บทที่ 472 สืบหาความจริง
บทที่ 472 สืบหาความจริง
“อู๋ฝาน ข้าจำเจ้าได้!” ขณะอู๋ฝานกำลังมึนงงอยู่นั้นจักรพรรดิชรากลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังไม่ใช่ประเด็นเรื่องที่ชายหนุ่มควรคุกเข่าหรือไม่
“เป็นเกียรติของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานรีบตอบรับ
“ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อเจ้านั้นเป็นช่วงเดือนกว่าที่ผ่านมา ตอนนั้นเจ้าเป็นเพียงทหารหน่วยขนส่งลำเลียงทั่วไปที่ราชสำนักเกณฑ์กำลังคนมาทำงาน ทว่าเจ้ากลับเจอกลุ่มกบฏดักซุ่มโจมตีระหว่างทาง แต่ก็เป็นเจ้าที่ไม่หวาดเกรงต่ออันตรายนำกำลังคนเข้าต้านรับ โจมตีตอบโต้ จนกระทั่งสังหารผู้นำกบฏหยางจื้อหู่ได้ใช่หรือไม่?” จักรพรรดิเอ่ยถาม
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจำอู๋ฝานได้ค่อนข้างดี ไม่เช่นนั่นคงไม่ทราบเรื่องที่ไม่ได้สำคัญเหล่านี้
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อู๋ฝานตอบรับ “แต่ที่พวกเราสังหารผู้นำศัตรูในเวลานั้นได้เพราะทุกคนร่วมมือร่วมแรงกัน โดยเฉพาะโจวซานที่เป็นหัวหน้าของกระหม่อม ครั้งนั้นเขาทุ่มเทเป็นอย่างมาก กระหม่อมไม่อาจกล้ารับความดีความชอบเพียงผู้เดียวพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิชราพยักหน้ารับด้วยท่าทีพึงพอใจ “หาได้ยากที่จะไม่โอ้อวดรับเอาความดีความชอบ”
“แล้วทราบหรือไม่ว่าเพราะอะไรข้าจึงให้บรรดาศักดิ์แก่เจ้า?” จักรพรรดิยังคงเอ่ยถาม
“เพราะกระหม่อมมอบของขวัญวันเกิดที่องค์หญิงเจ็ดพึงพอใจพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบรับ เรื่องนี้ไม่เพียงมีเนื้อหาจากภารกิจพิเศษ แต่พระราชโองการที่ส่งมายังมีการแจ้งเอาไว้อย่างชัดเจน หากเขาไม่ทราบจึงเป็นเรื่องแปลก
“ใช่” จักรพรรดิพยักหน้ารับ “ฉีเอ๋อร์เป็นลูกที่ข้ารักที่สุด ตลอดหลายปีมานี้ข้าต้องปวดหัวเพราะเรื่องของขวัญวันเกิดไม่ใช่น้อย เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้ฉีเอ๋อร์พึงพอใจได้ สัตว์เลี้ยงนั้นทำให้ลูกสาวข้ายินดี ดังนั้นการตกรางวัลให้เจ้าจึงเป็นเรื่องสมควร”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบรับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ควรขอบคุณฉีเอ๋อร์ต่างหาก” จักรพรรดิชราตอบ จากนั้นจึงเอ่ยถามประหนึ่งเรื่องดินฟ้า “เจ้ารู้จักองค์หญิงเจ็ด ฉีเอ๋อร์ของข้าแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่รู้จักพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานส่ายหน้า
“ไม่รู้จักงั้นหรือ?” จักรพรรดิราวกับครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง
“กระหม่อมไม่รู้จักจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบกลับ “ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่กระหม่อมมาเยือนเมืองหลวงด้วยซ้ำ และวันนี้ก็เพิ่งมาเยือนพระราชวังเป็นครั้งแรก ต่อให้อยากทำความรู้จักกับองค์หญิงเจ็ดก็คงไม่มีโอกาสพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิจ้องอู๋ฝานอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ ราวกับเข้าใจท่าทีของอีกฝ่าย “ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เจ้ามีปัญหากับกลุ่มคนที่ตลาดงั้นหรือ?”
‘ให้ตายสิ! จักรพรรดิคนนี้สายตากว้างไกลเกินไปแล้วมั้ง ทะเลาะกันที่ถนนเมื่อวาน วันนี้ก็รู้แล้วงั้นหรือเนี่ย’ อู๋ฝานบ่นอยู่ในใจ
‘หรือจักรพรรดิมีหน่วยสอดแนมและหน่วยข่าวกรองอยู่กันแน่? แต่จะสอดส่องตะวันออกจนถึงตะวันตกต้องใช้เจ้าหน้าที่กี่ร้อยคนกัน? เราเป็นแค่หัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ตัวกระจ้อยจนแทบจะไม่มีตัวตน ขณะที่เมืองหลวงมีขุนนางและข้าราชการมากมาย ถ้าเทียบกันแล้วเราไม่มีอะไรโดดเด่นกว่าคนธรรมดาเลยด้วยซ้ำ ทำไมถึงยังสอดส่องเรากันล่ะ?’
อู๋ฝานกำลังตะลึงกับการสอดส่องของจักรพรรดิชรา แต่สีหน้าก็ยังคงอาการเดิมไว้ไม่แปรเปลี่ยน “เรื่องเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เป็นอย่างไร?” จักรพรรดิเอ่ยถาม
“เมื่อวานกระหม่อมไปเดินเล่นที่ตลาด ระหว่างทางเจอคนผู้หนึ่งที่หนีออกจากบ้านจึงบังเอิญช่วยไว้ แต่ครอบครัวของนางต้องการพาตัวคนกลับบ้าน ขณะที่นางไม่อยากเดินทางกลับ ทั้งยังกล่าวว่าครอบครัวไม่ชอบหน้านาง ทุบตีนางอย่างรุนแรงจนไม่อยากกลับบ้าน เพราะเหตุนั้นจึงขอให้กระหม่อมช่วยเหลือ และก็เป็นกระหม่อมเองที่ใจอ่อนยอมตอบรับจนสุดท้ายเกิดเรื่องวิวาทขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบกลับ
เพราะจักรพรรดิคล้ายจะทราบเรื่องราวแล้ว อู๋ฝานจึงบอกเล่ารายละเอียดทุกส่วนไม่มีขาดตกหรือเกินเลย เนื่องจากการตกเป็นเป้าของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นกันได้ โดยเฉพาะกับชายหนุ่มที่มีความลับมากมายจึงเลือกบอกความจริง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยจนเพ่งเล็งจับตาเขา
“นางกล่าวเช่นนั้น?” จักรพรรดิเอ่ยถาม น้ำเสียงราวกำลังอดกลั้นขณะขมับสั่นตุบตับไปมา
“ทุกถ้อยคำของกระหม่อมเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบ “กระหม่อมเองก็นึกโกรธครอบครัวเช่นนั้น โดยเฉพาะตอนที่นางบอกว่าบิดาถึงขั้นใช้แส้ฟาดตีขณะกินดื่ม กระหม่อมรู้สึกทั้งสงสารและเวทนาจับใจ”
“ข้าไปใช้แส้เมื่อใด!” จักรพรรดิชราถึงกับโพล่งออกมา แต่ก็ตระหนักได้ทันท่วงทีว่าไม่ควรหลุดอะไรมากไปกว่านี้จึงเปลี่ยนคำ “ภายใต้บ้านเมืองข้ามีพ่อคนใดที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น?”
“ตอนแรกกระหม่อมก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องจริง แต่ฝีมือการแสดงของนางสูงส่งจนกระหม่อมมองไม่ออก สุดท้ายจึงเชื่อนางไป” อู๋ฝานตอบกลับ “ทีหลังนางมาสารภาพว่าอันที่จริงครอบครัวดีกับนางจนเกินไปด้วยซ้ำ แต่เพราะความเบื่อหน่ายบ้านจึงอยากออกมาเห็นภายนอก ตอนนั้นเองที่กระหม่อมได้ทราบว่าถูกหลอกลวงเข้าเสียแล้ว”
หลังรับฟังคำพูดของอู๋ฝานจบ จักรพรรดิเฒ่าจึงค่อยเผยสีหน้าผ่อนคลาย “แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ?”
“ตอนนั้นนางก็ยินดีตามองครักษ์ประจำตระกูลกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบ “แต่กระหม่อมเดาว่าเมื่อกลับไปครอบครัวของนางคงต้องมีบทลงโทษ นางหนีออกจากบ้านด้วยอายุยังเยาว์แบบนั้นมีแต่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย บิดาของนางน่าจะต้องโกรธไม่น้อย ครั้งนี้อาจจะใช้แส้จริง ๆ ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าหรือจะกล้าทำ” จักรพรรดิพึมพำกับตัวเอง จากนั้นจึงกระแอมไอกลบเกลื่อน “มีเท่านี้หรือ?”
“ครบถ้วนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบ “กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาจะต่อสู้กลางตลาดเช่นนั้น หวังว่าองค์เหนือหัวจะเข้าพระทัย”
จักรพรรดิชราพยักหน้ารับ “อืม ข้าไม่ได้คิดจะกล่าวโทษอะไร”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” อู๋ฝานตอบรับ
“เอาละ เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวงานเลี้ยงก็เริ่มแล้ว” จักรพรรดิบอกอู๋ฝาน “ส่วนเรื่องที่ดินศักดินา พวกเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอตัวก่อน” อู๋ฝานโค้งกายก่อนจะเดินกลับจากห้องทรงพระอักษรไป
“เหมือนอู๋ฝานจะไม่รู้ตัวตนของฉีเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รู้จักอะไรกัน เหตุผลที่ฉีเอ๋อร์พูดออกหน้าแทนเขาเมื่อวานนี้น่าจะเพราะรู้สึกขอบคุณ เราคงกังวลไปเอง” หลังอู๋ฝานออกไปแล้ว จักรพรรดิชราจึงนั่งทอดกายบนบัลลังก์มังกรขณะพึมพำกับตนเอง
เมื่อวานทันทีที่กลับถึงวัง องค์หญิงเจ็ดเอาแต่พูดถึงอู๋ฝาน จนทำให้จักรพรรดิชราสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจช่วยเพราะรู้ตัวตน ดังนั้นจึงตั้งใจเข้าหานางเพื่อไขว่คว้าผลประโยชน์ แต่ตอนนี้ได้รู้แจ้งแล้วว่าทั้งหมดนั้นบังเอิญ
อู๋ฝานซึ่งเดินกลับจากห้องทรงพระอักษรยังคงสับสนและสงสัย เนื่องจากไม่ทราบจุดประสงค์การเจอกับจักรพรรดิชรา นี่คือการเรียกมาพูดคุยสัพเพเหระอย่างนั้นหรือ? จักรพรรดิที่น่าจะยุ่งกับเรื่องราชการมากมาย ถึงขั้นมีเวลาว่างมาพูดคุยกับคนที่ไม่มีตัวตนอย่างเขา?
เดิมอู๋ฝานคิดว่าอีกฝ่ายต้องการเจอเพื่อยืนยันเรื่องที่ดินศักดินา แต่ขณะนี้พบว่าไม่ใช่ นอกจากถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น เรื่องศักดินากลับไม่ได้ข้อสรุปเลยด้วยซ้ำ
‘แต่เครือข่ายของจักรพรรดิเฒ่าคนนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว ทุกหัวมุมของเมืองหลวงมีคนของเขาคอยจับตามองอยู่เลยรึไง?’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
“ถ้าเป็นแบบนั้น ภายหน้าตอนเทเลพอร์ตคงต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่านี้แล้ว และควรรีบเดินทางกลับจากที่นี่โดยเร็วน่าจะดีที่สุด”