บทที่ 508 พินาศไปด้วยกัน
หลังจากที่เขาพูดจบ
ภายในห้องก็ไม่มีใครส่งเสียงออกมาอีก ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหนัก ๆ และปั่นป่วนของกันและกัน
สมองของพวกเขาค่อย ๆ สับสน
เยว่พั่วหลัวค้นกระเป๋าของตัวเองอีกครั้งอย่างสั่นเทา
ไป๋จิ่นใช้แขนกอดเสาเอาไว้แน่น และเหลือบมองนางเป็นระยะ “ที่เจ้ามียาถอนพิษหรือ?”
“มี…มีกับผีน่ะสิ!”
เสียงของทั้งสองคนต่างสั่นเครือ จนกระทั่งมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมา เป็นเยว่พั่วหลัวที่หยิบมีดสั้นออกมา ไป๋จิ่นรู้สึกหน้ามืดและรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที “เจ้าจะทำอะไร?”
“เปลี่ยน…เปลี่ยนถ่ายเลือด” เยว่พั่วหลัวยื่นมือออกมาอย่างสั่นเทา กำลังจะกรีดข้อมือตัวเอง
ขอเพียงเพิ่มหนอนกู่ที่ช่วยชำระล้างพิษ แล้วเปลี่ยนถ่ายเลือดบางส่วน ก็คงจะเพียงพอแล้ว
ทว่าฤทธิ์ของยานั้นรุนแรงมาก จนมือของนางไร้เรี่ยวแรง
“เจ้า! มานี่”
ไป๋จิ่นตอนนี้ไหนเลยจะขยับตัวได้อีก เขาเอาหัวพิงที่มุมห้อง กลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้ทุกปลายนิ้วของเขาสามารถรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน
“ข้าขยับตัวไม่ได้”
ไป๋จิ่นคิดไปคิดมา ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปคงท่าไม่ดีแน่
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งที จากนั้นก็กินยาพิษเข้าไปอีก
ทว่าสำหรับคนที่เติบโตมาในหม้อยาพิษอย่างเขา กินยาพิษกับกินขนมจะแตกต่างอะไรกัน?
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เขาจึงรู้สึกเหมือนร่างกายจะระเบิดออกอยู่แล้ว
ในหูราวกับมีเสียงพึมพำด้วยความทรมานของเยว่พั่วหลัวดังขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋จิ่นทนไม่ไหวแล้ว!
เขาเดินตรงไปหาเยว่พั่วหลัว “เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่”
ดวงตาของเยว่พั่วหลัวพร่ามัว “เช่นนั้น…เช่นนั้นต้องทำอย่างไร ไป…ไปจับอาชิงมาให้ข้ากัดที”
ขอเพียงมีราชากู่ นางก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
ฝีเท้าของไป๋จิ่นชะงักไป จากนั้นก็แง้มประตูออกเล็กน้อย
สาวใช้เจ็ดแปดคนที่กำลังกวาดพื้นและดูแลต้นไม้ดอกไม้อยู่ที่หน้าประตูพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า “แขกผู้มีเกียรติต้องการสิ่งใดสั่งมาได้เลยเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นจึงด่าออกไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ปิดประตูเสียงดังลั่น
เยว่พั่วหลัวใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว น้ำเสียงก็อ่อนระโหยโรยแรงเต็มที “เจ้าทำอะไรกัน?”
เปิดประตูแล้วก็ปิดประตู
“ที่หน้าประตูมีคนอยู่เต็มไปหมด จะหาตัวเขาได้อย่างไรกัน?!” ยิ่งไปกว่านั้นสภาพของเขาตอนนี้ก็ไม่ปกติอีกด้วย
“อิ ๆ ๆ ๆ” ตอนนั้นเองเสียงสดใสของอาชิงก็ลอยผ่านหน้าประตูไป
ทั้งสองคนดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะแง้มประตูออก “อาชิง! มานี่!”
ทว่าพวกเขากลับเห็นเพียงด้านหลังของอาชิงเท่านั้น เพราะขาสั้น ๆ คู่นั้นได้วิ่งผ่านไปแล้ว
“…”
ศิษย์เนรคุณ!!!
ให้ความหวังอาจารย์ แล้วก็ทำให้สิ้นหวัง!
ปกติไม่เห็นเขาจะวิ่งเร็วเพียงนี้เลยนี่นา!
ไป๋จิ่นเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วปิดประตูลงอีกครั้ง
เหล่าสาวใช้ที่กำลังรอรับคำสั่งจากเขาก็เต็มไปด้วยความงุนงง คนที่คุณชายฝูเย่พามาแปลกเกินไปแล้ว
ไป๋จิ่นพิงตัวเองกับบานประตู ทั้งสองคนเสียเวลาไปพักใหญ่ แต่ราวกับยังย่ำอยู่ที่เดิม
เวลานี้เยว่พั่วหลัวได้กรีดปลายนิ้วและเริ่มบีบเลือดออกมาแล้ว
สุดท้ายกลิ่นคาวเลือดที่ออกมาเพียงนิดเดียวนั่นก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ทั้งสองคนก็เริ่มเห็นภาพหลอนขึ้นมาแล้ว
ราวกับถูกงมขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
“ข้าจะหาวิธีเอาเอง ส่วนเจ้าก็ช่วยตัวเองไปก็แล้วกัน” ไป๋จิ่นฝืนลุกขึ้นมา
ริมฝีปากของเยว่พั่วหลัวสั่นเทา “ช่วย…ช่วยอย่างไรเล่า?”
ไป๋จิ่นกัดฟัน จะให้เขาสอนได้อย่างไรกัน?!
“ใช้มือของเจ้าอย่างไรเล่า!” ไป๋จิ่นเอ่ยจบก็รีบไปจัดการตัวเองทันที
เยว่พั่วหลัวเห็นเขาจะหลบไปด้านข้าง จึงรีบลุกขึ้นมา สุดท้ายก็ล้มลงไปอย่างแรง “แล้ว…แล้วข้าต้องทำอย่างไร?”
ไป๋จิ่นชะงักไป ก่อนที่เหงื่อจากขนตาจะไหลเข้าไปในดวงตา แสบจนเขาต้องหลับตาลง
ใช่แล้ว นางจะทำอย่างไร แม้แต่เรื่องนี้ก็ทำไม่เป็น!
ไป๋จิ่นเดินไปตรงหน้านาง และเอื้อมมือไปหวังที่จะดึงนางขึ้นมาแล้วโยนไปที่เตียง แต่มือที่สั่นเทาและขาวโพลนของเยว่พั่วหลัว กลับจับชายเสื้อของเขาเอาไว้แน่น
จนเขาสามารถมองเห็นเส้นเลือดบนข้อมือสีขาวนั่นได้ ไป๋จิ่นหลับตาลง ทว่ากลิ่นที่ฟุ้งออกมาจากร่างของนางกลับแทรกซึมเข้าไปในสมองของเขาผ่านทุกรูขุมขน กลิ่นหอมที่ชวนอบอุ่นปะทะเข้ากับใบหน้า ผสมกับกลิ่นคาวเลือดเล็กน้อย
เมื่อไป๋จิ่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในดวงตาคู่นั้นมีเพียงความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะขยับตัวได้อย่างอยากลำบาก แต่ประสาทสัมผัสกลับว่องไวอย่างมาก มือทั้งสองข้างออกแรงดึงเพียงนิดเดียวก็ทำให้เยว่พั่วหลัวมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เดิมเขาอยากจะผลักไสออกไป แต่กลับไม่สามารถควบคุมสายตาของตัวเองได้ เอาแต่จ้องมองริมฝีปากและฟันของนางอยู่อย่างนั้น
ทว่าจากนั้นนางกลับเอาฟันซี่เล็ก ๆ สีขาวนั่นกัดริมฝีปากล่างที่อวบอิ่ม ราวกับจงใจยั่วยวนเขาอย่างไรอย่างนั้น
ใกล้ชิดจนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน และไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ตอนนี้มันได้เลยเถิดไปแล้ว
ลมหายใจของชายหนุ่มที่เป่ารดลงมา ก็เปรียบเสมือนดินที่แห้งผากได้รับฝนตอนหน้าแล้ง ส่วนเยว่พั่วหลัวก็ราวกับเถาวัลย์ที่พันร่างของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ไป๋จิ่นดึงนางเข้าไปในอ้อมแขนของเขาอย่างแรง จากนั้นก็ตรึงท้ายทอยของนางเอาไว้ ก่อนจะระดมจูบเต็มอารมณ์วาบหวาม
…
เวลานี้ซือถูรุ่ยกำลังมองดูหยดน้ำที่หยดลงมา พร้อมกับชี้ไปที่มุมหนึ่งของแผนที่ พลางลูบไล้สาวงามในอ้อมแขนแล้วพูดขึ้นมา “สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“สาวใช้เหล่านั้นเข้าไปในห้องของจีฝูเย่และยังไม่ออกมา เป็นไปตามแผนที่เราวางเอาไว้ขอรับ”
คนที่พูดสวมเสื้อคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่อให้เขาคุยกับซือถูรุ่ยอยู่ก็ต้องรักษาระยะห่างหลายจั้ง
ซือถูรุ่ยปล่อยสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนออก “เจ้ามั่นใจกี่ส่วน?”
ไช่หุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สิบส่วนขอรับ ภายในกายของสาวใช้เหล่านั้นมีหนอนกู่ของข้าอยู่ ขอเพียงจีฝูเย่มีอะไรกับพวกนาง ไม่ว่าจะเป็นคนใดก็ตาม จีฝูเย่ก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ของท่าน พันธมิตรที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือคนที่ชีวิตอยู่ในมือของท่าน”
“ใต้หล้าไม่มียาไม่มีกู่ที่ถอนได้อย่างนั้นหรือ? อย่าให้เจ้าจีฝูเย่นั่นหาทางรักษาได้ แล้วย้อนกลับมาแค้นข้าล่ะ” ซือถูรุ่ยเอ่ยเรียบ ๆ
“ท่านโปรดวางใจ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ภายในห้องจึงมีกู่เร้ากำหนัดที่ข้าปรุงขึ้นเป็นพิเศษวางเอาไว้ด้วย เขาไม่สามารถออกมาได้ภายในสองสามชั่วยามนี้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งใต้หล้า สำนักกู่หรือสำนักพิษ ข้ากลัวเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น”
“ราชาร้อยกู่ที่เจ้าเฝ้าฝันถึงอย่างนั้นหรือ? วางใจเถอะ เจ้าติดตามข้างกายข้ามานานเพียงนี้ ข้าเคยปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมเมื่อใดกัน รอจัดการเผยยวนได้แล้ว ข้าจะกำจัดสำนักกู่และสำนักพิษแทนเจ้าเอง ให้เจ้าขึ้นเป็นปรมาจารย์พิษอันดับหนึ่งในใต้หล้า ราชาร้อยกู่นั่นข้าก็จะให้คนเอามามอบให้เจ้าถึงมือ”
“ไช่หุ่ยขอบคุณท่านเจ้าเมือง”
“เจ้าเพียงทำงานที่ข้าสั่งให้ดีก็พอ ออกไปเถอะ คืนนี้รอจีฝูเย่ปรากฏตัว เจ้าก็สังเกตดูอีกทีว่าในร่างของเขามีกู่หรือไม่”
“รับทราบขอรับ”
…
ภายในห้อง
“นี่…นี่ไม่ได้กระมัง”
“ได้” ไป๋จิ่นดื้อดึง
“มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะหนีอีกหรือ!” เขาบ่นพลางคว้าข้อเท้าของเยว่พั่วหลัวแล้วดึงนางกลับไป
“ข้ารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ลูกยังสามารถคลอดออกมาได้ มีอะไรที่ไม่ได้กัน”
“ช้าก่อน!”
“ช้าก่อนอะไร ขืนช้ากว่านี้เลือดข้าจะไหลออกทางทวารทั้งเจ็ดแล้วนะ!” ไป๋จิ่นอึดอัดจนจะระเบิดอยู่แล้ว
เยว่พั่วหลัวหายใจเข้าลึก ๆ “สำนักพิษของพวกเจ้ามีกฎห้ามแต่งงานกับสำนักกู่หรือไม่? แต่งแล้วจะเป็นอย่างไร? เจ้าสามารถไปที่หมู่บ้านของเราเพื่อไปสู่ขอข้าได้หรือไม่? ต่อไปเจ้าจะจ่ายเงินค่าข้าวกล่องแทนข้าหรือไม่? ครอบครัวเจ้ายังมีญาติพี่น้องอยู่หรือไม่? แม่เจ้าเข้ากับคนง่ายหรือไม่? แล้วเจ้ามีคนที่ชอบหรือยัง?”
“แต่งได้ คงไม่เป็นอะไรกระมัง เพราะก็ไม่มีใครเคยลองมาก่อน ข้าจะไปสู่ขอเจ้า และจะจ่ายค่าข้าวกล่องเอง ส่วนญาติข้าก็ไม่มีใครแล้ว และไม่มีแม่ด้วย แล้วข้าก็ชอบเจ้า สรุปเจ้าจะยอมหรือไม่?!”
เสียงยอมรับชะตากรรมดังมาจากบนเตียง “เช่นนั้น…ก็เข้ามา แต่เจ้าช่วยทำเบา ๆ ด้วยล่ะ”
“อุ๊บ!”
.