บทที่ 394 ศิษย์พี่
บทที่ 394 ศิษย์พี่
คืนนี้ปี่เหลาซานดื่มเหล้า และการได้เห็นฉีจิ่นจือทำให้เขาคิดถึงอดีตอีกครั้ง
เขามองดูคนสองคนที่ค่อย ๆ กลมกลืนกันในยามค่ำคืนและพูดว่า “ฉันน่าจะยังไม่เคยเล่าให้เธอฟังว่าก่อนที่ฉันจะมีฟู่หมาน ฉันเคยมีศิษย์คนหนึ่งมาก่อนใช่ไหม?”
เซี่ยซิงหยวนสะดุ้ง “ไม่ค่ะ”
แม้แต่เมื่อชีวิตก่อน เซี่ยชิงหยวนรู้เพียงเกี่ยวกับการมีอยู่ของปี่ฟู่หมานเท่านั้น สำหรับศิษย์คนอื่น ๆ เธอไม่เคยได้ยินปี่เหลาซานพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ปี่เหลาซานพูดต่อว่า “ก่อนหน้าเธอกับฟู่หมาน ฉันได้อุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นมาจากหลุมศพแม่ของเขาที่เสียชีวิตในตอนนั้น เด็กคนนั้นเขาลากแม่ของตัวเองไปที่สุสานเพียงลำพัง ใช้กิ่งไม้และมือเปล่าขุดหลุมให้เธอ”
“เขาอายุแค่เจ็ดขวบ นิ้วของเขาถลอกและมีเลือดเต็มไปหมด แต่เขาทนได้โดยไม่พูดบ่นอะไรสักคำ”
ในยุคนั้นมีคนจำนวนมากเสียชีวิตทุกวัน ดังนั้นตามหลักตรรกะแล้วปี่เหลาซานจึงชินกับการตายของผู้คน
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นมือของเด็กคนนั้นที่เต็มไปด้วยเลือดและดวงตาที่ราวกับสัตว์ร้ายตัวน้อย เขาก็รู้สึกสงสาร
เขาจึงช่วยเด็กคนนั้นฝังศพผู้เป็นแม่
จากนั้นเขาถามเด็กคนนั้นว่าจะติดตามเขาไปไหม เด็กชายตอบอย่างแน่วแน่ “ตั้งแต่นี้ไปชีวิตของผมจะเป็นของคุณ”
เขาไม่รู้ว่าเด็กชายผ่านอะไรมาบ้าง ในยุคที่เด็กคนอื่น ๆ ยังซ่อนตัวอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่ เด็กชายคนนี้กลับมีแววตาท่าทางที่ทั้งเหงาและเด็ดเดี่ยว
เซี่ยชิงหยวนตั้งใจฟัง “แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อไปคะอาจารย์?”
ในเวลานี้ปี่ฟู่หมานขัดจังหวะความคิดของปี่เหลาซาน “อย่าถามว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไปสิ ไม่งั้นคุณจะทำให้ตาเฒ่าร้องไห้นะ”
ในอดีต เมื่อใดก็ตามที่ปี่เหลาซานเมา เขาจะกอดปี่ฟู่หมานและพูดคุยเกี่ยวกับลูกศิษย์คนแรก หลังจากนั้นจะร้องไห้และบอกว่าเสียใจมาโดยตลอด
ปี่ฟู่หมานยังรู้ด้วยว่าเหตุผลจริง ๆ ที่ปี่เหลาซานเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อทำธุรกิจหยกนั้นแท้จริงแล้วคือแค่อยากตามหาเด็กชายคนนั้น
แค่ไม่กี่ปีมานี้เองที่สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น
ปี่ฟู่หมานช่วยพยุงปี่เหลาซาน “มาเถอะ ผมจะช่วยพาไปพักผ่อน”
คืนนี้เขาไม่ได้ดื่มมากนัก เขาแค่เมานิดหน่อยเอง
ปี่ฟู่หมานไม่สนใจคำปฏิเสธมากนัก “ถ้าผมบอกว่าคุณเมา มันก็คือคุณเมา ดูสิหน้าคุณแดงหมดแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนยังพูดเสริมอีกว่า “อาจารย์กับฟู่หมานเดินทางมาไกลย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา เข้านอนเร็ว ๆ ก็ดีนะคะ รอพรุ่งนี้ฉันจะพาไปเดินเล่น”
เมื่อถูกรบเร้าโดยศิษย์ทั้งสองคน ปี่เหล่าซานก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปก่อนจะเรอแล้วพูดว่า “ก็ได้”
ปี่ฟู่หมานถามเซี่ยชิงหยวน “เอ่อ…ศิษย์พี่หญิง… ห้องของผมและห้องของอาจารย์อยู่ไหนล่ะ?”
แม้จะลังเลแค่ไหนก็ยังต้องเรียกให้ถูกเมื่อถึงเวลาต้องเรียก ก็ใครบอกให้เขาเป็นเด็กล่ะ?
เซี่ยชิงหยวนรีบนำทาง “ทางนี้ๆ ตามพี่มา”
หลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินนอนอยู่ห้องชั้นล่าง และตอนนี้เหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้นที่ชั้นบน
เธอเตรียมห้องให้ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานไว้แล้ว “นอนข้างนอกไม่ค่อยสบายหรอก นอนที่บ้านสบายกว่าอยู่แล้ว”
เขาต้องยอมรับว่าสิ่งที่ศิษย์พี่หญิงคนนี้พูดมันฟังสบายหูจริง ๆ
น้ำเสียงมีความอ่อนโยน ไม่มีความเสแสร้งหรือด้านลบใด ๆ เลย
เขาช่วยปี่เหลาซานเข้าไปในห้อง ลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วพูดกับเซี่ยชิงหยวน “เอาละศิษย์พี่หญิง คุณก็ควรเข้านอนได้แล้วและดูแลร่างกายของคุณด้วยล่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างเปี่ยมความสุข “ศิษย์น้องของฉัน เติบโตขึ้นมากจริง ๆ”
เมื่อปี่ฟู่หมานได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกจั๊กจี้ไปทั่วทั้งตัว
เขาแสร้งทำเป็นไม่สนใจ แยกเขี้ยวฟันแล้วพูดว่า “ผมว่าแล้ว ผมดีกับคุณเกินไปไม่ได้เลยแฮะ!”
หลังจากพูดอย่างนั้น ปลายหูของเขาก็เริ่มแดงเรื่อย ๆ และพูดว่า “พวกเราจะเข้าไปพักผ่อนแล้ว”
จากนั้นก็ปิดประตูห้องทันที
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวพลางหัวเราะ และหันหลังกลับลงไปชั้นล่าง
โดยบังเอิญมันเป็นเวลาเดียวกับที่เสิ่นอี้โจวกลับมาจากการออกไปส่งฉีจิ่นจือพอดี
เสิ่นอี้โจวถามขึ้น “อาจารย์กับฟู่หมานเข้านอนแล้วเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อื้ม พวกเขานั่งแต่ในรถมาสองวันแล้ว คงเหนื่อยไม่น้อยเลยน่ะ”
เสิ่นอี้โจวดึงเธอไปนั่งที่โซฟา “ผมเคยได้ยินคุณพูดถึงอาจารย์มานานแล้ว ตอนนี้ในที่สุดผมก็มีโอกาสได้เจอสักที”
เซี่ยชิงหยวนขยับเข้าใกล้แขนของเขามากขึ้นและพูดว่า “ครั้งก่อนฉันเองก็อยากจะแนะนำเขาให้คุณรู้จักอยู่นะ แต่…ฉันรู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไป”
เสิ่นอี้โจวพูด “ไม่เป็นไร การได้เจอตอนนี้ก็เหมือนกัน”
เขาลูบผมของเธอ “อาจารย์รักคุณมากเลย”
ถึงขั้นหาสมุนไพรมาให้เขาและปกป้องเซี่ยชิงหยวนแบบนั้น
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องปกติ”
เมื่อตอนที่เธอได้พบกับอาจารย์ชีวิตก่อนหน้านี้
เธอเป็นศิษย์คนเดียวที่เหลืออยู่ และเขาก็ใจดีกับเธอมาก
แม้ตอนนี้ปี่ฟู่หมานยังอยู่ด้วย แต่ความจริงใจของปี่เหลาซานที่มีต่อเธอก็ยังคงเหมือนเดิม
เซี่ยชิงหยวนจำสิ่งที่ปี่เหลาซานเพิ่งพูดเกี่ยวกับศิษย์คนโตของเขาได้ และถามเสิ่นอี้โจว “คุณเคยได้ยินไหมว่าอาจารย์มีศิษย์อีกคน?”
สิ่งที่เธอถามหมายถึงชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอ
เสิ่นอี้โจวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่นะ”
เขางงงวย “ทำไมจู่ ๆ คุณถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนกระซิบกับเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับศิษย์พี่ของเธอคนนั้น “ฉันเองก็ไม่เคยเจอน่ะสิ”
เธอพูดว่า “คงจะดีถ้าคุณสามารถช่วยหาใครสักคนให้ช่วยหาเขา”
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้ว “แม้จะเป็นในยุคอนาคตหลังจากนี้เหมือนเมื่อชาติที่แล้ว คงจะยากที่จะหาเขาพบ ดังนั้นถ้าให้พูดถึงตอนนี้มันยากมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นแม้มันผ่านมาสิบสองปีแล้ว เขาก็น่าจะมีความทรงจำอยู่บางนะ”
ถ้าเป็นคนที่มีจิตสำนึก ยังมีชีวิตอยู่ และอยากเจอปี่เหลาซาน ศิษย์คนนั้นจะต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามหาปี่เหลาซานอย่างแน่นอน แต่ถ้าศิษย์คนนั้นไม่อยากพบปี่เหลาซานแล้วจริง ๆ ต่อให้หาพบมันก็ไร้ประโยชน์
หรือเป็นอีกกรณีคือถ้าหาพบจริง แต่อาจพบว่าถูกลักพาตัวและถูกขายไปในที่มืดและไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้วก็ได้
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกไม่สบายใจ
เสิ่นอี้โจวลูบศีรษะเธอ “ตอนนี้คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นยไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้หรอก เอาไว้เมื่อคุณมีเวลาและมีโอกาสดีๆ คุณค่อยถามอาจารย์ได้ว่าเด็กชายมีลักษณะไหนที่สังเกตได้ง่ายไหม แล้วผมจะจัดการเรื่องวิธีแก้ปัญหาเอง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็เปลี่ยนไปอีกครั้งเป็นยิ้มกว้าง “อี้โจว ขอบคุณนะ”
เสิ่นอี้โจวก็ยิ้มเช่นกัน “ธุระของอาจารย์นับว่าเป็นธุระของเราอยู่แล้ว”
ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง พวกเขาจะต้องหาคำตอบต่อไปหรือจะยุติเรื่องนี้ลง
…
อารมณ์ที่กำลังดีๆ ของฉีจิ่นจือหายไปเมื่อเขาเห็นร่างหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ที่ประตูหอพักของหน่วย เขาสงบลงและถามเบา ๆ “มาทำอะไรที่นี่?”