บทที่ 466 ปาร์ตี้
บทที่ 466 ปาร์ตี้
“อู๋ฝาน ครั้งนี้หายหน้าหายตาไปนานพอสมควรเลยนะ” หวังจื่อหมิงยิ้มแย้มขณะสายตามองไปทางหลิวอวี่กวง ในใจเขากำลังนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไปสนิทกับหลิวอวี่กวงตั้งแต่เมื่อไหร่
หลิวอวี่กวงนั่งร่วมงานเลี้ยงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทว่าก็ยังตระหนักได้ดีถึงสายตาคนอื่นที่จับจ้องมองมายังตนเอง แต่สีหน้าและท่าทีของเขาไม่แสดงความผิดปกติออกมาให้เห็น
“ตอนแรกผมก็ไปทัศนศึกษากับพวกนักศึกษานั่นแหละนะครับ แต่พอดีเกิดเรื่องขึ้นมานิดหน่อย” อู๋ฝานยิ้มรับ “จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณอาจารย์เกิ่ง ตอนแรกพวกเราได้รับมอบหมายหน้าที่ ตอนหลังผมแยกตัวออกมากลางคัน ทำให้อาจารย์ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของกลุ่มนักศึกษาเพียงคนเดียว เพราะแบบนั้นผมถึงเชิญอาจารย์เกิ่งมาร่วมทานมื้อเย็นทันทีที่กลับมา พวกเราไม่ได้เจอกันนานพอสมควร ดังนั้นเลยถือโอกาสจัดงานเลี้ยงย่อม ๆ ขึ้นมาเลยก็แล้วกัน”
“ถ้างั้นที่พวกเราได้มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้คงต้องขอบคุณคุณหย่าเฟยแล้ว” หวังจื่อหมิงเผยยิ้มรับ ทว่าสายตายังคงมองทางหลิวอวี่กวงเป็นครั้งคราว
ตามเจตนาของอู๋ฝาน มันคืองานเลี้ยงที่เป็นส่วนตัวและกันเอง มีเพียงเพื่อนที่สนิทกันถึงได้รับเชิญมา แต่กลับมีหลิวอวี่กวงรวมอยู่ด้วย มันนับเป็นเรื่องที่หวังจื่อหมิงไม่อาจเข้าใจได้ หรืออีกฝ่ายกับอู๋ฝานจะมีเหตุอะไรจนสนิทกันขึ้นมา?
อันที่จริงแล้วอู๋ฝานแทบไม่ได้คิดอะไรมากมาย อาหารมื้อนี้เดิมก็มีเพื่อขอบคุณเกิ่งหย่าเฟย แต่ก็คิดว่าทุกคนไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้วจึงติดต่อหาหวังจื่อหมิง ถังอวี่เฟย และหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ คนทั้งสามเหล่านี้ต่างก็คอยติดต่อหาในช่วงที่เขาไม่อยู่ ดังนั้นพอกลับมาแล้วจะอยากพบเจอเพื่อพูดคุยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ส่วนเรื่องติดต่อหาหลิวอวี่กวงนั้นเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเรื่องเถ้าแก่หลิวทำให้เขาติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายเอาไว้ วันนี้เขาต้องการจัดงานเลี้ยงจึงเชิญหลิวอวี่กวงมาด้วยเพื่อแสดงความขอบคุณ เรื่องไม่ได้มีอะไรซับซ้อนอย่างที่หวังจื่อหมิงกำลังครุ่นคิด ในความเห็นของอู๋ฝาน หลิวอวี่กวงคือหนึ่งในบุตรชายจากห้าตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจว หวังจื่อหมิงก็ถือว่าอยู่แวดวงเดียวกัน หากร่วมทานอาหารด้วยกันก็ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็น่าจะเป็นคนคุ้นเคยและรู้จักกันดีอยู่แล้ว
“ฉันไม่ได้ทำความดีความชอบยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ” เกิ่งหย่าเฟยหัวเราะ “อู๋ฝานควรขอบคุณนักศึกษาหลิ่วเหยียนเอ๋อร์มากกว่า เรื่องทางมหาวิทยาลัยเธอเป็นคนออกหน้าช่วยทั้งนั้น”
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เผยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย
หวังจื่อหมิงเองก็มองทางหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เช่นกัน ในกลุ่มคนที่นี้นอกจากหลิวอวี่กวงที่ทำให้ประหลาดใจ การที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มาร่วมงานด้วยก็นับเป็นอะไรที่ทำให้เขาต้องตกใจเลยด้วยซ้ำ ตัวตนของเธอค่อนข้างพิเศษ นับตั้งแต่มาถึงเจียงโจวมีคนมากมายต้องการเชิญตัวเธอมาร่วมงานเลี้ยง ทว่าเธอกลับไม่เคยตอบรับคำเชิญของใครสักคน แต่วันนี้กลับมาปรากฏตัวที่นี่จึงทำให้ตนค่อนข้างแปลกใจอยู่พอสมควร
“ขอบคุณทุกคนเลยครับ” อู๋ฝานหัวเราะ “นอกจากพวกคุณยังรวมถึงนายน้อยหลิวที่ช่วยเหลือผมเมื่อครั้งก่อนด้วย”
“เรื่องเล็กน้อยครับ” หลิวอวี่กวงตอบรับ “ในอนาคตถ้านายน้อยอู๋เจอเรื่องอะไร ขอแค่ผมทำได้ก็จะไม่มีทางบ่ายเบี่ยงแน่นอนครับ”
แม้อู๋ฝานเป็นเพียงแค่คนทั่วไป แต่ต่อหน้าอีกฝ่าย หลิวอวี่กวงกลับพูดโดยวางตำแหน่งตัวเองไว้ต่ำกว่าและยังค่อนข้างสุภาพซะด้วยซ้ำ
“มีเรื่องอะไรกัน?” หวังจื่อหมิงเอ่ยถาม
เมื่ออีกฝ่ายถาม อู๋ฝานจึงเล่าเรื่องของเถ้าแก่หลิวออกมา
“อู๋ฝาน นายนี่ดูมีแรงเหลือเฟือจริง ๆ เปิดร้านอาหารก็แล้ว เปิดโรงงานบ่มไวน์ก็แล้ว ยังจะเข้ามาในวงการเภสัช วงการเครื่องดื่ม ตอนนี้ยังมีโรงงานเฟอร์นิเจอร์ กระจายไปทั่วจริง ๆ” อู๋ฝานหัวเราะรับ “แต่ว่าเรื่องที่ไปหานายน้อยหลิวก็ถือว่าหาถูกคนแล้ว เรื่องด้านนี้ตระกูลหลิวค่อนข้างมีอิทธิพลอยู่พอสมควรเลย”
“ผมก็แค่ทำไปเรื่อยครับ” อู๋ฝานหัวเราะตอบ
ไม่นานอาหารก็เรียงรายมาเสิร์ฟ รวมถึงไวน์สุดเหนือเมฆที่อู๋ฝานเตรียมมาเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน
เมื่อพบเห็นอาหารบนโต๊ะหวังจื่อหมิงจึงเอ่ยขึ้น “จะว่าไปแล้วช่วงที่นายไม่อยู่ ร้านนี้ก็ประสบปัญหาอยู่พอสมควรเหมือนกัน”
“ได้ฟังมาแล้วครับ” อู๋ฝานพยักหน้ารับ “แต่ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว นับจากพรุ่งนี้ไปน่าจะกลับมาปกติเหมือนเดิม”
ขณะเอ่ยเขาก็เตรียมรินไวน์ให้กลุ่มคน แต่แล้วหลิวอวี่กวงกลับเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าหาอย่างรวดเร็วพร้อมคว้าขวดไวน์ตรงหน้าอู๋ฝาน “นายน้อยอู๋นั่งเถอะครับ ผมรินให้เอง”
“แต่…” อู๋ฝานประหลาดใจจนชะงัก
“ไม่เป็นไรครับ ผมอาสาทำเอง” หลิวอวี่กวงตอบรับ
ผู้คนที่นี่ ยกเว้นอู๋ฝานกับเกิ่งหย่าเฟย ต่างก็มีสถานะทางสังคมสูงกันทั้งนั้น ทว่าชายหนุ่มมีฝีมือเลิศล้ำจนเขาต้องการเข้าหาผูกมิตร ดังนั้นในใจเวลานี้จึงตั้งอีกฝ่ายเป็นคนที่อยู่สูงกว่า ส่วนเรื่องเกิ่งหย่าเฟยที่เป็นผู้หญิง รินไวน์ให้สุภาพสตรีคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป? ยิ่งไปกว่านั้นอาหารมื้อนี้วันนี้เจ้ามือจัดขึ้นก็เพราะหญิงสาว ดังนั้นจะให้เธอที่เป็นแขกคนสำคัญทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ดังนั้นหลิวอวี่กวงจึงเป็นฝ่ายอาสาทำด้วยตัวเอง
แต่อู๋ฝานรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้อง ในใจของเขานั้นหลิวอวี่กวงมาเป็นแขกร่วมงาน ให้แขกที่อุตส่าห์เชิญมาต้องรินไวน์ให้ไม่ใช่เรื่องเหมาะสม ทว่าอีกฝ่ายกลับพูดเร็วทำเร็ว ตอนนี้รินไวน์ให้คนทั้งสามเรียบร้อย ส่วนสุภาพสตรีอีกสามคนนั้นเขาก็เป็นคนรินให้เช่นเดียวกัน แต่เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มึนเมา
“เรื่องอาหารขาดแคลนไม่ใช่เล็กน้อยเลยนะ ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้มีคนเริ่มแสดงความเห็นด้านลบออกมากันแล้ว แต่เพราะรสชาติอาหารยังถือเป็นตัวชูโรง ไม่งั้นกลัวว่าครั้งนี้คงต้องเสียลูกค้าไปไม่น้อยแน่ ๆ” หวังจื่อหมิงพูดขึ้นมา ส่วนเรื่องหลิวอวี่กวงอาสารินไวน์ให้นั้นเขาไม่มองว่าเป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด
“ก็จริงครับ ผมเข้าใจดี แต่ก็จัดการเรียบร้อยแล้วครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ผมให้ปิงเหยาเตรียมไวน์เป็นของสมนาคุณแก่ลูกค้าแต่ละโต๊ะในช่วงสามวันจากนี้ ถ้าโต๊ะไหนไม่ดื่มก็สามารถนำกลับไปได้ หรือไม่ก็มอบเป็นส่วนลดแทนครับ”
“อืม” หวังจื่อหมิงพยักหน้ารับ แต่ก่อนจะเอ่ยอะไรออกมานั้นกลิ่นหอมกลับพัดโชยเข้าจมูก เขาจึงต้องก้มหน้าเล็กน้อยหาต้นตอของกลิ่น ก่อนจะพบว่ามาจากแก้วไวน์ที่อยู่ตรงหน้า
“ไวน์นี่…” หลิวอวี่กวงมองของเหลวในแก้วตรงหน้าด้วยอาการประหลาดใจเช่นเดียวกัน
กลิ่นหอมของไวน์ที่รุนแรง!
“ไวน์ที่เห็นตรงหน้าตอนนี้คือสินค้าใหม่จากโรงงานของผมเอง ลิ้มลองรสชาติและเสนอความคิดเห็นกันได้เลยครับ” อู๋ฝานหัวเราะตอบรับ
“จากโรงงานของนาย?” หวังจื่อหมิงมองอู๋ฝานด้วยความประหลาดใจ “ฉันจำได้ว่านายเพิ่งซื้อโรงงานมาได้ไม่ถึงเดือน ตอนนี้ได้ไวน์ออกมาแล้ว? หรือว่าเป็นของเดิมที่เก็บไว้ในโรงงานกันแน่?”
“ถ้าเถ้าแก่คนเดิมของโรงงานบ่มไวน์แบบนี้ออกมาได้ พวกเขาจะขายไม่ออกเชียวเหรอครับ?” อู๋ฝานหัวเราะตอบ “นี่เป็นผลงานของผมเองต่างหาก เพราะสูตรพิเศษทำให้ใช้เวลาบ่มไม่ถึงเดือน”
“สมกับเป็นไวน์ของนายจริง ๆ แค่กลิ่นก็ดีแล้ว” หวังจื่อหมิงตอบรับ
“เข้าปากแล้วรสชาติจะดียิ่งกว่านะครับ!” อู๋ฝานตอบ
ทั้งหวังจื่อหมิงและหลิวอวี่กวงต่างอดไม่ได้ที่จะหยิบแก้วไวน์ขึ้นมายกดื่ม จากนั้นไม่นานดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นมา
ความหวานและความสดชื่นกำลังแผ่ซ่านภายในปาก ความรู้สึกที่กลืนลงท้องไปทำให้คนทั้งสองนึกสงสัยว่ากำลังลอยล่องขึ้นสวรรค์ใช่หรือไม่ มันดีขนาดที่พวกเขากล้ายืนยันว่าไม่เคยดื่มไวน์รสชาติดีขนาดนี้มาก่อน กระทั่งว่าจะหาให้ดีเทียบเท่าครึ่งหนึ่งของไวน์นี้ก็ยังเป็นเรื่องยาก!