บทที่ 403 ศิษย์พี่ใหญ่หลงหายไปในวันส่งท้ายปีเก่า
บทที่ 403 ศิษย์พี่ใหญ่หลงหายไปในวันส่งท้ายปีเก่า
เซี่ยชิงหยวนหันมองไป
พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเดินกะเผลกตรงเขามาหาพวกเขา
ผู้หญิงคนนี้ผมสั้นราว ๆ ติ่งหู ดวงตาและคิ้วงดงามละเอียดอ่อน มีชีวิตชีวา รวมถึงความมั่นใจที่หาได้ยากยิ่งในหมู่เด็กสาว โดยเฉพาะเวลายิ้ม รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าดึงดูด
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสิ่นอี้โจว
พบว่าเขาพยักหน้าให้ผู้มาเยือน สีหน้าของเขาเรียบเฉย “เสี่ยวตง”
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็คือผู้หญิงมากความสามารถที่เล่าลือกันสินะ
ตงวั่งชุนมองเซี่ยชิงหยวนตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ดวงตาของเด็กสาวฉายแววประหลาดใจพลางยกยิ้ม “คุณนายเสิ่น สวัสดีค่ะ”
รอยยิ้มนั้นเป็นมิตร ทั้งยังไม่ต่ำต้อยไม่สูงส่ง
เซี่ยชิงหยวนเองก็ส่งยิ้มกลับไปและตอบว่า “สวัสดีค่ะ ขอถามได้ไหมว่าคุณเป็นใคร?”
หลังจากที่เสิ่นอี้โจวเรียกเด็กสาวว่า ‘เสี่ยวตง’ ออกมา เธอก็ยังคงแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
เสิ่นอี้โจวกลั้นรอยยิ้มของเขา พลางดึงตัวภรรยามาโอบไว้ “นี่คือผู้ช่วยคนใหม่ของสำนักเลขาธิการน่ะ ตงวั่งชุน”
เซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นว่าเมื่อเสิ่นอี้โจวแนะนำตงวั่งชุน สีหน้าของเธอก็พลันแข็งค้างอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชื่อของเธอ หรือเพราะวิธีการแนะนำที่เป็นกันเองของเสิ่นอี้โจวกันแน่
แน่นอนว่าตงวั่งชุนยกยิ้มให้เซี่ยชิงหยวน “คุณนายเสิ่น เรียกฉันว่าเสี่ยวชุนก็ได้ค่ะ”
ชื่อนั้นพ่อแม่เป็นผู้ตั้งให้ เซี่ยชิงหยวนย่อมไม่มาอคติด้วยเหตุผลนี้ มีเพียงตงวั่งชุนเท่านั้นที่เป็นกังวลมากเกินไป
หญิงสาวยิ้มพลางเอ่ย “ฉันขอเรียกคุณว่าเสี่ยวตงตามอี้โจวแล้วกันค่ะ”
การเรียกด้วยแซ่หรือคำในชื่อนั้นแน่นอนว่ามีความแตกต่างกันอยู่
ตงวั่งชุนตกตะลึง ก่อนจะยกยิ้ม “เอาตามที่คุณนายเสิ่นชอบเลยค่ะ”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “พาภรรยามาตรวจครรภ์น่ะ”
เมื่อสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้ลงน้ำหนักไปเท้าเพื่อประคองตัวเอง เขาจึงถามว่า “เสี่ยวหวังพาคุณมาหาหมอเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เขาและตงวั่งชุนช่วยกันเพื่อช่วยเด็กที่เกือบจะตกลงไปในน้ำ ส่งผลให้ขาของเธอได้รับบาดเจ็บ
ทั้งในแง่ของความรู้สึกและเหตุผล เขาในฐานะหัวหน้าก็ควรแสดงออกถึงความห่วงใยไม่มากก็น้อย
ท่าทางของตงวั่งชุนดูซาบซึ้งอย่างยิ่ง ”ขอบคุณเลขาธิการเสิ่นที่เป็นห่วงค่ะ เพิ่งตรวจเสร็จเมื่อครู่เองค่ะ เธอไปรับยาให้ฉัน ฉันจึงออกมารอเธอข้างนอกน่ะค่ะ”
เสี่ยวหวังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เสิ่นอี้โจวจัดแจงให้พาตงวั่งชุนมาหาหมอ
ในตอนนั้นเอง คนขับรถของตระกูลก็ขับรถมาจอดที่ด้านหลังของพวกเขาพอดี
เสิ่นอี้โจวโอบเอวของเซี่ยชิงหยวน พร้อมใช้ฝ่ามือใหญ่ของเขาประคองเธอไว้ให้มั่น แล้วเอ่ยว่า “กลับไปก็พักฟื้นให้ดีนะ ผมกับภรรยาขอตัวกลับก่อน”
หลังเอ่ยจบ เขาก็จากไปพร้อมเซี่ยชิงหยวนท่ามกลางสายตาคาดหวังของตงวั่งชุน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าให้เธอพลางยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะอิงแอบไปอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว
แสงในดวงตาของตงวั่งชุนวูบลงขณะที่ทั้งสองห่างออกไป
เด็กสาวคิดว่าการที่ตนได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ เสิ่นอี้โจวจะถือโอกาสนี้ไปส่งเธอเสียอีก
ในตอนที่เสี่ยวหวังออกมาจากโรงพยาบาลก็ทันเห็นท้ายรถของเสิ่นอี้โจวพอดี
เธอเก็บยาลงในกระเป๋าแล้วถามว่า “เลขาธิการเสิ่นก็มาโรงพยาบาลเหมือนกันเหรอ?”
ตงวั่งชุนปรับสีหน้า ก่อนจะยกยิ้ม “ใช่แล้ว เลขาธิการเสิ่นมาที่นี่พร้อมกับคุณนายเสิ่นน่ะ”
เสี่ยวหวังพยักหน้าอย่างไม่แปลกใจนัก แต่กลับมีความเสียใจอยู่เล็กน้อย “ฉันทำงานอยู่ที่ศาลากลางมานานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นภรรยาของเลขาธิการเสิ่นเลย
ได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างจากทุกคนว่าคุณนายเสิ่นเป็นคนสวยแบบหาตัวจับยาก”
เธอใช้ศอกกระแทกไปยังตงวั่งชุนเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม “สวยมากขนาดนั้นจริงรึเปล่า?”
ตงวั่งชุนนึกถึงรูปร่างที่ดูดีแม้ในขณะที่กำลังตั้งครรภ์ รวมถึงใบหน้าอันงดงามวิจิตรของเซี่ยชิงหยวน สีหน้าของเด็กสาวพลันเรียบเฉย “ก็นับว่าไม่เลว”
เสี่ยวหวังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ดูเหมือนว่าภรรยาเลขาธิการเสิ่นจะไม่ใช่คนสวยมากมายอะไรนักสินะ
แต่ก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก เธอเข้าไปช่วยประคองตงวั่งชุน แล้วพูดว่า “ให้ฉันไปส่งเธอที่หอพักก่อนหรือไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าล่ะ?”
ในศาลากลางประจำมณฑล ทุกคนต่างทราบดีว่าตงวั่งชุนถูกสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารับมาเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ต่อมาก็ได้รับเงินบริจาคจากผู้มีจิตเมตตา หลังจบจากมหาวิทยาลัย ก็มุ่งมั่นที่จะตอบแทนผู้อำนวยการและชุมชน จึงกลับมายังมณฑลอวิ๋น
และด้วยสาเหตุนี้ ทำให้ทุกคนล้วนแสดงความปรารถนาดีต่อเด็กสาว
นัยน์ตาของตงวั่งชุนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “กลับไปที่หอพักก่อนค่ะ”
จากนั้นจึงกล่าวเสริมว่า “ตอนนี้ฉันเจ็บขาอยู่จึงไม่อยากให้คุณแม่ผู้อำนวยการกังวลน่ะ”
เสี่ยวหวังไม่ได้ทำอะไร เพียงพยักหน้ารับ “ได้เลย”
….
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้าน หลินตงซิ่งกำลังทำความสะอาดพร้อมกับผู้ใหญ่อีกสองคนและเด็กหนุ่มอีกหนึ่งอยู่
เมื่อเห็นพวกเขากลับมา หลินตงซิ่งและปี่เหลาซานก็รีบวิ่งเข้ามาพร้อมเอ่ยถาม “ร่างกายของเธอปกติดีใช่ไหม?”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “หมอบอกว่าทั้งชิงหยวนและลูกสบายดีครับ”
หลินตงซิ่วลูบหน้าอกของตน “ดีแล้ว แบบนี้ก็ดีแล้ว”
เสิ่นอี้โจวช่วยประคองเซี่ยชิงหยวนให้นั่งลงบนโซฟาพร้อมปลดกระดุมข้อมือของตัวเอง “เดี๋ยวผมช่วยครับ”
ความปรารถนาแสดงให้เห็นในดวงตาของเซี่ยชิงหยวน “ฉันด้วยค่ะ”
เสิ่นอี้โจวอยากปฏิเสธขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อนึกได้ว่าคุณหมอฮวงบอกว่าในตอนนี้ร่างกายของผู้เป็นภรรยา รวมถึงลูกน้อยนั้นค่อนข้างมั่นคงแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องบังคับเธอแบบนั้น จึงยกยิ้มพลางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยคุณนะ”
จากนั้นทั้งครอบครัวจะเริ่มการทำความสะอาด
ด้วยเพราะเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ได้ไม่นานนัก อีกทั้งป้าอู๋เองก็คอยดูแลทำความสะอาดอย่างยิ่งยวด จึงส่งผลให้การทำความสะอาดในครั้งนี้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนต่อไปคือการติดภาพเทพเจ้าผู้พิทักษ์ประตู กลอนคู่มงคล และกระดาษแก้วตัดประดับหน้าต่าง
ภาพเทพเจ้าผู้พิทักษ์ประตูนั้นปี่เหลาซานเป็นคนเลือกในตอนที่เซี่ยชิงหยวนและเขาไปซื้อของด้วยกัน
เขากล่าวว่า “ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวชอบติดอักษรฝู หรือไม่ก็ไม่ติดอะไรเลย อาจารย์จะบอกเธอไว้นะว่าเป็นการดีกว่าที่จะยึดถือวัฒนธรรมดั้งเดิมของบรรพบุรุษของเรา ติดภาพเทพเจ้าผู้พิทักษ์ประตูไว้เพื่อปกป้องครอบครัวให้ปลอดภัย!”
ปี่เหลาซานเลือกเทพเจ้าผู้พิทักษ์ประตูบ้าน ซึ่งเก่าแก่ที่สุดมาสององค์ อันได้แก่ เทพเสินถูกับเทพยูไล ซึ่งมีความสง่างามและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
เสิ่นอี้โจวและปี่ฟู่หมานนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ จึงรับหน้าที่ติดภาพเทพเจ้าผู้พิทักษ์ประตูกันคนละภาพ ในขณะที่เซี่ยชิงหยวนและปี่เหลาซานยืนเคียงข้างกันเพื่อช่วยดูว่าภาพทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกันแล้วหรือไม่
การที่ครอบครัวแบ่งงานกันทำ ทำให้การเตรียมการสำหรับวันส่งท้ายปีเก่ามีชีวิตชีวามากขึ้น
เพียงแต่ในระหว่างที่เตรียมอาหารค่ำสำหรับวันส่งท้ายปีเก่า เซี่ยชิงหยวนพบว่าปี่เหลาซานยืนอยู่คนเดียวในลานบ้าน เขามองตรงไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าชายชรากำลังคิดอะไรอยู่
ปี่ฟู่หมานเดินมาข้างหลังเซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องไปสนใจเขาหรอกครับ เขาเป็นแบบนี้เสมอในช่วงเวลานี้ของปีน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนมองเขาด้วยความงุนงง “ทำไมล่ะ?”
ปี่ฟู่หมานแกล้งทำเป็นผู้สุขุมมากประสบการณ์แล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรายังมีศิษย์พี่ใหญ่อีกคนเหรอ? เขาคือคนที่หายไปในวันส่งท้ายปีเก่าน่ะ”