บทที่ 470 คณะทูตจากอาณาจักรหนานปิง
บทที่ 470 คณะทูตจากอาณาจักรหนานปิง
ภายในโลกแห่งเกม ตอนที่อู๋ฝานเทเลพอร์ตมาก็พบว่าเป็นช่วงฟ้าสางแล้ว
หลังออกมาจากห้องนอน เขาจึงไปพบโจวกวง “นำคนรับใช้ส่วนหนึ่งออกไปซื้อของให้ข้าหน่อย”
ปัญหาเรื่องขาดแคลนวัตถุดิบที่ร้านโลกในแหวน เนื่องจากอู๋ฝานไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านเร้นลับจึงต้องซื้อหาจากตลาด นับเป็นเรื่องดีที่วัตถุดิบจากตลาดแทบไม่มีรสชาติต่างจากที่เพาะปลูกหรือเลี้ยงดูเองที่หมู่บ้าน ยกเว้นเพียงไม่ใช่ทางแก้ระยะยาว แต่สำหรับใช้แก้ปัญหาสต็อกของร้านโลกในแหวนถือว่าเพียงพอ
“ขอรับนายท่าน” โจวกวงออกจากศาลาพักม้า พร้อมข้ารับใช้ที่หลี่จื่อหยางส่งมาให้เมื่อวาน
ทันทีที่โจวกวงออกไป ลั่วหยางจึงเร่งรีบวิ่งออกมาจากภายนอก
“รีบร้อนอะไรแต่เช้า? ทำไมรีบวิ่งมาถึงขนาดนั้น?” อู๋ฝานเอ่ยถาม
“นายท่าน ข้าเพิ่งกลับจากออกกำลังกายช่วงเช้าขอรับ ได้ยินคนบอกว่าจะมีคณะทูตจากอาณาจักรหนานปิงเดินทางมาวันนี้ขอรับ” ลั่วหยางแจ้งให้อู๋ฝานทราบ “คนของอาณาจักรหนานปิงตั้งใจส่งองค์หญิงสามมาแต่งงานกับจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเรา เรียกได้ว่าเป็นภารกิจสานสัมพันธไมตรีขอรับ”
“ออกกำลังกายช่วงเช้า? ข้านึกว่าเจ้าแค่หาข้อแก้ตัวออกไปเที่ยวเล่นเสียอีก” อู๋ฝานยิ้มตอบ “จำได้ว่าจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเราน่าจะอายุเกือบเจ็ดสิบแล้วไม่ใช่หรือ? อายุขนาดนั้นแล้วยังจะรับพระสนมอีกงั้นหรือ? แล้วอาณาจักรหนานปิงคือที่ใด? องค์หญิงคนนั้นอายุเท่าใด?”
“จักรพรรดิอายุเกือบเจ็ดสิบแล้วจริง ๆ ขอรับ เพียงแต่แต่งเป็นพระสนมก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกนิขอรับ?” ลั่วหยางเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ในบรรดาขุนนางผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ก็มีไม่น้อยที่สามีอายุมากแต่ภรรยาอายุน้อย เป็นเรื่องธรรมดาเห็นได้ทั่วไปขอรับ”
อู๋ฝานที่ได้ฟังถึงกับไม่ทราบว่าควรจะตอบอะไรดีไปชั่วขณะ เขานึกกังวลว่าจักรพรรดิเฒ่าที่ชราภาพ และอายุเกือบจะเจ็ดสิบแล้วนั้นอาจจะตายคาเตียง อายุขนาดนั้นแล้วทำไมยังจะรับพระสนมเพิ่มอีก
“ข้าได้ยินมาว่าปีนี้องค์หญิงแห่งอาณาจักรหนานปิงอายุสิบเก้าปีขอรับ” ลั่วหยางตอบรับ “และยังได้ยินมาอีกว่างดงาม นายท่าน อีกไม่ช้าคณะทูตก็จะเข้าเมืองมาแล้ว พวกเราไปดูด้วยกันได้นะขอรับ”
แต่งงานกับคนแก่อายุเกือบเจ็ดสิบปี ขณะที่เจ้าสาวอายุเพียงแค่สิบเก้าปี มันเกินกว่าความเข้าใจของคนธรรมดาเช่นอู๋ฝาน
ในเมื่ออยู่ที่นี่ต่อก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำ เขาจึงคิดไปเดินตลาดเล่นกับลั่วหยางเพื่อดูว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
ขณะคนทั้งสองมาถึงตลาด อู๋ฝานก็ได้ตระหนักว่าที่นี่วันนี้คึกคักยิ่งกว่าเมื่อวาน เพียงแต่ถนนถูกปิดกั้น ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าใช้งานถนนเส้นดังกล่าว ผู้คนต่างต้องถอยไปสองฟากข้างของเส้นทางขณะสายตาทอดมองไปยังประตูเมือง
ขณะอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหล่านี้ อู๋ฝานก็ไม่มีอาการอะไร ทว่าลั่วหยางกลับตื่นเต้นเหมือนดังคนอื่นที่ไม่ทราบว่ายินดีกับการรับพระสนมใหม่หรืออย่างไรกันแน่
“มาแล้ว มาแล้ว!”
ไม่ทราบว่าเป็นเสียงตะโกนของผู้ใด แต่ฝูงชนในเวลานี้ยิ่งตื่นเต้นกันมากขึ้น พวกเขาต่างเขย่งเท้าพยายามยืดคอออกไปดูทางประตูเมืองด้วยความสนอกสนใจ
เพราะอิทธิพลจากความสนใจของผู้คนรอบด้าน ในใจอู๋ฝานจึงเกิดความสงสัยขึ้นมาเช่นกัน จนอดไม่ได้ที่จะต้องมองตามพวกเขาไปยังทางประตูเมือง
ไม่นานกลุ่มคนขี่ม้าก็มุ่งหน้ามาทางด้านนี้ พวกเขาเป็นกลุ่มคนในชุดเครื่องแบบขุนนาง อู๋ฝานทราบเพียงว่าเป็นเครื่องแบบของอาณาจักรเหยียนเฟิง และน่าจะเป็นเครื่องแบบของบุคคลที่มีตำแหน่งสูงกว่าหลี่จื่อหยางที่อยู่ขั้นสี่ ส่วนว่าเป็นขั้นอะไรนั้นเขาไม่ทราบแน่ชัด
ด้านหลังของบุคคลระดับสูงคือกลุ่มทหารในชุดเครื่องแบบพร้อมดาบ พวกเขาเหล่านี้ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ แต่ละคนต่างนั่งหลังตรงจึงยิ่งทำให้ดูสูงขึ้นไปอีก
บุคคลกลุ่มนี้ควรเป็นองครักษ์ที่ได้รับเกียรติให้มารับเจ้าสาว
ส่วนด้านหลังกลุ่มทหารเป็นเหล่านักดนตรีที่กำลังบรรเลงเครื่องดนตรี
เบื้องหลังเหล่านักดนตรีเป็นรถลากที่ลากมาด้วยม้าถึงสี่ตัว แต่มันเป็นรถลากที่มีเพียงผ้าบางกั้นสายตา จึงพอทำให้ได้เห็นว่ามีโฉมงามกำลังนั่งอยู่ภายใน
อีกฝ่ายคงเป็นเจ้าของข่าวลือที่ได้ทราบในครั้งนี้
แต่เพราะอยู่ไกลเกินไป อู๋ฝานจึงไม่อาจมองให้ชัดเจนได้
“งดงามจริง!”
“นั่นหรือองค์หญิงแห่งอาณาจักรหนานปิง? งดงามจนน่าตะลึงเสียจริง!”
“ไม่ว่างดงามขนาดไหนก็เป็นองค์หญิงจากอาณาจักรขนาดเล็ก โชคดีเหลือเกินที่ได้แต่งกับองค์เหนือหัวของอาณาจักรเหยียนเฟิง”
ขณะที่พวกเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น เสียงชื่นชมถึงความงามขององค์หญิงแห่งหนานปิงก็ยิ่งดังมากขึ้นเช่นกัน อู๋ฝานเองก็รู้สึกได้ว่าประชากรในเมืองค่อนข้างมีความภาคภูมิใจในตัวอาณาจักรเหยียนเฟิงไม่น้อย
“ถอยไปหน่อย!”
“ถอยไป ถอยไป!”
ขณะรถลากเข้ามาใกล้ ทหารที่อยู่รอบ ๆ รถลากต่างก็ต้องขับไล่ผู้คนที่กำลังคิดจะข้ามเส้นแบ่งเข้ามา และขณะนี้เองที่อู๋ฝานได้เห็นองค์หญิงแห่งหนานปิงผู้นั่งอยู่บนรถลาก นางสวมใส่ชุดหรูหรา มีผ้าคลุมบดบังใบหน้าเอาไว้บาง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นแอบมองรูปโฉม แต่จากโครงร่างที่แสดงออกให้เห็น ก็มากพอที่จะทำให้ทราบได้ว่าองค์หญิงแห่งหนานปิงงดงามสมคำเล่าลือ
“งดงามจริง ๆ!” ลั่วหยางที่อยู่ข้าง ๆ อู๋ฝานอดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจออกมา
“ยังไม่ได้เห็นทั้งใบหน้าชัดเจน ทราบได้อย่างไรว่านางงดงาม? บางทีพอปลดผ้าที่บังออก ปากอาจจะแหว่ง หรืออาจจะมีริ้วรอยที่ใบหน้าก็ได้” อู๋ฝานหยอกเย้าลั่วหยาง
“ไม่น่าเป็นไปได้ขอรับ” ลั่วหยางที่ได้ยินคำพูดของอู๋ฝานจึงรู้สึกราวกับภาพที่คิดอยู่ในใจแปรเปลี่ยนตาม ขณะนี้จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงออกผ่านทางสีหน้า
“ข้าก็ล้อเล่นไปเรื่อย” อู๋ฝานยิ้มตอบ “ชมจนพอใจแล้วพวกเราก็ไปกันดีกว่า”
“ไปไหนหรือขอรับ?” ลั่วหยางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“กลับไปที่พัก” อู๋ฝานตอบ “เดินทางมาเมืองหลวงครั้งนี้ก็เพราะต้องเข้าเฝ้าจักรพรรดิ ไม่ใช่มาเที่ยวเล่น หากทางราชสำนักมีพระราชโองการแล้วข้าไม่อยู่รับจะเป็นอย่างไร?”
“จริงด้วยขอรับ” ลั่วหยางพยักหน้ารับ
อู๋ฝานยิ้มก่อนจะนำลั่วหยางเดินทางกลับไปที่ศาลาพักม้า
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการตัดสินใจเดินทางกลับมาของอู๋ฝานไม่ใช่เรื่องผิด เพราะหลังนำลั่วหยางกลับมาถึงที่พักได้ไม่นาน มหาขันทีจากพระราชวังก็นำสารมาส่ง โดยขอให้อู๋ฝานเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงที่พระราชวังในช่วงกลางวัน โดยจักรพรรดิมีความประสงค์ต้องการพบตัว
ในที่สุดก็มาเสียที!
อู๋ฝานที่ได้รับพระราชโองการจึงรอคอยที่จะเตรียมเดินทางเข้าวัง
“นายท่าน ตอนเข้าวังช่วงกลางวันนี้ท่านจะได้พบองค์หญิงแห่งหนานปิงหรือไม่ขอรับ?” หลังมหาขันทีที่นำพระราชโองการมาส่งเดินทางกลับ ลั่วหยางจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน บางทีอาจจะไม่ได้พบ อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นองค์หญิง ตอนนี้คงเตรียมตัวเป็นพระสนมแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงของพวกเราแล้ว มีหรือจะได้พบเจอคนเช่นนั้นโดยง่าย?” อู๋ฝานตอบกลับ
“น่าเสียดายขอรับ” ลั่วหยางแสดงอาการทางสีหน้าออกมาอย่างชัดเจน
“แล้วเสียดายอะไร?” อู๋ฝานถาม
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าปากนางจะแหว่งหรือใบหน้าจะมีริ้วรอยจริงหรือไม่ขอรับ” ลั่วหยางกระซิบ
อู๋ฝานที่ได้ยินถึงกับหัวเราะตอบ “นี่ยังจำได้อีกงั้นหรือ? ข้าบอกไปแล้วว่าล้อเล่น อาณาจักรหนานปิงเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ภายใต้อาณาจักรเหยียนเฟิง การแต่งงานครั้งนี้ก็เพื่อสานสัมพันธ์กับอาณาจักรของเรา หากส่งของมีตำหนิแบบนั้นมา ไม่ใช่เท่ากับหาเรื่องจักรพรรดิของอาณาจักรเราหรืออย่างไร? พวกเขาจะหาญกล้าสร้างปัญหาแบบนั้นงั้นหรือ?”
“จริงด้วย นายท่านยังคงฉลาดเช่นเคยขอรับ!” ลั่วหยางครุ่นคิดตามจึงพยักหน้ารับเป็นการบอกว่าเห็นด้วย
“ไม่ใช่ข้าฉลาด แต่เจ้าโง่ต่างหาก!” อู๋ฝานหัวเราะตอบ