วกันนะครับ”
“ครับเถ้าแก่”
ก่อนอู๋ฝานจะออกจากโรงงานเฟอร์นิเจอร์ เจ้าหย้าหนานก็ได้ตอบรับลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายจะคุยรายละเอียดกันในเช้าวันรุ่งขึ้น สถานที่คือบริษัทของคู่ค้า
“อู๋ฝาน วันพรุ่งนี้คงต้องรบกวนเวลาคุณอีกแล้วค่ะ” เจ้าหย้าหนานกล่าวบอก
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ มีปัญหาก็ต้องแก้ไข ผมเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ เรื่องของที่นี่ก็เป็นเรื่องของผมเหมือนกัน” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ
“ทำไมฉันดูไม่ได้เรื่องขนาดนี้กันนะ” เจ้าหย้าหนานตอบรับ “คุณทั้งให้ทุนและสร้างเฟอร์นิเจอร์ได้ ตอนนี้ก็ยังรับหน้าเรื่องเจรจาทำสัญญาอีก ฉันดูไม่มีประโยชน์อะไรเลยค่ะ” เจ้าหย้าหนานรำพึงรำพันออกมา
หลังรับช่วงต่อโรงงานเฟอร์นิเจอร์และโรงไม้จากครอบครัว แม้เจ้าหย้าหนานจะเผชิญแรงกดดันมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ดื่มด่ำไปกับเส้นทางชีวิต เธอมีความปรารถนาจะปักหลักในอุตสาหกรรมแห่งนี้อย่างแน่วแน่
แต่หลังทำงานได้ชั่วระยะหนึ่งกลับได้ตระหนักว่าทุกเรื่องราวไม่ได้ง่าย ทั้งยังเพราะเธอประมาทเลินเล่อจนทำให้โรงงานเฟอร์นิเจอร์ถูกไฟไหม้ คำสั่งซื้อครั้งก่อนแทบจะวอดวายไปหมด
เมื่ออู๋ฝานรับช่วงต่อโรงงานและโรงไม้ อีกฝ่ายให้ความร่วมมือและแบ่งหุ้นกับเธอ เรื่องนี้ทำให้ไฟแห่งการต่อสู้ของเจ้าหย้าหนานลุกติดขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมคิดว่าเพราะชายหนุ่มมองเห็นถึงความสามารถของตนจึงยกหน้าที่ให้
แต่ตอนนี้หญิงสาวได้ตระหนักอีกครั้งว่าตนคล้ายไม่อาจทำประโยชน์อะไรได้ นอกจากคอยอยู่โรงงานและโรงไม้พลางดูคนงานทำงานตลอดทั้งวัน นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรอื่นให้ทำอีก ทุกเรื่องจำเป็นต้องให้อู๋ฝานออกหน้าคลี่คลาย เธอราวกับคนที่ทำอะไรเองไม่เป็น ขณะนี้จึงรู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ? ถ้าไม่มีคุณแล้วผมจะมีเวลาไปดูแลเรื่องอื่นได้ยังไงกัน? เพราะคุณอยู่ที่นี่ผมถึงวางใจและมีเวลาว่างไปจัดการเรื่องอื่นได้นะ” อู๋ฝานพยายามปลอบ
“แต่ฉันรู้สึกว่าหน้าที่นี้ใครก็ทำได้ค่ะ” เจ้าหย้าหนานตอบกลับ
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะครับ? ผมจ่ายหลายสิบล้านเพื่อซื้อที่นี่ และเพราะแบบนั้นถึงต้องมีคนไว้ใจได้คอยช่วยดูแล ผมไว้ใจคุณครับ” อู๋ฝานยิ้มตอบกลับ
คำพูดของอู๋ฝานทำให้เจ้าหย้าหนานที่ดูสิ้นหวังเมื่อครู่ เกิดหน้าแดงขึ้นมาจนแทบจะเป็นลูกแอปเปิล
“ก็ตามนี้ อย่าคิดมากไปเลยครับ ให้ทีมกฎหมายเตรียมพร้อมเอาไว้ พรุ่งนี้พวกเราค่อยกลับมาลุยงานกันต่อ”อู๋ฝานไม่ได้ตระหนักถึงท่าทีผิดแปลกของเจ้าหย้าหนาน ดังนั้นจึงยังคงพูดไปเรื่อย “ทางโรงงานน่าจะต้องรับสมัครฝ่ายขายเพิ่มนะครับ พวกเราจะไม่ฝากความหวังไว้กับการที่ลูกค้าได้เห็นผลงานแล้วจะติดต่อมาหา แต่เราต้องทำการค้าเชิงรุกด้วย จะเป็นฝ่ายรออย่างเดียวไม่ได้ครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เจ้าหย้าหนานพยักหน้ารับ
จริง ๆ แล้วโรงงานแห่งนี้มีฝ่ายขาย แต่ในอดีตไม่มีผลงานเฟอร์นิเจอร์ที่โดดเด่น ฝ่ายขายจึงยากจะแสดงศักยภาพออกมา แต่ขณะนี้มีอู๋ฝานที่เก่งกาจระดับมาสเตอร์เข้ามาช่วย เรื่องราวจะต้องแตกต่างออกไปอย่างแน่นอน
อู๋ฝานพยักหน้ารับก่อนจะโบกมือให้เจ้าหย้าหนานและเดินทางกลับ
เจ้าหย้าหนานที่ยืนอยู่ที่เดิมมองตามแผ่นหลังของอู๋ฝาน ถัดมาจึงมองทางเหมยเสวี่ยที่คอยติดตามชายหนุ่ม ก่อนจะถอนหายใจต่อความงามของอีกฝ่ายพลางพึมพำกับตัวเอง “เป็นผู้ช่วยที่สวยอย่างไร้ข้อกังขาจริง ๆ”
“เถ้าแก่เจ้าก็เป็นคนสวยนะคะ” ขณะเจ้าหย้าหนานชื่นชมเหมยเสวี่ย ทางด้านเหมยเสวี่ยก็ชมหญิงสาวเช่นกัน
ตั้งแต่คอยติดตามอู๋ฝานเหมยเสวี่ยก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้เพราะอีกฝ่ายยุ่งกับงานเธอจึงไม่ได้พูดอะไร ขณะนี้ออกมาเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น
“ครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับเป็นการเห็นด้วย “คุณเองก็สวยเหมือนกันนะ”
เหมยเสวี่ยยิ้มตอบรับ “แต่ว่าเจ้าหอคะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าสายตาที่เถ้าแก่เจ้ามองคุณดูแปลกออกไปกันนะ”
“แปลกยังไงกันครับ? ทำไมผมไม่เห็นรู้สึก?” อู๋ฝานถามกลับ
“อาจจะแค่ฉันที่รู้สึกค่ะ” เหมยเสวี่ยตอบกลับ “สัญชาตญาณของผู้หญิงแม่นนะคะ”
“เป็นผู้หญิงก็ใช่ แต่คุณยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลยนะครับ” อู๋ฝานหัวเราะ
“ฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วต่างหาก เป็นผู้หญิงเต็มตัวแล้วค่ะ!” เหมยเสวี่ยโต้แย้ง
“ครับ เป็นครับ เป็นก็ได้ครับ” อู๋ฝานยิ้มรับคำ
ทั้งสองหัวเราะหยอกล้อกันขณะนั่งแท็กซี่ไปยังร้านโลกในแหวน
ทันทีที่อู๋ฝานมาถึงก็โดนระเบิดจากเฉินปิงเหยาลงเข้าใส่
“เถ้าแก่ผู้ยิ่งใหญ่กลับมาแล้ว ถ้ายังไม่กลับมาร้านของเราคงต้องปิดตัวลงแน่!” ทันทีที่เห็นอีกฝ่าย เฉินปิงเหยาจึงเร่งเข้ามาบ่นพลางตัดพ้อ
เฉินปิงเหยาที่มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอ ตอนนี้ถึงกับบ่นอุบออกมาราวกับไม่อาจหักห้ามใจ เห็นได้ว่าความอดทนของเธอคงจะเกินขีดจำกัดไปแล้ว
“เป็นอะไรไปครับ?” อู๋ฝานเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าก็ดูเรียบร้อยดีเหรอครับ?”
ขณะนี้ใกล้เวลาอาหาร ลูกค้าที่มาเยือนร้านต่างก็ทยอยมากันมากขึ้น หากเทียบกับช่วงก่อนเดินทาง ก็พบว่ากิจการไม่ได้ย่ำแย่ลงแต่อย่างใด
“วัตถุดิบแทบไม่เหลือ อีกไม่นานคงได้ปิดร้านแล้วค่ะ” เฉินปิงเหยาตอบกลับ
“ก่อนหน้านี้ผมน่าจะบอกเรื่องโกดังนอกเมืองที่ใช้เก็บวัตถุดิบไปแล้วนี่ครับ?” อู๋ฝานถามกลับ
ก่อนเดินทางจากภูเขาเทียนเหลียงไปหอคันธะสงัด อู๋ฝานได้โทรจัดการเรื่องราวทางธุรกิจทั้งหลายเผื่อเอาไว้ก่อนแล้ว อย่างไรปัจจุบันเขาก็มีกิจการมากมายต้องดูแล ทั้งยังเป็นช่วงเริ่มต้นที่สำคัญ หากหายตัวไปอย่างกะทันหันจะต้องส่งผลกระทบต่อการดูแลจัดการ
ในบรรดากิจการเหล่านั้น อู๋ฝานได้แจ้งให้เฉินปิงเหยาทราบถึงโกดังที่ใช้เก็บวัตถุดิบที่อยู่นอกเมืองแล้ว ที่เธอต้องทำก็แค่ส่งคนไปขนย้ายมา สถานที่ตั้งก็บอกไปแล้ว วัตถุดิบในโกดังก็มีขนาดที่ว่าใช้สักครึ่งเดือนก็ไม่น่ามีปัญหา
“ฉันรู้ค่ะ แล้วก็ส่งคนไปขนย้ายมาแล้วด้วย แต่กิจการของพวกเราดีวันดีคืนขนาดนี้ ปริมาณการใช้วัตถุดิบในแต่ละวันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ส่วนที่อยู่ในโกดังแทบจะไม่พอแล้ว” เฉินปิงเหยาตอบกลับ “และโกดังก็ยังถูกปล้น วัตถุดิบหายไปพอสมควร ถ้าไม่ใช่เพราะเพิ่มการคุ้มกันให้เข้มงวดมากขึ้น วันนี้คงไม่เหลืออะไรให้ใช้แล้วค่ะ”
“ครับ? ว่าอะไรนะครับ?” ภาพหวงถิงเฟิงปรากฏในใจของอู๋ฝานแทบจะในทันที อีกฝ่ายเคยพยายามหาทางจนสืบทราบที่ตั้งของโกดังมาแล้ว แล้วเรื่องครั้งนี้เขาจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?
“มีกลุ่มคนคอยจับตามองโกดังอย่างไม่ทราบสาเหตุค่ะ และสุดท้ายก็ลงมือขโมยวัตถุดิบออกไป โชคดีที่รอบ ๆ โกดังมีกล้องวงจรปิดถึงจับตัวเอาไว้ได้ ตอนนี้เลยโดนส่งเข้าห้องขังกันหมดแล้วค่ะ” เฉินปิงเหยาตอบกลับ
นับว่าคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ช่วงที่เขาเจอด้วยตัวเอง
อู๋ฝานรีบเอ่ยถาม “พวกนั้นบอกไหมครับว่าทำไมถึงขโมยวัตถุดิบของพวกเรา?”
“บอกค่ะ บอกว่าบังเอิญเห็นเลยคันไม้คันมืออยากหยิบฉวยเอามา” เฉินปิงเหยาตอบกลับ
คันไม้คันมือ? บังเอิญเห็น?
ที่ตรงนั้นคือนอกเมือง เป็นสถานที่ห่างไกลแทบจะไม่มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาโดยบังเอิญ จะบอกว่าเพราะว่างจนไม่มีอะไรทำเลยผ่านไปแถวนั้นเหรอ? เห็นของแล้วคันไม้คันมือ? บอกไปแล้วใครจะเชื่อ?
อู๋ฝานไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน!