บทที่ 471 เหตุใดไม่คุกเข่า
บทที่ 471 เหตุใดไม่คุกเข่า
ในช่วงใกล้เที่ยง อู๋ฝานเตรียมตัวเล็กน้อยก่อนจะขึ้นรถลากเดินทางสู่วังหลวง โดยลั่วหยางยังคงรับหน้าที่ขับรถลาก
“เอาละ เจ้ากลับไปก่อน” อู๋ฝานลงจากรถลากตรงหน้าทางเข้าวังหลวงขณะบอกกับลั่วหยาง
ภายในวังหลวงห้ามทั้งการขับรถลากและขี่ม้า ต่อให้เป็นเสนาบดีก็ไม่ได้รับการยกเว้น อู๋ฝานที่เป็นเพียงหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตัวจ้อยก็ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น
“นายท่าน ข้าจะรออยู่ที่นี่ขอรับ” ลั่วหยางตอบ
“ไม่ดีหรอก ข้ายังไม่ทราบว่าจะออกมาเมื่อใด” อู๋ฝานตอบ “เจ้ากลับไปก่อน ไว้เมื่อไหร่กลับออกมาข้าจะหาทางกลับไปด้วยตัวเอง”
“ขอรับนายท่าน” ลั่วหยางตอบรับ
อู๋ฝานพยักหน้ารับก่อนจะหันกายเดินเข้าวังหลวงไป
วังหลวงของอาณาจักรเหยียนเฟิงโอ่อ่าและงดงามอย่างถึงที่สุด มันทั้งยิ่งใหญ่และครอบคลุมพื้นที่มหาศาล อู๋ฝานต้องเดินเท้าจากหน้าประตูวังถึงหนึ่งก้านธูปจนถึงโถงหลัก สำหรับเขาถือว่าเป็นการเดินเร็วแล้วด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นคงต้องใช้เวลานานกว่านี้
‘วังใหญ่โต เรือนก็มีหลายหลัง ถ้าจักรพรรดิและครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่กลัวหลงทางรึไงกันนะ?’ อู๋ฝานบ่นกับตัวเองอยู่ในใจ
“จื่อเจวี๋ยอู๋ฝานมากับข้า องค์เหนือหัวรอคอยอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร” ขณะอู๋ฝานครุ่นคิดไปเรื่อย มหาขันทีคนหนึ่งจึงเดินเข้ามาเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหลม
“ขอรับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ
เดิมอู๋ฝานคิดว่าจะได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิต่อหน้าเหล่าเสนาบดีในโถงหลัก ขณะนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ กลายเป็นว่าเขาจะได้เจอจักรพรรดิที่ห้องทรงพระอักษร แต่พอคิดแล้วก็พบว่าตอนนี้ใกล้ช่วงเที่ยง เวลาว่าราชการช่วงเช้าคงจะจบลงไปนานแล้ว เหล่าเสนาบดีก็คงเดินทางกลับไปกันหมด
“เมื่อใดพบจักรพรรดิแล้วก็ขอให้สำรวมคำพูด ที่นี่ไม่ใช่บ้านนอกเช่นเทศมณฑล” มหาขันทีที่นำทางอู๋ฝานเอ่ยเตือนขึ้นมา
“ทราบแล้วขอรับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ
เรื่องราวนี้อู๋ฝานรู้ดี อย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง โลกฝั่งนั้นเป็นสังคมแห่งกฎหมาย ขณะที่ที่นี่จักรพรรดิคือผู้ตัดสินความเป็นและความตาย ขอเพียงเอ่ยคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจขึ้นมาก็อาจถูกประหาร ดังนั้นการเข้าเฝ้าจักรพรรดิจึงเปรียบดังการเจอเสือร้ายที่ไม่อาจเล่นด้วยได้
ขณะติดตามมหาขันที อู๋ฝานเดินอยู่พักหนึ่งจนมาถึงบริเวณหน้าโถงรองแห่งหนึ่งที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ห้องทรงพระอักษร’ ตัวใหญ่อย่างเด่นชัด
ทว่าอู๋ฝานไม่อาจตรงเข้าไป ที่แห่งนี้มีประตู แต่มหาขันทีใหญ่หยุดลงพร้อมส่งสัญญาณให้สองราชองครักษ์ที่ยืนเฝ้าด้วยสายตา จากนั้นคนทั้งสองจึงเดินเข้าถึงตัวชายหนุ่มพร้อมประกบข้างซ้ายและขวา
อู๋ฝานงงงันเพราะไม่ทราบว่าพวกเขาจะทำอะไร ขณะจะเอ่ยคำถาม มหาขันทีกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน “จื่อเจวี๋ยอู๋ฝาน เพื่อความปลอดภัยของจักรพรรดิจึงต้องมีการตรวจค้นร่างกายก่อนเข้าเฝ้า”
เป็นเรื่องความปลอดภัยนี่เอง
อู๋ฝานมองว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ทว่าจักรพรรดิเฒ่าคนนั้นแค่ระมัดระวังตัวหรือว่ากลัวตายกันแน่ อู๋ฝานถูกตรวจค้นครั้งหนึ่งตั้งแต่ผ่านประตูวังเข้ามายังลานหน้าวังแล้ว จึงไม่คิดว่าก่อนเข้าเฝ้าจะมีการตรวจค้นอีกครั้งหนึ่ง
นับเป็นโชคดีที่อู๋ฝานไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เขาไม่ได้พกพาอาวุธสังหารมาจึงไม่กลัวการตรวจค้นร่างกาย เพราะหากตนต้องการลอบสังหารจักรพรรดิเฒ่าจริงก็คงซ่อนอาวุธไว้ในกระเป๋าหลัง ที่ต่อให้คนเหล่านี้ตรวจค้นนับพันครั้งก็ไม่มีทางพบเจอ ดังนั้นการตรวจซ้ำสองครั้งเช่นตอนนี้จึงแทบไม่มีประโยชน์ใดกับคนจากต่างโลกเช่นชายหนุ่ม
เมื่อตรวจค้นร่างกายเรียบร้อย ราชองครักษ์ทั้งสองจึงถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิมหน้าประตู ส่วนมหาขันทีที่นำทางมานั้นเดินเข้าไปเปิดประตูและตะโกนเข้าไปด้านใน “ทูลฝ่าบาท จื่อเจวี๋ยอู๋ฝานเดินทางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังช่วงเวลาสงบเงียบราวหนึ่งอึดใจ เสียงชราภาพจึงดังตอบมาจากด้านในห้องทรงพระอักษร “นำเขาเข้ามา”
มหาขันทีจึงหันมองทางอู๋ฝาน “จื่อเจวี๋ยอู๋ฝานเข้าไปด้านในได้”
อู๋ฝานพยักหน้ารับให้แก่อีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มย่างเท้าเข้าไป แต่หลังเข้าไปในห้องทรงพระอักษรแล้ว ประตูห้องพลันปิดลงอีกครั้ง ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้องจนแทบไม่ได้ยินเสียงใด
“มาทางนี้” เสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
อู๋ฝานรีบเดินเข้าไปด้านใน จนกระทั่งพ้นหัวมุมของม่านกั้นหน้าห้องจึงได้พบชายชรานั่งบนเก้าอี้มังกรอยู่หลังโต๊ะตัวยาว ในมือถือเอกสารและมองอย่างตั้งใจ
อีกฝ่ายคือจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงงั้นหรือ? แต่นอกจากอีกฝ่ายแล้ว ก็คงไม่มีใครในอาณาจักรเหยียนเฟิงกล้าพอจะนั่งบัลลังก์มังกรได้อีก
ชายหนุ่มคาดเดาอยู่ในใจ แต่มือขยับว่องไว ร่างโค้งลงเล็กน้อยเป็นการเคารพพร้อมกับเอ่ยอย่างนอบน้อม “อู๋ฝานคำนับจักรพรรดิ ขอพระองค์ทรงมีพระชนมายุหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
‘ไม่แน่ใจเลยว่าจักรพรรดิในโลกฝั่งนี้ควรเรียกยังไง บอกให้มีอายุหมื่นปีนี่ถูกต้องแล้วมั้ง?’ อู๋ฝานได้แต่คิดกับตัวเองในใจ
“หมื่นปี?” ขณะจักรพรรดิชราได้ยินคำพูดของอู๋ฝานจึงละสายตาจากเอกสารในมือไปมองอีกฝ่าย ก่อนใบหน้าจะยิ้มเล็กน้อยออกมา “ผู้ใดจะอยู่ได้จนหมื่นปีกัน? กระทั่งข้าผู้เป็นจักรพรรดิก็คงไม่อายุยืนได้ถึงขนาดนั้น”
“จักรพรรดิมีพระวรกายแห่งมังกรอันแข็งแกร่ง อายุขัยย่อมทัดเทียมฟ้า ไม่ต้องกล่าวถึงหมื่นปี ต่อให้เป็นแสนปีก็เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบรับอย่างนอบน้อม
“ฮ่า ฮ่า” จักรพรรดิหัวเราะดัง “ไม่นึกเลยว่าเจ้าที่เป็นทหารจะพูดได้เก่งแบบนี้ ไม่เห็นเหมือนพวกขุนพลในกองทัพเลยแม้แต่น้อย พวกนั้นหัวแข็งทื่อเป็นไม้กันทั้งนั้น”
“กระหม่อมไม่กล้าเทียบกับใต้เท้าเหล่านั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตัวจ้อย ขณะที่เหล่าขุนพลเป็นถึงเทพแห่งสงครามในสมรภูมิ กระหม่อมไม่อาจนำตนเองไปเปรียบพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดจาได้ดี” จักรพรรดิยิ้มออกมา เพียงแต่อึดใจให้หลังรอยยิ้มนั้นกลับเลือนหาย มันถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดของผู้ปกครองอันยิ่งใหญ่ พลังและกลิ่นไอทรงอำนาจแผ่ฟุ้งออกมา สายตาจ้องมองยังอู๋ฝาน “แต่เพราะเหตุใดเจ้าซึ่งเจอข้าจึงไม่คุกเข่า?”
เสือก็ยังคงเป็นเสืออยู่วันยังค่ำ
อู๋ฝานลอบถอนหายใจอยู่ในใจก่อนจะตอบกลับ “กระหม่อมได้ยินมาว่าปฐมจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหยียนเฟิงได้ตั้งข้อยกเว้น ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้รับบรรดาศักดิ์ไม่จำเป็นต้องคุกเข่ายามเจอฝ่าบาท ไม่ทราบว่าเรื่องนี้กระหม่อมทราบมาผิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงของอู๋ฝานยังคงความเคารพนอบน้อม ไม่มีท่าทีแตกตื่น และยังคงสงบเช่นที่เคยเป็น
จักรพรรดิชราไม่ตอบ แต่มองอู๋ฝาน ส่วนชายหนุ่มก็ไม่พูดอะไรอีก ความเงียบนี้ราวกับเป็นการกดดันจากจักรพรรดิเพื่อค้นหาคำตอบอื่น
แม้จะมีแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็น แต่อู๋ฝานรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงออร่าของบุคคลที่เหนือกว่าจากการดำรงตำแหน่งอันสูงส่งมาแทบจะตลอดชีวิต ลำพังแค่ออร่าที่รับรู้ได้นี้ก็มากพอสะกดให้คนธรรมดายากจะทำการหายใจด้วยซ้ำ
‘โชคดีที่เราเป็นผู้ฝึกตนเลยสามารถรับแรงกดดันที่แข็งแกร่งนี้ได้ ไม่งั้นคงโดนข่มจนเสียเปรียบไปแล้ว’ อู๋ฝานได้แต่คิดภายในใจ
ภายในห้องทรงพระอักษรกว้างขวางกลับไร้ซึ่งเสียงอื่นใด มีเพียงแต่ความเงียบที่ราวกับสามารถทำคนคลุ้มคลั่งได้อยู่เท่านั้น
หลังผ่านไปนาน จักรพรรดิชราจึงหัวเราะออกมาพร้อมคลายแรงกดดันภายในห้องทรงพระอักษรจนเลือนหาย
“ความจำของเจ้าดีไม่น้อย บรรพชนผู้ก่อตั้งราชวงศ์กำหนดข้อยกเว้นนั้นเอาไว้จริง ๆ” จักรพรรดิยิ้ม ขณะนี้อีกฝ่ายราวกับเป็นชายชราใจดี แตกต่างจากจักรพรรดิผู้น่าเกรงขามเช่นเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกเปลี่ยนด้านเช่นนี้ทำให้อู๋ฝานถึงกับมึนงงไปครู่หนึ่ง กระทั่งสงสัยว่าตนเองเห็นหรือเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่