บทที่ 475 เวรกรรม
“หุบปาก!”
เสียงคำรามดังลั่นภายในห้อง ทำให้เย่จิ่งฝูที่กำลังงีบหลับอยู่ตกใจจนต้องรีบเช็ดน้ำลายที่มุมปาก นางลุกขึ้นตั้งใจจะไปดูทหารที่ได้รับบาดเจ็บด้านนอกว่ามีคนใดไข้กลับมาอีกหรือไม่
บรรดาศิษย์น้องต่างหาที่นอนและหลับกันไปหมดแล้ว
เย่จิ่งฝูฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งเพื่อตรวจอาการให้คนไข้ เมื่อเห็นว่ามีคนยืนอยู่ที่ทางเดิน นางจึงเดินเข้าไปหา
ลู่เอี้ยนหันหน้าไปก็ได้พบกับเย่จิ่งฝู
เขาที่ได้รู้ความเป็นมาเป็นไปของเย่จิ่งฝูจากปากของเผยยวน ก็โค้งตัวลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “ท่านหมอเย่”
“ใต้เท้าลู่ เหตุใดดึกดื่นป่านนี้ยังไม่กลับจวนอีกเล่า?”
“ที่จวนมีคนพักเต็มแล้ว กลับไปก็ไม่มีที่อยู่ จึงได้มาอยู่ที่นี่แทน”
เย่จิ่งฝูรู้สึกว่าใต้เท้าลู่ผู้นี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก เรือนก็หลังเล็กเพียงนั้น ตัวเองจึงไม่มีบ้านให้กลับ
จึงได้เอ่ยเชื้อเชิญเขา “เช่นนั้นท่านก็เข้ามานั่งเถอะ ด้านในยังมีที่อยู่”
ลู่เอี้ยนหน้าตาหล่อเหลา เมื่อมองเช่นนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นสตรีที่แต่งกายปลอมเป็นชาย
เขาเห็นเย่จิ่งฝูยุ่งอยู่ จึงหยิบเทียนเข้ามาช่วย
เย่จิ่งฝูก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงอาศัยแสงเทียนในมือของเขา ทายาให้คนไข้ใหม่อีกครั้งอย่างระมัดระวัง
ลู่เอี้ยนก็ไม่ได้เป็นคนช่างพูด เขาบอกว่าจะส่องไฟให้นาง เขาก็ทำหน้าที่ส่องไฟจริง ๆ
เย่จิ่งฝูบอกให้เขาหยิบคีม เขาก็เพียงหยิบคีมให้
เรียกใช้ง่ายกว่าสาวใช้ของตัวเองเสียอีก
“ใต้เท้าลู่ หากต่อไปท่านไม่เป็นนายอำเภอแล้ว ไปเป็นเด็กดูแลยาที่สำนักของเราก็ได้นะ ท่านคล่องแคล่วมากทีเดียว”
คำพูดนี้หากเป็นคนอื่นพูดหรือว่ามีคนอื่นมาได้ยินเข้าล่ะก็ ต้องคิดว่านางกำลังดูถูกเขาอยู่อย่างแน่นอน
แต่ช่วยไม่ได้ที่ลู่เอี้ยนไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบเช่นนั้น เย่จิ่งฝูก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมาจนไม่สามารถตรงมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ดังนั้นลู่เอี้ยนจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย “เป็นสถานที่ที่ดี”
“ใช่ไหมเล่า!” เย่จิ่งฝูรู้สึกมีความสุขไม่น้อย หลังจากดูอาการให้คนไข้ครบทุกคนแล้ว นางก็ยืดตัวขึ้น ทว่ากลับรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ลู่เอี้ยนจึงเอื้อมมือไปประคองนางเอาไว้ แล้วออกแรงดึงกลับมา
“ซี้ด!”
ลู่เอี้ยนชะงักไปเล็กน้อย และคิดว่าแขนข้างนั้นของนางคงจะได้รับบาดเจ็บ เพราะสีหน้าของเย่จิ่งฝูเวลานี้ซีดเผือดลงอย่างมาก
“ท่านหมอเย่ได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“ไม่ใช่ ข้าแค่เป็นเหน็บชาก็เท่านั้น” วันนี้นางช่วยจี้จือฮวนเย็บแผล มือข้างนี้จึงช่วยจับด้ายเอาไว้ไม่กล้าปล่อย จึงทั้งปวดทั้งชาไปหมด
แต่นางกลับพอใจและดีใจอย่างมาก
การได้อยู่ข้างกายจี้จือฮวนทำให้นางได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้เรียนรู้ตอนอยู่บนเขามาก่อน
นางคิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่า การช่วยคนจะสามารถทำเช่นนี้ได้ด้วย!
เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางต่างก็บอกว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
นางต้องการจะเขียนวิธีการรักษาในวันนี้ออกมา จึงไม่ได้สนใจว่าแขนจะยังชาอยู่หรือไม่ นางเตรียมจะกลับห้องไปเขียนเดี๋ยวนี้
“ท่านหมอเย่ ดึกป่านนี้แล้วยังไม่พักผ่อนอีกหรือ?”
“อีกเดี๋ยวค่อยนอน ข้าต้องเขียนตัวอย่างโรคของวันนี้ออกมาก่อน”
“ข้าช่วยเจ้าดีกว่า”
เย่จิ่งฝูจึงไม่เกรงใจเขาอีก นางเชิญเขาเข้าไปในห้อง ก่อนจะหากระดาษและพู่กันให้เขา คิดไม่ถึงว่าตัวหนังสือที่ลู่เอี้ยนเขียนจะสวยมากจริง ๆ
“ใต้เท้าลู่ ตอนนั้นที่ท่านสอบจอหงวน คงได้อันดับสูงมากกระมัง?”
“พอใช้ได้”
“เช่นนั้นฮูหยินของท่านเล่า?”
ลู่เอี้ยนอายุยี่สิบกว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะยังไม่แต่งงานกระมัง
สายตาของลู่เอี้ยนมองไปที่นาง ดวงตาเปล่งประกายดุจดวงดารา “อ่า ข้ามีคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นจึงยังไม่ได้แต่งงาน”
“ไม่ใช่สิ หมั้นหมายกันแล้ว ท่านไม่ไปสู่ขอหรือ?”
ลู่เอี้ยนส่ายหน้า เหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลับเป็นฝ่ายถามเย่จิ่งฝูแทน “แล้วท่านหมอเย่เล่า แต่งงานหรือยัง?”
เย่จิ่งฝูส่ายหน้า “ผู้ชายมีแต่จะส่งผลกระทบต่อการเป็นหมอรักษาคนของข้า ยุ่งยากเกินไป”
โดยเฉพาะเซี่ยหยางและราชครูคางคกที่นางได้พบหลังจากลงเขามานั่น
“เช่นนี้นี่เอง” ลู่เอี้ยนเขียนใบสั่งยาต่อ
กลับเป็นเย่จิ่งฝูที่หยิบอาหารแห้งออกมากัดหนึ่งคำแล้วเอ่ยถามขึ้น “ใต้เท้าลู่ ท่านยังไม่ได้บอกเลยว่าเหตุใดท่านถึงไม่ไปสู่ขอคู่หมั้น?”
“อ่อ แม่นางผู้นั้นตอนเด็กร่างกายอ่อนแอ แต่เพราะโชคชะตาชักนำจึงได้ติดตามยอดฝีมือท่านหนึ่งไปเพื่อศึกษาวิชา ความผูกพันกับพ่อแม่ค่อนข้างห่างเหิน และไม่ค่อยได้กลับบ้านเกิด”
“โอ๊ะ นางมีชีวิตคล้ายกับข้ามากทีเดียว คู่หมั้นของท่านเรียนวิชากับใครหรือ? พวกเราเป็นสำนักในยุทธภพ ไม่แน่อาจจะรู้จักกันก็ได้”
ลู่เอี้ยนเงยหน้าขึ้นหัวเราะเบา ๆ “ช่างบังเอิญยิ่งนัก นางก็ชื่อว่าเย่จิ่งฝูเช่นกัน”
รอยยิ้มที่กำลังนึกสนใจของเย่จิ่งฝูถึงกับแข็งค้าง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที “ท่านชื่อลู่เอี้ยนอย่างนั้นหรือ!?”
เรียกแต่ใต้เท้าลู่ ใต้เท้าลู่ เย่จิ่งฝูที่ไม่ได้ตระหนักว่าคนเขาชื่อว่าอะไร ในที่สุดก็ได้สติขึ้นมาแล้ว
สีหน้าของลู่เอี้ยนยังคงไม่เปลี่ยนไป “น้องหญิงตระกูลเย่สบายดีหรือไม่ ดูเหมือนผู้น้อยก็คือคู่หมั้นที่ท่านไม่เคยพบหน้ามาก่อนผู้นั้น”
…
วันรุ่งขึ้น จี้จือฮวนออกมาจากในครัวและเรียกทุกคนมากินข้าว ทุกคนต่างกินอาหารแห้งมาตลอดทาง หายากที่จะได้กินบะหมี่ร้อน ๆ เช่นนี้ ดังนั้นแต่ละคนจึงกินราวกับเทาเที่ย*ที่ถูกปล่อยออกมาจากกรงอย่างไรอย่างนั้น
* เทาเที่ย (饕餮) หมายถึง คนตะกละ
มีเพียงไป๋จิ่นและเว่ยเจ๋อเซิงเท่านั้นที่ดูแปลกไป
และสิ่งที่แปลกไปก็คือรอยหมัดที่ประทับอยู่บนใบหน้าของพวกเขา คนหนึ่งข้างซ้ายอีกคนข้างขวา สมมาตรกันอย่างมาก
“พวกเจ้าสองคนไปทำอะไรมา?” เผยเสี่ยวเตาสูดบะหมี่เข้าปาก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถาม
เยว่พั่วหลัวแค่นเสียงออกมาหนึ่งที
เว่ยเจ๋อเซิงที่กำลังจะร้องทุกข์ก็รีบปิดปากโดยฉับพลัน
“ไม่มีอะไร…เมื่อคืนไม่ระวัง พวกเราสองคนเลยหกล้ม”
“ล้มจนเป็นรอยแบบนี้ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เว่ยเจ๋อเซิงย่อมรู้ดีว่าไม่มีใครสามารถล้มจนเกิดรอยเช่นนี้แน่ เพราะนั่นไม่เท่ากับกำลังพูดจาเหลวไหลอยู่หรอกหรือ?
เขาจึงมองไปทางเยว่พั่วหลัวด้วยความเสียใจ เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยเลยนะ ฮือ ๆ ๆ
“เนื้อวัวนี่ใหญ่เกินไป เอามีดสั้นมาหั่นเป็นชิ้นก่อนแล้วค่อยกิน”
เซียวเซวียนจิ่นเตรียมจะไปหยิบมีดสั้นมาหั่นเนื้อวัวให้อาอินกิน
เมื่อได้ยินคำว่า ‘มีดสั้น’ ทั้งสองคนที่ยังอ่อนไหวกับคำนี้อยู่ จึงรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวทันที ทว่ากลับไปสู้กันที่ใต้โต๊ะแทน
“สกปรก ต่ำช้า”
“เป็นเจ้าที่เอาเปรียบข้าชัด ๆ”
“เอาเปรียบเช่นนี้เจ้าเก็บเอาไว้เองเถอะ! ครั้งหน้าหากให้ข้าเห็นอีกข้าจะตัดรากถอนโคนทิ้งซะ”
“สตรีจิตใจอำมหิต! ข้าไม่ได้ให้เจ้าใช้ เจ้าจะมายุ่งอะไรด้วย”
“แหวะ เจ้าคนน่าสะอิดสะเอียน”
ทั้งสองคนด่ากันเบา ๆ และงึมงำอยู่ในลำคอ
“ชิ กินข้าวอยู่เหตุใดพวกเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้เล่า ไปทะเลาะกันด้านนอกให้เสร็จก่อน แล้วค่อยกลับมากินต่อ”
ทันทีที่จี้จือฮวนพูดขึ้นมา ทั้งสองคนก็เงียบลงทันที
การทะเลาะกันไหนเลยจะสำคัญเท่ากับการกินข้าว
อีกด้านหนึ่ง เย่จิ่งฝูนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง แม้แต่มองหน้าลู่เอี้ยนนางก็ไม่กล้ามองอีก
“ศิษย์พี่ ท่านเอาผักดองหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ ๆ ๆ อย่ามาพูดกับข้า”
“แม่นางเย่ไม่สบายหรือไม่?” เว่ยเจ๋อเซิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เปล่า ๆ ๆ” เย่จิ่งฝูตอบกลับสั้น ๆ
“นางไม่ได้ไม่สบาย แต่คงไปทำเรื่องน่าละอายใจมากระมัง”
ยกตัวอย่างเช่น เข้าสำนักแล้วก็ทำเป็นไม่รู้จักกัน แต่หลังจากทำความรู้จักกันแล้วก็หันหน้าหนีไปทันทีอะไรทำนองนั้น
เนื่องจากภาพลักษณ์ที่ดีของลู่เอี้ยน ทำให้ทุกคนมองไปที่เย่จิ่งฝูเป็นตาเดียว สายตาที่อยากรู้อยากเห็นนั้นแฝงไปด้วยการกล่าวโทษ
“ท่านหมอเย่ นี่เป็นความผิดของท่านแล้ว เหตุใดถึงได้ทำเรื่องน่าละอายใจเช่นนี้ได้เล่า?”
“นั่นสิ เล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ เร็วเข้า หูน้อย ๆ ของข้าตั้งขึ้นมาแล้ว มันเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
ใบหน้าของเย่จิ่งฝูแดงเรื่อขึ้นมา “ข้า…ข้าเปล่า! ลู่…นายอำเภอลู่คงอยากจะล้อเล่นกระมัง”
“เหตุใดถึงพูดติดอ่างเช่นนี้เล่า ท่านหมอเย่ หรือว่าชื่อของข้าลวกปากท่านอย่างนั้นหรือ” ลู่เอี้ยนยิ้มเยาะออกมา
เย่จิ่งฝูอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ
เวรกรรมจริง ๆ! เหตุ…เหตุใดถึงยังไม่แต่งงานและมารอนางอยู่นี่กัน! นางเป็นผู้สูงส่งละทางโลกแล้ว เรื่องชายหญิงของโลกมนุษย์เช่นนี้คงไม่เหมาะกระมัง!
.