บทที่ 514 ข้าขอกราบอาจารย์
จี้จือฮวนได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มเล็กน้อย “อืม ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป นั่นก็คือแสงเหล่านี้มันสามารถเคลื่อนไหวได้”
เอ่ยจบ นางก็กดปุ่มอีกหนึ่งปุ่ม เส้นสีแดงเล็ก ๆ เหล่านั้นก็มาบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียวในทันที จากนั้นจี้จือฮวนก็ยิงมันลงบนโล่ ไม่นานก็ทำให้โล่นั้นละลายจนกลายเป็นรูขึ้นมารูหนึ่ง
เช่นนั้นหากมีกล่องแบบนี้เป็นพัน ๆ กล่อง มิเท่ากับว่าแค่ยืนอยู่ใกล้ก็สามารถฆ่าคนได้แล้วหรอกหรือ?
ทุกคนได้กลิ่นไหม้ในอากาศ ความตื่นตระหนกเกิดขึ้นภายในใจ เนิ่นนานกว่าจะสามารถระงับลงได้
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้ ในใต้หล้านี้เหตุใดถึงมีอาวุธวิเศษเช่นนี้ได้” จีฝูเย่พึมพำ พลางจ้องไปที่รูบนโล่นั้น
จี้จือฮวนปิดกล่องลง “ท่านเจ้าเมืองซือถูเชิญนายท่านของพวกเรามา ก็เพื่อต้องการอาวุธที่ใช้ต่อกรกับกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรของราชสำนักต้าจิ้น เท่าที่ข้ารู้มา นอกจากกองทัพทหารเกราะเหล็ก อ๋องเจิ้นเป่ยแห่งกองทัพเรือเจียงหนานแล้ว เผ่าถู่เจียที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับต้าจิ้นมานานหลายทศวรรษก็อาจจะเข้าร่วมด้วย เมื่อถึงเวลา แค่ของเหล่านี้หากคิดจะทำลายล้างศัตรูและปกป้องเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ด้วย พูดง่ายแต่คงทำได้ยาก”
สิ่งที่ซือถูรุ่ยคิดเอาไว้ถูกจี้จือฮวนเปิดเผยออกมาจนหมด เขาจึงรีบเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “เช่นนั้นพี่จียังมีอาวุธชนิดอื่นอีกหรือไม่ เพียงแค่กล่องเล็ก ๆ นี่ เกรงว่าหากต้องเผชิญหน้ากับกองปืนไฟในตำนาน สะกิดนิดเดียวก็อาจจะพังลงได้แล้วมิใช่หรือ?”
ของสิ่งนี้หากอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ พลังทำลายล้างต้องลดลงอย่างแน่นอน เหมาะสำหรับติดไว้ในห้องลับมากกว่า หากอยู่ไกลกันมากต้องไม่มีประโยชน์เป็นแน่
แต่กองปืนไฟนั่นได้ยินว่าดีว่าธนูเสียอีก ระยะในการยิงก็ไกลมากด้วย
จี้จือฮวนจึงเอ่ยขึ้นมา “ท่านเจ้าเมืองพูดถูกแล้ว ดังนั้นการที่คุณชายของเรามาในครั้งนี้จึงมาพร้อมความจริงใจ จึงอยากจะเสนออาวุธอีกชิ้นให้แก่ท่านเจ้าเมืองด้วย”
จี้จือฮวนเอ่ยจบ ไม่รู้ว่าทำอย่างไรกล่องเล็ก ๆ ใบนั้นกลับแยกออกเป็นหลายชิ้นส่วนอยู่ในมือของนาง และทันใดนั้นมันก็กลายเป็นปืนกระบอกหนึ่ง “ทุกท่านเชิญตามข้ามา”
ซือถูรุ่ยและจีฝูเย่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุด พาจี้จือฮวนเดินไปที่ด้านนอกท้องเรือ จากนั้นจี้จือฮวนก็เล็งปืนไปที่ต้นไม้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งและยิงออกไปหนึ่งนัด
ซือถูรุ่ยรีบสั่งให้คนไปดู และคนผู้นั้นก็กลับมารายงานอย่างรวดเร็ว “ลำต้นของต้นไม้ถูกเจาะขอรับ!”
คนทั้งหมดต่างก็ตกใจจนเหงื่อไหลออกมา หากเมื่อครู่ท่านฝูเย่ผู้นั้นนำของชิ้นนี้ออกมาจัดการพวกเขาล่ะก็ มิเท่ากับว่าคนทั้งเรือล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอกหรือ
จี้จือฮวนเก็บกล่องใบเล็กเรียบร้อยแล้ว ก็โยนกลับเข้าไปในมิติ แล้วมองไปทางจีฝูเย่ “ท่านฝูเย่ท่านนี้ ยังมีอาวุธที่สามารถสู้ได้อีกหรือไม่?”
สำหรับซือถูรุ่ยเวลานี้ไหนเลยจะยังมองเห็นจีฝูเย่อยู่ในสายตาอีก เขาจึงออกคำสั่งทันที “เด็ก ๆ ลากตัวนักต้มตุ๋นผู้นี้ออกไป ตัดมือทั้งสองข้างแล้วโยนลงกระทะน้ำมันซะ!”
ส่วนจีฝูเย่ที่จะถูกซือถูรุ่ยจัดการอยู่รอมร่อแล้วนั้น ในหัวกลับเต็มไปด้วยการแสดงเมื่อครู่ของจี้จือฮวน
เขาตกตะลึงและยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ยินคำพูดของซือถูรุ่ยแม้แต่น้อย
แต่คนข้างกายเขาใช่พวกอ่อนแอที่ใดกัน อยากจับตัวจีฝูเย่ก็ต้องข้ามศพพวกเขาไปก่อน
“ซือถูรุ่ย คุณชายของข้าเดินทางมาไกล แต่เจ้ากลับหลงเชื่อพวกนอกรีตเหล่านี้ พวกเราไม่ใช่พวกอ่อนแอ หากเจ้ากล้าแตะต้องคุณชายของข้า เจ้าควรชั่งน้ำหนักให้ดีเสียก่อน คุณชายของข้ามีพี่น้องร่วมสาบานอยู่ทั่วทุกแคว้น เจ้าก็ลองแตะต้องเขาดู!” ซือเยียนตะโกนขึ้นด้วยความโมโห
คนเหล่านี้ต่างเชื่อว่าพวกเผยยวนต่างหากที่เป็นจีฝูเย่ตัวจริงมาตั้งนานแล้ว ไหนเลยยังจะใส่ใจคำพูดของซือเยียนอีก
“พอเถอะ สู้เขาไม่ได้ยังจะแสดงละครต่ออีกหรือ?”
“แพ้หลุดลุ่ยจนไม่เหลือแม้แต่กางเกงในอยู่แล้ว ยังจะมาแสดงละครอะไรกันอีก?”
ทว่าจีฝูเย่ตัวจริงกลับยังคงกุมศีรษะอยู่ “แพ้แล้ว เสียแรงที่ข้าอวดตัวว่าเก่งกาจ ความจริงแล้วก็เป็นแต่เศษสวะที่พอใจกับอะไรเดิม ๆ ก็เท่านั้น!”
เอ่ยจบ เขาก็ผลักซือถูรุ่ยที่ขวางตรงหน้าออก แววตาลุกโชนราวกับไฟ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเผยยวน
ทุกคนมองดูเขาที่รนหาที่ตาย ส่วนคนข้างกายของจีฝูเย่ก็กำลังปกป้องเขาให้ออกห่างจากฝูงชน
“คุณชาย พวกเรารีบไปกันก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ ที่นี่อันตรายมากนะเจ้าคะ”
จีฝูเย่กลับไม่สนใจ เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าเผยยวน ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าแพ้แล้วจริง ๆ ทั้งชีวิตนี้ข้าเอาแต่ตามหาวิธีการหลอม ทั้งยังอวดอ้างไปทั่วว่าตัวเองไร้พ่าย ไร้คู่ต่อสู้ แต่บัดนี้เมื่อได้มาพบท่านจึงได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ข้าต่างหากที่เป็นกบก้นบ่อ*ตัวนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านต่างหากที่เป็นพ่อค้าอาวุธอันดับหนึ่งในใต้หล้า และข้าไม่คู่ควร!”
เผยยวนได้ยินก็ตกตะลึง พวกเยว่พั่วหลัวเองก็เช่นกัน
“คนผู้นี้คงเสียสติไปแล้วกระมัง?”
เย่จิ่งฝูทอดถอนใจออกมา “พวกเจ้าไม่เข้าใจ คนที่ไล่ตามจุดสูงสุดในด้านนั้น ๆ เมื่อพบคนที่เก่งกว่า พวกเขาจะไม่อิจฉา มีแต่อยากจะเรียนรู้ด้วยเท่านั้น”
นางเองก็เคยคิดว่าตระกูลหมอเทวดามีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วไม่ใช่หรือ?
ทว่าเมื่อพบจี้จือฮวนจึงได้รู้ว่ายังสามารถรักษาคนเช่นนั้นได้ด้วย!
แต่อาศัยแค่ชื่อเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ มีประโยชน์อันใดกัน พวกเขานับถือแค่คนที่มีความสามารถจริง ๆ เท่านั้น!
จีฝูเย่เอ่ยจบก็พบว่าเผยยวนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด ๆ ทว่าความจริงแล้วเผยยวนเพียงไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังทำอยู่เท่านั้น
สุดท้ายจีฝูเย่ก็สะบัดชายเสื้อคลุมและคุกเข่าให้กับเผยยวน “ท่านอาจารย์ที่เคารพ ได้โปรดรับการคารวะจากศิษย์ด้วย”
“…”
“!!!”
พวกเผยยวนต่างก็ตกตะลึง เอ่อ…แบบนี้ก็ได้หรือ!
ส่วนพวกซือถูรุ่ยกลับมีความคิดที่ต่างออกไป
นักต้มตุ๋นสมัยนี้ หน้าหนาเพียงนี้เชียวหรือ! ถูกคนเปิดโปงแล้ว ยังจะมากราบคนเขาเป็นอาจารย์อีก!
กลุ่มคนที่ติดตามจีฝูเย่ต่างมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความภักดีอย่างมาก จึงคุกเข่าตามเจ้านายทันที
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่เป็นศิษย์เองที่มีตาหามีแววไม่ บัดนี้ขอเพียงอาจารย์ยอมรับศิษย์ไว้ข้างกาย ศิษย์ที่แสวงหาวิธีการสร้างอาวุธที่ประณีตมาชั่วชีวิต ไม่มีทางทำให้อาจารย์ขายหน้าแน่นอนขอรับ!”
ข้าไม่กังวลว่าจะต้องอับอายผู้คน แต่ปัญหาก็คือ ข้าก็ไม่มีอะไรจะสอนเจ้าเหมือนกันพี่ชาย
เผยยวนหันไปมองทางจี้จือฮวนโดยไม่รู้ตัว
ก่อนจะเห็นว่านางกำลังเดินมาหา พร้อมกับโค้งคำนับแล้วพูดว่า “คุณชายเจ้าคะ ข้าว่าเขาจริงใจมากทีเดียว และนับว่าเป็นคนมีพรสวรรค์ รับไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนะเจ้าคะ”
ยิ่งไปกว่านั้นเขายอมกราบอาจารย์ ก็เท่ากับว่าเป็นคนของพวกเขาแล้ว ปัดเศษแล้วอย่างไรก็ไม่ขาดทุนแน่นอน!
จีฝูเย่ได้ยินดังนั้น ก็รีบเอ่ยด้วยความดีใจทันที “ศิษย์จะกตัญญูกับอาจารย์ ทำตามคำสั่งของอาจารย์อย่างเคร่งครัดขอรับ!”
ซือถูรุ่ยคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ด้วย แต่เขาจะไม่ถือสา เพราะการแสดงออกมาเมื่อครู่ของจี้จือฮวน ก็ได้ขจัดความสงสัยของเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว
ขอเพียงมีอาวุธที่วิเศษเช่นนั้นอยู่ในมือ จะสนใจทำไมว่าเขาจะใช่จีฝูเย่ตัวจริงหรือไม่! สามารถช่วยเขาได้ นั่นต่างหากเป็นคนที่เขาต้องการมากที่สุด!
ส่วนจะเป็นตัวปลอมหรือตัวจริง เขาไม่ได้จะผูกติดกับจีฝูเย่ไปตลอดชีวิตเสียหน่อย จะสำคัญอะไรกัน
พวกเขาจะพาตัวคนไปก็ย่อมได้
แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือทำให้จีฝูเย่ผู้นี้ ยอมทำการค้ากับเขาให้ได้เสียก่อน!
เผยยวนเองก็จนปัญญา จี้จือฮวนพูดขนาดนี้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “เรื่องกราบอาจารย์คงไม่ต้องแล้ว เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ”
จีฝูเย่อยากจะพูดว่าหากท่านไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ข้าก็ไม่ลุกขึ้น แต่ตอนนี้ยังอยู่ในงานเลี้ยง เขาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ
หลังจากเกิดความวุ่นวายเช่นนี้ ทุกคนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะดื่มกินกันต่ออีก จีฝูเย่ผู้นี้นับว่ามีความสามารถมากจริง ๆ และเป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้ ดังนั้นรีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า
ทุกคนจึงแยกย้ายกลับไปที่เรือน จีฝูเย่ก็เดินตามก้นมาต้อย ๆ เพื่อขอกราบอาจารย์ไม่ยอมเลิก
ทุกคนจึงปิดห้อง เริ่มหารือกันว่าต้องการรับคนอย่างจีฝูเย่หรือไม่