บทที่ 492 ค้นหาความจริง
จี้จือฮวนกับเผยยวนนั้นส่วนใหญ่นอกจากจะบังคับให้พวกเขาเรียนหนังสือแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
และจะพูดคุยกับพวกเขาอย่างใจเย็นเหมือนคนที่อายุเท่ากัน
ทันทีที่อาชิงได้ยินว่าพวกเขาไม่ได้จะส่งตัวพวกตนไป แต่แค่ต้องการจะไปพบพ่อแม่แท้ ๆ ของพวกตน ก็เริ่มลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ส่วนอาอิน ที่ผ่านมาความคิดของนางมักจะเป็นผู้ใหญ่กว่าอาชิง จึงทำให้อาชิงมักจะเชื่อฟังนาง ส่วนนางก็เชื่อฟังอาฉือ
แต่ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่ด้วย นางจึงไม่สามารถตัดสินใจเองได้ “ข้าขอคิดดูก่อน”
“ได้”
อาอินไม่ได้อยู่ในห้องต่อ แต่เลือกที่จะวิ่งไปหาเซียวเซวียนจิ่นแทน
เซียวเซวียนจิ่นกำลังรอนางอยู่ เห็นนางลังเลจึงลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าของนางเสียเอง “มีอะไรหรือ?”
อาอินสับสนอย่างมาก อาฉือไม่อยู่ นางจึงไม่รู้ว่าจะไปปรึกษาใคร
“พี่ชาย”
“อืม พี่ชายอยู่ตรงนี้”
อาอินเขย่งเท้าเล็ก ๆ “ข้าควรไปพบพ่อแม่แท้ ๆ ของข้าหรือไม่ ข้ากลัวว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะทิ้งข้าไป”
“พวกเขาไม่มีทางทิ้งเจ้า แต่หากเจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้ชีวิตต้องมีเรื่องเสียใจภายหลัง แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ไปก็ได้”
อาอินก้มหน้าลง “ท่านพูดเหมือนกับที่พวกเขาพูดเลย”
“เพราะพวกเราล้วนรักอาอินมาก”
นิ้วสองนิ้วของอาอินเกี่ยวกันไปมา “ข้าควรไปหรือไม่?”
เซียวเซวียนจิ่นเอ่ย “ในใจของเจ้าคิดอย่างไรเล่า?”
“ข้าไม่รู้”
“ไม่รู้ก็แสดงว่าเจ้าอยากไป ตอนที่เจ้ารู้สึกลังเล คำตอบก็อยู่ในใจของเจ้าแล้ว คำแนะนำของข้าก็คือ เจ้าควรไปดู หากพวกเขาไม่ได้รักเจ้า เช่นนั้นก็แค่กลับมา ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถบังคับพวกเจ้าได้ แต่หากตอนนั้นพวกเขามีความจำเป็นที่ทำให้ต้องทอดทิ้งพวกเจ้า เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะมีพ่อแม่ที่รักพวกเจ้าเพิ่มขึ้นอีกคู่หนึ่ง”
อาอินสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ หนึ่งครั้ง “ขอบคุณพี่ชายเจ้าค่ะ ข้ารู้แล้วว่าควรทำอย่างไร”
ไม่นานอาอินก็กลับมา เมื่อเห็นจี้จือฮวนและเผยยวน นางก็ตัดสินใจว่าจะไปดูสักครั้ง
กลับไปภูเขาหิมะ เสื้อผ้าก็ต้องเตรียมให้หนาสักหน่อย จึงให้คนไปซื้อเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ และซื้อรองเท้าผ้าสักหลาดที่ถนนมาเพิ่ม พร้อมทั้งเรียกพวกไป๋จิ่นและเยว่พั่วหลัวมาพบ เดิมทุกคนอยากออกเดินทางตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แต่คนของเผ่าหมาป่าเหล่านั้นกลับไม่ยอมพักในเมือง
เมื่อขัดพวกเขาไม่ได้ จึงทำได้เพียงแบกเด็กทั้งสองคนไว้ในตะกร้าสะพายหลัง ใช้ผ้าห่มห่อเอาไว้อย่างดี และอาศัยแสงยามค่ำคืนขึ้นเขาไปในคืนนั้น
เผยยวนได้เตรียมม้าให้คนของเผ่าหมาป่าด้วย คราวนี้พวกเขากลับไม่ปฏิเสธ ตอนที่พวกเขาออกจากเมืองและไปถึงชายป่า ก็ได้ยินเสียงหมาป่าหอนขึ้นมา พวกหมาป่าหิมะที่รออยู่นานแล้วก็รีบวิ่งออกมาจากในป่าทันที และเดินนำอยู่ด้านหน้า
เด็กทั้งสองถูกห่อจนกลายเป็นก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่ง ทำได้เพียงใช้สายตามองดูด้านนอกเท่านั้น หากง่วงก็สามารถหลับในตะกร้าไม้ไผ่ได้เลย
ภูเขาหิมะอยู่ห่างจากที่นี่อย่างน้อยต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งวัน เมื่อคิดว่าพวกเขาไล่ตามนายพรานเหล่านั้นไปตลอดทาง ก็ถือว่าเป็นเรื่องยากมากทีเดียว เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเห็นหมาป่าหิมะเป็นเหมือนคนในครอบครัวของพวกเขาจริง ๆ
ตอนที่หยุดพักระหว่างทาง จี้จือฮวนจึงเสนอตัวที่จะรักษาหมาป่าหิมะให้ ไม่เช่นนั้นดูจากอาการบาดเจ็บของพวกมันแล้ว พวกมันคงทนได้อีกไม่นานแน่
พวกเผ่าหมาป่ามองไปที่เด็กทั้งสองคนก่อนจะตอบตกลง แต่พวกเขาก็คอยจับตาดูการกระทำของจี้จือฮวนอยู่ตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหิมะทนความเจ็บปวดไม่ไหวแล้วทำร้ายนางขึ้นมา
เยว่พั่วหลัวไม่เคยไปสถานที่ที่หนาวเย็นเช่นภูเขาหิมะมาก่อน จึงกอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ของนางเอาไว้แน่น และนอนคุยกับพวกผู้หญิงของเผ่าหมาป่าอยู่ข้างกองไฟมาพักใหญ่
“นี่ พ่อของอาชิงน้อยของเราที่พวกเจ้าพูดถึงหน้าตาเป็นอย่างไร ดูดีหรือไม่ หน้าตาดีเหมือนเขาหรือไม่?”
เยว่พั่วหลัวชี้ไปที่เผยยวน “หากว่าเครื่องหน้าไม่สมมาตร อาจารย์อย่างข้าไม่ยอมจริง ๆ นะ”
ผู้หญิงของเผ่าหมาป่าไม่สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่นางพูดได้ในทันที
แต่กลับมองไปทางอาอินแล้วเอ่ยขึ้นมา “นางเหมือน…อาเหริ่น”
“อาเหริ่น เช่นนั้นพวกเจ้าชื่ออะไร?”
“ฮวา…เฉ่า”
คนหนึ่งชื่อฮวา* คนหนึ่งชื่อเฉ่า** เรียบง่ายสมกับเป็นคนป่าจริง ๆ
* ฮวา (花) แปลว่า ดอกไม้
** เฉ่า (草) แปลว่า หญ้า
“เช่นนั้นภรรยาของอาเหริ่นเล่า ก็เป็นคนของเผ่าหมาป่าเหมือนกันหรือ?”
คำถามนี้ทำให้ทุกคนล้วนมองมา รวมถึงเด็กสองคนที่กำลังง่วงงุนด้วย
ฮวาและเฉ่าส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน “ไม่ใช่”
จี้จือฮวนเอ่ยกับเผยยวน “แม่แท้ ๆ ของพวกเด็ก ๆ มีโอกาสมากที่จะเป็นชาวต้าจิ้น ดังนั้นผ้าที่ห่อพวกเขาเอาไว้จึงเป็นผ้าไหมชั้นดี”
แต่ในเมื่อสามารถซื้อผ้าไหมชั้นดีเช่นนั้นได้ ก็แสดงว่าครอบครัวของพวกเขาต้องมีฐานะร่ำรวย ครอบครัวเช่นนี้จะชอบพอกับเผ่าหมาป่าได้อย่างไรกัน?
ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีร่างกายที่กำยำ แม้แต่การสื่อสารก็พูดติด ๆ ขัด ๆ เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรจากคนป่าเถื่อน จี้จือฮวนรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ผู้หญิงชาวต้าจิ้นจะเต็มใจติดตามเผ่าหมาป่า นางจึงคิดว่าพวกเขาคงจะแต่งงานกันในเผ่าเสียมากกว่า
เผยยวนเองก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้พวกเขาจึงสงสัยในตัวแม่แท้ ๆ ของเด็ก ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ
หมาป่าหิมะหลายตัวถูกจี้จือฮวนพันแผลให้จึงดูคล้ายกับมัมมี่อย่างไรอย่างนั้น ไม่สามารถนำทางได้อีก ดังนั้นจึงเอาพวกมันใส่กระสอบและพาดไว้บนหลังม้าแทน โชคดีที่ม้าศึกของกองทัพทหารเกราะเหล็กไม่กลัวหมาป่า หากเป็นม้าธรรมดาทั่วไปแล้วล่ะก็ คงกลัวจนสะบัดพวกมันทิ้งไปแล้ว
เหล่าหมาป่าหิมะตัวน้อยกลับกระโดดไปมาบนพื้นอย่างมีความสุข เดี๋ยวก็ส่งเสียงร้อง เดี๋ยวก็หงายท้องให้อาชิง ยังมีหนึ่งตัวในนั้นที่กางแขนกางขาและหลับไปในอ้อมแขนของอาอินอีกด้วย
พวกเผ่าหมาป่าที่เดิมมีท่าทางไม่เป็นมิตร เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา
“อาเหริ่น ก็…เป็นเช่นนี้”
“หมาป่า…สนิทกับ…เขา”
เผยยวนอธิบาย “เผ่าหมาป่าเองก็มีการแบ่งระดับพรสวรรค์เช่นกัน บางคนเกิดมาก็สนิทกับหมาป่าแล้ว จึงสามารถสั่งการหมาป่าหิมะได้ดี ในช่วงที่เผ่าหมาป่ารุ่งเรืองที่สุด พวกเขาสามารถต่อสู้กับกองทัพชั้นยอดได้ เพียงอาศัยแค่การสั่งการฝูงหมาป่า”
“น่าเหลือเชื่อจริง ๆ”
ไป๋จิ่นรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะเขาก็ฝึกกู่กับเยว่พั่วหลัวมาแล้ว โดยใช้วิธีการข่มขู่อีกฝ่าย ข่มขู่พวกเขาเพื่อประโยชน์ของตัวเอง
แต่เผ่าหมาป่ากับหมาป่าหิมะเปรียบเสมือนเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์ของกันและกันอย่างแท้จริง
ซึ่งพวกเขายังไม่สามารถปฏิบัติกับหนอนกู่และสัตว์พิษเช่นนั้นได้
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทุกคนกินอาหารแห้งรองท้องเล็กน้อยแล้วจึงออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเด็กน้อยทั้งสองก็ไม่รู้สึกว่าเผ่าหมาป่าดูขัดหูขัดตาเพียงนั้นอีกแล้ว แต่เมื่อใกล้จะถึงภูเขาหิมะและพบว่ากิ่งก้านของต้นไม้เหล่านั้นล้วนถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เด็กทั้งสองคนจึงเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อขึ้นภูเขาหิมะไปได้ครึ่งทางก็พบกับลมและพายุหิมะ ทุกคนจึงได้มาอยู่รวมกัน แต่เผ่าหมาป่าราวกับกลับมาถึงถิ่นของตัวเองแล้ว บนภูเขาหิมะอันกว้างใหญ่ พวกเขากลับสามารถแยกแยะทิศทาง และนำทางพวกเขาให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่จะมีหิมะถล่มได้อย่างแม่นยำ
เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง ม้าทุกตัวก็เริ่มเดินเป็นแถว อาชิงที่ตื่นแล้วก็ยื่นมือเล็ก ๆ ไปจับเกล็ดหิมะอย่างตื่นเต้น พลางหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข
เผ่าหมาป่าที่เดินตามหลังมาเห็นแล้วก็เกือบจะน้ำตาไหล หากพวกเขาไม่ทำหายไปก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง
ขณะที่จี้จือฮวนกำลังคิดว่าคงต้องเดินทางต่อไปอีกหนึ่งวันเป็นแน่ เผ่าหมาป่าก็พาพวกเขาไปยังใจกลางของภูเขาหิมะ ที่นั่นมีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ขุดขึ้นมาจากทะเลสาบน้ำแข็ง พวกเขาใช้ก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นและขนสัตว์เพื่อทำบ้านน้ำแข็งขึ้นมา โดยหลังที่ใหญ่ที่สุดสามารถรองรับครอบครัวที่มีสมาชิกได้เจ็ดถึงแปดคน
ทันทีที่พวกจี้จือฮวนปรากฏตัว ก็มีเผ่าหมาป่าจำนวนมากวิ่งออกจากบ้านน้ำแข็ง และมุ่งมาทางพวกเขาพร้อมกับอาวุธในมือ หมาป่าหิมะจำนวนมากก็เริ่มหอนขึ้นมา เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ ๆ จึงได้พบกับสหายของพวกเขา
ฮวาและเฉ่าลงจากหลังม้า เบียดฝูงชนเข้าไปแล้วดึงหญิงชราคนหนึ่งที่อยู่หลังสุดออกมา จากนั้นก็ชี้ไปที่อาชิงกับอาอินแล้วพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของทุกคนต่างจ้องมองไปที่พวกเขา
.
.
.