บทที่ 385 เถ้าแก่เนี้ยเซี่ยและลูกพี่ลูกน้องเป็นเพื่อนเก่ากัน
บทที่ 385 เถ้าแก่เนี้ยเซี่ยและลูกพี่ลูกน้องเป็นเพื่อนเก่ากัน
เผ่ยเยว่ระงับความรู้สึกแปลกใจไว้แล้วตอบว่า “คุณนายฉีเป็นป้าของฉันน่ะค่ะ ขอถามได้ไหมคะว่าคุณเป็นใคร?”
หญิงสาวยิ้มกลับแล้วพูดว่า “ฉันชื่อเซี่ยจื่ออี้ค่ะ พ่อของฉันทำงานที่ศาลากลาง รวมถึงอาศัยอยู่ในชุมชนนี้ด้วยน่ะค่ะ”
แววตาของเผ่ยเยว่ฉายแววลึกซึ้งออกมาพร้อมยกยิ้ม “สวัสดีค่ะ ฉันเผ่ยเยว่นะคะ”
เซี่ยจื่ออี้ชี้ไปยังสัมภาระของเผ่ยเยว่พลางถามว่า “คุณจะออกไปข้างนอกเหรอคะ?”
เผ่ยเยว่พยักหน้า “ค่ะ ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นรอบ ๆ น่ะ”
เซี่ยจื่ออี้ยิ้ม “พอดีเลย ฉันเองก็กำลังจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน ถ้าไม่รังเกียจ ไปด้วยกันไหมคะ?”
ก่อนอธิบายต่อ “อย่าเข้าใจฉันผิดนะคะ ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตั้งแต่แรกเห็น ฉันก็รู้สึกคุ้นเคยกับคุณเหมือนกับว่ารู้จักกันมานาน ดังนั้นจึงถือโอกาสถามคุณน่ะค่ะ”
เผ่ยเยว่รู้สึกประหลาดใจระคนดีใจไม่น้อย ราวกับเป็นหญิงสาวที่ไม่คุ้นเคยกับโลกวุ่นวายนี้ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ? ฉันยินดี ทั้งยังทนรอไม่ไหวแล้วด้วย”
เธอเกาหัวอย่างเคอะเขิน “จริง ๆ แล้ว ฉันเองก็คิดว่าพี่สาวดูใจดีเป็นพิเศษตั้งแต่แรกเห็นเหมือนกันค่ะ!”
เธอจับมือของเซี่ยจื่ออี้ราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน ”พูดกันตามตรงนะคะ ฉันเพิ่งมาที่นี่เมื่อวานนี้เอง และฉันก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้เท่าไหร่ สวรรค์ช่างเมตตาจริงๆ เพียงออกจากบ้านมาก็มอบเพื่อนมาให้ฉันหนึ่งคนแล้ว!”
มุมปากของเซี่ยจื่ออี้ยกขึ้นยิ้มเยาะเพียงชั่วประเดี๋ยว ก่อนจะกลายเป็นยิ้มอ่อนโยนเหมือนพี่สาวคนโต “นี่อาจเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าโชคชะตาก็ได้”
ทั้งสองที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก จึงควงแขนกันออกไปเดินเล่นซื้อของ
เซี่ยจื่ออี้ถามเผ่ยเยว่ถึงตระกูลเผ่ยและตระกูลฉีในลักษณะที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจถาม และเผ่ยเยว่นั้นก็ดูไร้เดียงสาจริง ๆ หญิงสาวบอกเล่าทุกอย่างพร้อมหัวเราะเบา ๆ เว้นไว้เพียงเรื่องของเธอและฉีจิ่นจือ
เมื่อมองดูรอยยิ้มราวกับพระจันทร์เสี้ยวของเผ่ยเยว่ เซี่ยจื่ออี้พลันมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่อาจอธิบายได้ต่อหญิงสาวตรงหน้าที่พูดคุยราวกับไม่มีอะไรเก็บไว้เลย
สายตาเซี่ยจื่ออี้เหลือบไปเห็นป้ายสะดุดตาของร้านยามต้องมนต์ตรงหน้า เธอจึงทำได้เพียงวางความคิดลงแล้วพูดว่า “ใกล้จะถึงวันตรุษจีนแล้ว เธออยากจะเตรียมเสื้อผ้าใหม่ ๆ ไว้หน่อยไหม?”
เผ่ยเยว่มองดูร้านขายเสื้อผ้าทั้งสองฝั่งถนนแล้วตอบว่า “ค่ะ”
หญิงสาวเงียบลงครู่หนึ่ง “เพียงแต่ฉันคิดว่าเสื้อผ้าพวกนี้ค่อนข้างธรรมดาไปหน่อยน่ะ”
ด้วยความที่เห็นเสื้อผ้าที่มียี่ห้อหรูของต่างประเทศมาเสียจนเจนตา แม้แต่เสื้อผ้าของหลินไห่ก็ยังยากที่จะดึงดูดสายตาเผ่ยเยว่ได้
เซี่ยจื่ออี้ชี้ไปด้านหน้า “นี่ ข้างหน้าดูเหมือนจะมีร้านเปิดใหม่นะ ดูดีทีเดียว”
ทิศทางที่เซี่ยจื่ออี้ชี้ไปคือร้านยามต้องมนต์
เผ่ยเยว่มองตามไป ก่อนที่ความประหลาดใจจะปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ “ไปสิ ไปดูกัน”
….
เซี่ยชิงหยวนซึ่งมีท่าทีอ่อนเพลียนั่งอยู่ที่โต๊ะคิดเงินในร้านยามต้องมนต์ พร้อมยกยิ้มและพยักหน้าให้กับลูกค้าที่เข้ามาในร้านเป็นครั้งคราว
เพียงพริบตาตอนนี้ก็เข้าสู่กลางเดือนมกราคมแล้ว อีกราว ๆ สิบวันก็จะเป็นวันตรุษจีน
ร้านยามต้องมนต์ถือโอกาสเปิดร้านล่วงหน้าประมาณหนึ่งเดือนก่อนตรุษจีน เพื่อใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ผู้คนมักซื้อเสื้อผ้าใหม่สำหรับวันตรุษจีนกัน
นอกจากนี้ เซี่ยชิงหยวนและเหล่าไต้ยังประยุกต์ใช้ประสบการณ์และความสร้างสรรค์ของพวกเขาอย่างเต็มที่ โดยซื้อเสื้อผ้าคุณภาพสูงตามกระแสมาเป็นจำนวนมาก
อีกทั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายยังเปลี่ยนจากลูกค้าผู้หญิงมาเป็นลูกค้าผู้หญิงเป็นหลักและเสริมด้วยลูกค้าผู้ชาย ทั้งยังขยายกลุ่มลูกค้าผู้หญิงให้ครอบคลุมไปถึงหญิงสูงวัยที่มักจะมากับลูกสาวหรือลูกสะใภ้
โดยปกติแล้วผู้ชายจะไม่มาซื้อเสื้อผ้าด้วยตัวเอง แต่จะเป็นเหล่าภรรยาที่มาซื้อให้
ไม่ต้องพูดถึงคนที่มีหน้ามีตา แม้แต่ครอบครัวของคนทำงานในบริษัทหรือแม้แต่ในโรงงานเองต่างก็ต้องการแต่งตัวให้สามีของตัวเองดูดีสักหน่อยก่อนออกจากบ้าน ยังไงเสียก็เป็นหน้าเป็นตาให้แก่ตัวเองไม่ใช่เหรอ?
เกือบหนึ่งเดือนหลังจากการเปิดร้านยามต้องมนต์ เซี่ยชิงหยวนแทบไม่เบื่อหน่ายกับการหาเงินเลย
เธอแตะหน้าท้องที่แบน แต่หนาขึ้นเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ อาจเป็นเพราะเด็ก ๆ สองคนนี้กำลังเล่นซนกันเสียจนไม่เบื่อที่จะหาเงินแล้ว
ตอนนี้อายุครรภ์ของเธอสองเดือนกว่าแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่หนักที่สุดของการแพ้ท้อง
เซี่ยชิงหยวนมักจะอาเจียนออกมาหลังจากกินอาหารไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงบ้วนปากอย่างใจเย็น ก่อนจะกินต่อ
เด็ก ๆ ต้องการสารอาหาร เธอไม่กินไม่ได้
โชคดีที่มีแพทย์โภชนาการปรับสูตรอาหารของเธอทุกวัน และนอกจากป้าอู๋แล้ว ทั้งหลินตงซิ่วและเสิ่นอี้โจวต่างก็ฝึกทำขนมของว่างต่าง ๆ เผื่อเวลาที่เธออยากกินขึ้นมาจะได้ทำให้ได้
เสียงกระดิ่งลมที่แขวนอยู่ที่ประตูดังขึ้นเมื่อลูกค้าอีกสองคนเข้ามาในร้าน
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวทักทาย “ยินดีต้อนรับสู่…”
ทันทีที่เห็นผู้มาเยือน รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอพลันแข็งค้าง
ใครกันจะคาดคิดว่าเป็นเซี่ยจื่ออี้ที่มาพร้อมหญิงสาวไม่คุ้นหน้าล่ะ
ตอนนี้ยังมีผู้หญิงดี ๆ จากครอบครัวดี ๆ ที่ยินดีจะคบค้าสมาคมกับเซี่ยจื่ออี้ด้วยเหรอ?
สีหน้าของเซี่ยจื่ออี้นั้นไร้อารมณ์ หล่อนมองเธอด้วยท่าทีที่มีนัยลึกซึ้งแบบที่ทำให้คนอื่นกลัวจนตัวสั่น
ในทางกลับกัน ผู้หญิงที่อยู่ข้างหล่อนกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เซี่ยชิงหยวน “สวัสดีค่ะ เถ้าแก่เนี้ย!”
มีคำกล่าวที่ว่าง้างมือไม่ตบผู้ยิ้มตอบ เซี่ยชิงหยวนจึงยิ้มกลับ “สวัสดีค่ะ! มาซื้อเสื้อผ้าใช่ไหมคะ? พอดีเลย ที่ร้านพึ่งได้เสื้อผ้าใหม่ ๆ มาเมื่อไม่กี่วันก่อน ยังไงลองดูก่อนไหมคะ?”
หลังพูดจบ หญิงสาวลุกขึ้นยืน แล้วพาเผ่ยเยว่ไปดูเสื้อผ้า
ส่วนเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยชิงหยวนทำราวกับว่ามองไม่เห็นหล่อนเลย
ถ้าหล่อนอยากจะบ้าก็ปล่อยให้ทำไป เธอขี้เกียจจะเข้าไปยุ่ง
เซี่ยจื่ออี้เองก็ดูไม่ได้สนใจ ดวงตาว่างเปล่า ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ถึงเดินตามมาด้วย
เผ่ยเยว่มองดูการตกแต่งภายในร้าน จากนั้นมองดูเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ ดวงตาของเธอพลันเป็นประกาย
หญิงสาวอุทานว่า “เถ้าแก่เนี้ย ร้านของคุณตกแต่งได้สวยงามมากเลยค่ะ”
ก่อนจะวาดแขนออก “เมื่อครู่ฉันดูบนถนนทั้งเส้นมาแล้วก็ไม่มีร้านไหนจะดีเท่าร้านคุณเลย”
เธอแตะเสื้อผ้าบนราวที่อยู่ตรงหน้าเบา ๆ และยกนิ้วให้เซี่ยชิงหยวน “เสื้อผ้าพวกนี้ก็ทันสมัยและมีคุณภาพดีด้วย”
เพื่อตอบสนองต่อคำชมอย่างไม่หยุดยั้งของเผ่ยเยว่ เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้น “การที่คุณชอบ ถือเป็นเกียรติมากสำหรับฉันค่ะ”
แม้ว่าหญิงสาวจะมาพร้อมกับเซี่ยจื่ออี้ แต่ใครก็ตามที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวย่อมมีความสุข
อีกทั้งดวงตาของเผ่ยเยว่ก็สว่างสดใส เธอไม่รู้สึกเลยว่าหญิงสาวกล่าวชมเชยเพื่อประจบประแจง
เผ่ยเยว่หัวเราะเบา ๆ พลางเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น “เถ้าแก่เนี้ยเองก็ดูดีเช่นกัน งดงามราวกับเทพเซียนเลยค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “พอคุณพูดแบบนี้ ฉันก็ค่อนข้างสงสัยนะคะเนี่ยว่ามีคนเตรียมคุณมา เพื่อทำให้ฉันมีความสุขหรือเปล่านะ”
เผ่ยเยว่หัวเราะตาม “แน่นอนว่าไม่มีค่ะ คำพูดของฉันล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น”
ลูกค้าที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ข้าง ๆ ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ถูกต้องแล้วค่ะ เถ้าแก่เนี้ยก็เหมือนของในร้านตัวเองนั่นแหละ สวยสุดยอดเลย!”
เซี่ยจื่ออี้เห็นดังนั้นจึงกระแอมไอออกมาเบา ๆ แล้วพูดกับเผ่ยเยว่ว่า “ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าอยากดูเสื้อผ้าหรอกเหรอ? มีตัวไหนที่ถูกใจแล้วรึยัง?”
เผ่ยเยว่นึกถึงความตั้งใจเดิมของเธอขึ้นมา และตอบว่า “อยากได้สิ อยากได้”
ก่อนจะหันไปหาเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง แล้วพูดว่า “เถ้าแก่เนี้ย เดี๋ยวฉันขอถ่ายรูปร้านของคุณหน่อยได้ไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ได้แน่นอนค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนตกลงอย่างรวดเร็ว เผ่ยเยว่จึงอิ่มเอมด้วยความสุขอย่างที่สุด “ขอบคุณค่ะ เถ้าแก่เนี้ย”
ขณะเดียวกัน เซี่ยจื่ออี้ก็หยิบชุดลายพุทราสีแดงขึ้นมาทาบบนร่างกายของเผ่ยเยว่พลางเอ่ย “คราวนี้เธอก็ตั้งใจเลือกชุดสวย ๆ สักสองสามชุดนะ เวลาที่คนอื่นมองมาจะได้ละสายตาไม่ได้”
เธอมองไปที่เซี่ยชิงหยวนอีกครั้งและพูดว่า “ฉันนี่แย่จริงๆ ลืมแนะนำพวกคุณไปเลย”
เธอดึงเผ่ยเยว่มา “นี่คือหลานสาวของคุณนายเผ่ยน่ะค่ะ” ก่อนจะชี้ไปยังเซี่ยชิงหยวน “ส่วนนี่คือภรรยาของเลขาธิการเสิ่นที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง”
เมื่อเซี่ยจื่ออี้เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา คนที่ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวต่างมองไปยังเซี่ยชิงหยวน
น่าแปลกที่พวกเธอไม่รู้ว่าร้านนี้เป็นของภรรยาของเลขาธิการเสิ่น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านถึงหรูหราขนาดนี้!
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจการล้อเล่นที่แฝงเจตนาร้ายของเซี่ยจื่ออี้ เธอยกยิ้มให้เผ่ยเยว่ “สวัสดีค่ะ ฉันเซี่ยชิงหยวนค่ะ”
เผ่ยเยว่รีบยื่นมือออกมา “ฉันเผ่ยเยว่ เรียกฉันว่าเสี่ยวเยว่ก็ได้ค่ะ”
พอเซี่ยจื่ออี้เห็นว่าทั้งสองทักทายกันด้วยท่าทีเป็นมิตร จึงพูดกับเผ่ยเยว่เบา ๆ ว่า “จริงสิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธออาจยังไม่รู้ ลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนั้นสนิทกับครอบครัวของเลขาธิการเสิ่นมากทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณนายเสิ่น ทั้งสองคนเป็นเพื่อนเก่ากันน่ะ”
เซี่ยชิงหยวน “…”
ในใจของเธอกำลังก่นด่าสาปแช่งเซี่ยจื่ออี้
เผ่ยเยว่ดูประหลาดใจ “เถ้าแก่เนี้ยเซี่ย คุณรู้จักลูกพี่ลูกน้องของฉันด้วยเหรอคะ?”