บทที่ 502 ฝึกหมาป่า
ในค่ายกองทัพทหารเกราะเหล็กมีเสือขาวที่สะดุดตาตัวหนึ่งอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ เช่นนั้นหมาป่าหิมะของพวกเขาก็ไม่มีทางแพ้เช่นกัน
เอ่ยจบ ฮวาหลางก็ผิวปากหนึ่งที เหล่าหมาป่าหิมะที่กำลังพักผ่อนอยู่ในค่ายก็รีบวิ่งเข้ามาหาพวกเขาทันที
จี้จือฮวนมองดูเหล่าหมาป่าหิมะที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ความจริงแล้วก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
เหมือนกับเมี้ยวเมี้ยว หลังจากโตเต็มวัยแล้วนางก็ได้ฝึกฝนมันขึ้นมาเป็นพิเศษ
การสื่อสารระหว่างมนุษย์และสัตว์ ต้องอาศัยการจดจำท่าทาง และใช้ระยะเวลานานกว่าจะให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่งได้
โดยเฉพาะหมาป่าหิมะที่อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์มาตั้งแต่เกิด และล่าสัตว์ร่วมกับเผ่าหมาป่ามานาน พวกมันจึงเชื่อฟังคำสั่งของเผ่าหมาป่า และเป็นคู่หูที่ดีที่สุด
“แต่สนามรบนั้นแตกต่างจากการล่าสัตว์ในทุ่งหิมะ เพราะการต่อสู้ในสนามรบจะมีผู้คนมากมาย ดังนั้นจึงเป็นการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่า หากหมาป่าหิมะไม่ได้รับการฝึกฝนมาก่อน มีโอกาสมากที่จะเกิดความตึงเครียดที่ต้องคอยฟังคำสั่งของเจ้าของ และอาจจะถูกม้าเหยียบเอาได้ ดังนั้นต้องให้พวกมันฝึกฝนและพัฒนากล้ามเนื้อ เพื่อหลบฝูงชนให้ดีเสียก่อน”
เช่นเดียวกับสุนัขตำรวจในยุคปัจจุบันก็มีหลักสูตรการฝึกที่คล้ายกัน
รองแม่ทัพหลี่จึงเอ่ยขึ้นมา “ความจริงแล้วกองทัพของเราเมื่อก่อนก็เคยมีสุนัขล่าสัตว์อยู่เหมือนกัน พวกมันตื่นตัวกว่าทหารยามเสียอีก แต่น่าเสียดาย…”
น่าเสียดายที่สุนัขล่าสัตว์ที่เลี้ยงในกองทัพเหล่านั้น ตอนนี้ล้วนอยู่ที่ค่ายใหญ่ที่ซีเป่ย และตั้งแต่เผยยวนเข้าเมืองหลวงก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีก จากนั้นก็มีราชโองการลงมาทำให้พวกเขาต้องกระจัดกระจายกันไป ไหนเลยจะยังมีคนสนใจว่าสุนัขล่าสัตว์เหล่านั้นจะเป็นเช่นไรอีก?
“เช่นนั้นในกองทัพยังมีคนที่สามารถฝึกสุนัขล่าสัตว์อยู่หรือไม่?”
ฮวาหลางไม่เข้าใจ จึงหันไปมองหน้าคนของเผ่าหมาป่าคนอื่น ๆ “หมาป่าหิมะของเราเก่งกว่าสุนัขธรรมดา พวกมันเชื่อฟังพวกเรามาก ไม่ต้องฝึก”
จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้โต้แย้ง นางเพียงชี้ไปที่กำแพงกีดขวางที่ใช้ฝึกทหารข้าง ๆ แล้วพูดขึ้น “เจ้าลองสั่งหมาป่าหิมะกระโดดข้ามหน่อยสิ”
ฮวาหลางจึงเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “มีอะไรยากกัน ดูข้าให้ดีล่ะ”
นางผิวปากหนึ่งที และชี้ไปที่กำแพงกีดขวางนั่น “ขึ้นไป!”
ฝูงหมาป่าหิมะก็กรูไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดจริง ๆ การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วอย่างมาก ทว่าจี้จือฮวนกลับส่งสัญญาณให้อวี้จื่อหนิงและคนอื่น ๆ เข้ามารบกวนสมาธิพวกมันทันที ตัวอย่างเช่น เอาเนื้อแห้งมาล่อ หรือผิวปาก เป็นต้น
หลายวันมานี้หมาป่าหิมะก็รู้ว่าใครเป็นพวกเดียวกับมัน ดังนั้นจึงมีกลุ่มหนึ่งหันไปหาเนื้อแห้งแล้ว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็มองไปมาทางพวกอวี้จื่อหนิงอย่างสับสน ไม่รู้ว่าจะต้องทำตามคำสั่งของผู้ใด
จึงมีเพียงสิบกว่าตัวเท่านั้น ที่สามารถกระโดดข้ามกำแพงไปได้
ฮวาหลางมีสีหน้าย่ำแย่ “พวก…พวกเจ้า…โกงกันชัด ๆ!”
จี้จือฮวนก็ไม่ได้โกรธ และเอ่ยเสียงเรียบออกมา “การทหารไม่หน่ายกลอุบาย ในสนามรบ เพื่อชัยชนะแล้วใครจะสู้กับพวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมากันเล่า แผนการล้วนมีมากมาย มิเช่นนั้นคิดว่าหน่วยสอดแนมมาจากที่ใดกัน?
หมาป่าหิมะแม้ว่าจะกล้าหาญ และไม่เกรงกลัวความตาย ข้อนี้เหนือกว่าสุนัขทั่วไปจริง ๆ แต่ด้วยนิสัยของพวกมันก็ทำให้เชื่องได้ยาก การเชื่อฟังและการประสานงานของพวกมันจึงด้อยกว่าสุนัขทั่วไป ดังนั้นการฝึกฝนจึงเป็นสิ่งจำเป็น”
เอ่ยจบ จี้จือฮวนจึงโบกเนื้อแห้งไปมา “เมี้ยวเมี้ยว”
เมี้ยวเมี้ยวที่กำลังนอนหงายท้องอาบแดดอยู่ข้าง ๆ สะบัดขนไปมาทันที ก่อนจะเดินด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาเข้ามาออดอ้อนข้างกายจี้จือฮวน
จี้จือฮวนโบกเนื้อแห้งนั่นไปมาต่อหน้ามัน ทุกคนต่างคิดว่าเป็นของที่นางจะเอาให้เมี้ยวเมี้ยวกิน ตามหลักแล้วก็ควรมีเหตุการณ์เสือหิวขย้ำเหยื่อเกิดขึ้นแล้ว ทว่าเมี้ยวเมี้ยวกลับน้ำลายยืดออกจนเป็นสายเท่านั้น มันกลับไม่แลบลิ้นออกมาเลียเลยสักคำ
จากนั้นจี้จือฮวนก็ชี้ไปที่กำแพงกีดขวาง “ขึ้นไป!”
ภาพของเมี้ยวเมี้ยวที่มีท่าทางน่ารักและเชื่องเป็นอย่างมากหายไปทันที ร่างกายที่คล่องแคล่วนั้นกระโดดข้ามกำแพงไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าระหว่างทางจะมีคนส่งเสียงรบกวน หรือสั่งการอย่างอื่นเช่นเดียวกับจี้จือฮวน แต่เมี้ยวเมี้ยวกลับไม่สนใจ และหลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็กลับมาอยู่ข้างกายจี้จือฮวนดังเดิม
“นั่งลง”
เมี้ยวเมี้ยวหย่อนก้นลง
“ขอมือ”
มันยื่นอุ้งเท้าปุกปุยอันใหญ่ให้นางทันที
“เด็กดี” หลังจากจี้จือฮวนสั่งให้มันทำท่าทางพื้นฐานเหล่านี้เสร็จแล้ว จึงได้เอ่ยกับฮวาหลางว่า “หมาป่าหิมะมีความกล้าหาญมากจริง ๆ แต่พวกมันต้องถูกฝึกฝนให้ทำตามคำสั่งได้ระดับนี้ก่อน ข้าจึงจะอนุญาตให้พวกมันเข้าสู่สนามรบได้อย่างวางใจ
หากพวกเจ้ายอมมอบหมาป่าหิมะให้ข้าช่วยฝึกฝน ข้ารับรองว่าจะทำให้พวกมันปลดปล่อยศักยภาพที่ยอดเยี่ยมออกมา ไม่เพียงกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังในทุ่งหิมะ แต่ยังจะกลายเป็นนายพลที่ดุร้ายในสนามรบอีกด้วย
การจะเป็นนักรบที่มีความสามารถอย่างแท้จริงนั้น พวกมันจำเป็นจะต้องเรียนรู้และฝึกฝนการกระโดด การปฏิเสธ การฝึกความอดทน และควบคุมสัญชาตญาณให้ได้เสียก่อน”
“ควบคุมสัญชาตญาณ?” อาเหริ่นกะพริบตาปริบ ๆ
เผยยวนจึงช่วยเอ่ยอธิบายต่อ “พวกมันต้องเรียนรู้ที่จะเงียบ ไม่ใช่หอนทุกครั้งเมื่อมารวมตัวกัน เช่นนี้นอกจากจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก สุนัขทหารที่ถูกคัดเลือกมาจากจำนวนสุนัขมากมาย โดยธรรมชาติของพวกมันแล้วจะต้องล่าเหยื่อ กัดไม่ปล่อย และคอยติดตาม ดังนั้นการฝึกฝนก็คือการเข้าไปควบคุมธรรมชาติของพวกมัน
แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปพวกมันจะไม่สามารถหอนได้อีก เพียงแต่พวกมันต้องเรียนรู้หน้าที่พื้นฐานว่าควรกัดศัตรูเช่นไร คอยแจ้งเหตุเช่นไร เป็นต้น”
เผ่าหมาป่าไม่ใช่พวกที่ไม่ฟังคำแนะนำของคนอื่น เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับรู้ “เหมือนที่พวกเราเรียนรู้กระบวนท่าใหม่ ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่! หมายความเช่นนั้นแหละ”
ฮวาหลางจึงตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ข้าเข้าใจแล้ว พ่อและแม่ของข้าล้วนตายด้วยน้ำมือของทหารเมืองเจว๋เฉิง ดังนั้นข้าต้องฆ่าซือถูรุ่ยให้จงได้ เพื่อล้างแค้นให้พวกเขา!”
พูดถึงซือถูรุ่ย สีหน้าของทุกคนในเผ่าหมาป่าต่างเต็มไปด้วยความโมโห
อีกทั้งตอนนั้นพวกมันยังจับคนในเผ่าไปเป็นจำนวนมาก หากไม่ใช่เพราะซือถูเซิง เกรงว่าเผ่าของพวกเขาคงจะสูญสิ้นไปแล้ว
แต่พวกเขาไม่เคยโทษซือถูเซิงกับอาเหริ่นเลย
สำหรับพวกเขาแล้ว การที่คนสองคนรักกัน อยู่ด้วยกันต่างหากที่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมายุ่ง
การแย่งชิงคนรักของคนอื่นถือเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีลมหอบหนึ่งพัดผ่านหน้าพวกเขาไป ทุกคนจึงตกตะลึงขึ้นมาทันที
สามารถเข้ามาในค่ายทหารราวกับเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ ความแตกฉานในวิชาตัวเบาเช่นนั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
ขณะที่ทุกคนกำลังจะหยิบอาวุธขึ้นมา คนผู้นั้นก็โรยตัวลงมาเสียก่อน เมื่อเผยยวนเห็นว่าเป็นคนรู้จักเก่า ก็ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปทันที “เจ้ามาได้อย่างไรกัน?”
คนที่มานั้นเป็นชายรูปร่างผอมบาง ใบหน้าซีดขาว เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงมองไปทางเผยยวนรวมถึงคนที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นก็อยากจะเอาหัวซุกเข้าไปในอกทันที
“นี่…นี่เขาเป็นใครกัน?” ฟังจากที่ท่านอ๋องพูด ท่านรู้จักอีกฝ่ายด้วยอย่างนั้นหรือ?
เผยยวนส่งเสียงชิชะอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดมา”
นอกจากจี้จือฮวนและลูก ๆ แล้ว กับคนอื่น ๆ เขาไม่ได้มีนิสัยที่ดีเท่าไรนัก
คนผู้นั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเผยยวน พลางอ้าปากพะงาบ ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว
เยว่พั่วหลัวชะโงกหน้าออกมา “เขาพูดอะไรน่ะ?”
ฉู่จิ้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นาง เห็นนางขยับเข้ามาใกล้มากก็เอ่ยอย่างแข็ง ๆ ว่า “ข้าไม่ได้ยิน”
“เหมือนจะพูดแล้ว” เผยเสี่ยวเตาเอ่ยต่อ
“อย่างนั้นหรือ?!” เยว่พั่วหลัวแคะหูเล็กน้อย “พี่ชาย เจ้าพูดอะไรกัน พูดให้มันดัง ๆ หน่อยไม่ได้หรือ?”
คนผู้นั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วอ้าปากพะงาบ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว เผยยวนคลึงหว่างคิ้ว “เอาของมาให้ข้า”
จี้จือฮวนประหลาดใจ “เจ้าสื่อสารทางสายตาเป็นแล้วอย่างนั้นหรือ?”
นี่เป็นวิชาที่ไม่ว่าเขาจะเรียนอย่างไร ก็ไม่สามารถเรียนได้ไม่ใช่หรือ?
เผยยวนอธิบาย “เขากลัวเวลาที่มีคนอยู่กันเยอะ ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว พอคนเยอะก็จะตื่นเต้น แต่หากตั้งใจฟังดี ๆ เวลาเขาพูดก็จะได้ยินเสียงอยู่”
“ดังนั้นเขาเป็นใครกัน?” เยว่พั่วหลัวสงสัยจะแย่อยู่แล้ว
ไป๋จิ่นจึงหิ้วคอเสื้อนางและลากกลับมาทันที “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย ถามอะไรเยอะแยะ”
“เฮอะ เจ้าไม่ทะเลาะกับข้าสักวันแล้วรู้สึกคันอยากโดนตีก้นใช่หรือไม่?”
“หยาบคาย!”
“ทำไม เจ้าไม่มีก้นหรือ เหตุใดถึงบอกว่าข้าหยาบคายกัน”
จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง
ชายผู้นั้นหยิบจดหมายออกมาจากอกเสื้อ ชั่วพริบตาก็มีเงาสีขาวแวบผ่านไป และคนผู้นั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาของทุกคน วิชาตัวเบาที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เป็นสิ่งที่คนกลัวสังคมต้องมีจริง ๆ