บทที่ 404 เพื่อนที่เล่นด้วยกันมาแต่ทรยศหักหลังกัน
บทที่ 404 เพื่อนที่เล่นด้วยกันมาแต่ทรยศหักหลังกัน
“หลงหายไปตอนวันส่งท้ายปีเหรอ?” นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนได้ยินเรื่องนี้
สีหน้าของปี่ฟู่หมานดูเหนื่อยอ่อนอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนัก “ตอนนั้นผมเองก็ยังเด็กอยู่ บางเรื่องก็จำไม่ได้แล้ว”
เขาเงียบลงครู่หนึ่ง พลางมองไปยังหลังที่ค่อมของปี่เหลาซาน แล้วพูดว่า “ดวงตาของอาจารย์ก็สูญเสียไปเพราะเหตุการณ์นี้เช่นกัน เมื่อก่อนอาจารย์มักจะพูดว่าตัวเองไม่ได้ปกป้องศิษย์พี่ใหญ่ให้ดี แต่ต่อมาก็ค่อย ๆ เลิกพูดถึงเรื่องนี้ไปในที่สุด”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย “เป็นแบบนี้เอง”
ปี่ฟู่หมานพยักหน้า “คุณอย่าไปพูดถึงเรื่องนี้กับอาจารย์อีกนะ ไม่อย่างนั้นแล้วอาจารย์จะเสียใจขึ้นมาอีกน่ะ”
ระหว่างคำว่า ‘ไม่เห็น’ และ ‘ไม่มี’ นั้น มีเพียงคำเดียวที่ต่างกัน แต่ความหมายกลับห่างไกลกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนแรกเธอคิดว่าตาซ้ายของปี่เหลาซานบอด เนื่องจากอาการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ แต่ใครกันคาดคิดว่าจะมีความลับซ่อนอยู่ลึกลงไป
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในชีวิตก่อนของเธอ ในยามที่เธอเอ่ยถึงดวงตาของปี่เหลาซาน เขาถึงไม่เต็มใจที่จะกล่าวอะไรถึงมันนัก สุดท้ายแล้วหญิงสาวจึงไม่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยปลอบใจ “ฉันเชื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะหาศิษย์พี่ใหญ่พบแน่นอน”
….
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ทุกครอบครัวล้วนกินมื้อเย็นร่วมกัน เสียงหัวเราะจึงดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
หากแต่ในวันรวมญาติเช่นนี้ ก็ยังมีสองสามครอบครัวที่เงียบเหงาวังเวง
อันดับแรกคือตระกูลฉิน
ตั้งแต่วันนั้นที่ฉินโย่วเหลียงทะเลาะกับเฉินหลี่เป็นการใหญ่ เรื่องการเลื่อนตำแหน่งจึงถูกระงับไว้ และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น
ปกติแล้วพวกเขาจะไม่กลับมากินมื้อเย็นด้วยกันโดยยกเรื่องงานมาอ้าง หรือหากกลับมาก็จะไม่พูดคุยกัน
แม้กระทั่งวันนี้ ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า ฉินโย่วเหลียงรีบกินข้าวให้เสร็จ จากนั้นก็หมกตัวในห้องหนังสือ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินหลี่กำตะเกียบในมือเสียจนแทบหักครึ่ง แต่กลับยังไม่สามารถบรรเทาความเคียดแค้นได้เสียด้วยซ้ำ
เธอเอ่ยขึ้นด้วยความเกลียดแสนเกลียด “แกเองก็เห็นท่าทีพ่อแล้วนี่ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันเรียกว่าอะไรกัน!”
ฉินซูอวี้ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง หญิงสาวเพียงก้มศีรษะลงกินข้าวในชามโดยไม่เอ่ยคำใด
เมื่อเฉินหลี่เห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ จึงยิ่งโกรธกว่าเดิม “แกก็เหมือนกัน ได้ยินมาว่าเวลาอยู่ที่ทำงานแกไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย นี่แกกำลังพยายามทำตัวเหมือนพ่อ อยากให้แม่โกรธตายไปเลยรึไงหะ?”
ตะเกียบที่คอยคีบอาหารในมือของฉินซูอวี้ชะงักลง เธอรู้สึกว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าพลันไร้รสชาติสิ้นดี
เฉินหลี่ยังคงพูดพล่อยพร้อมก่นด่า “เรื่องนี้ต้องโทษนังเซี่ยชิงหยวน ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน ปัญหามากมายขนาดนี้จะเกิดขึ้นเหรอ? ครอบครัวเราและตระกูลเซี่ยก็จะยังมีความสัมพันธ์อันดีเหมือนเดิม!”
“แม่คะ” ฉินซูอวี้วางตะเกียบลง “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเซี่ยชิงหยวนกัน? แม่ไม่รู้ได้บ้างเลยเหรอคะว่าใครก็อยากพูดทั้งนั้น?”
เมื่อเฉินหลี่เห็นว่าฉินซูอวี้เอ่ยแย้งตน มันทำให้เฉินหลี่ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก “จะไม่เกี่ยวข้องกับนังนั่นได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน ลูกจะถูกเสิ่นอี้โจวไล่กลับมาจากเตียนเฉิงไหม? ไม่แน่ว่าลูกอาจจะได้เป็นคุณนายเลขาธิการไปเสียนานแล้วด้วยซ้ำ แล้วถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนที่ล่วงเกินตระกูลเซี่ย จื่ออี้จะโกหกแม่ว่าหล่อนมีลูกไม่ได้รึไง? ถ้าแม่ไม่บอกเรื่องพวกนี้ออกไป หลังจากนี้จะเป็นยังไงกันล่ะ? ไม่ว่ายังไงหล่อนก็เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหล่อนกำลังท้อง สวรรค์ตาบอดไปแล้วจริง ๆ!”
ยิ่งฉินซูอวี้ฟังคำพูดของเฉินหลี่มากเท่าไร คิ้วของเธอก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้นเท่านั้น “แม่คะ แม่เป็นแบบนี้ตลอดเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็โทษว่าเป็นความผิดของคนอื่น ทำไมแม่ไม่ลองมองดูตัวเองบ้าง?”
หญิงสาวถอนหายใจ “การถูกไล่ออกจากที่ทำงานคือปัญหาของหนู ไม่เกี่ยวอะไรกับเสิ่นอี้โจวหรือเซี่ยชิงหยวน มันยังมีข่าวลือที่แพร่ออกมาหลังจากนั้นอีก ถ้าแม่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แล้วจะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายแบบนี้ได้ยังไง? เห็นได้ชัดว่าทั้งแม่และเซี่ยจื่ออี้เป็นต้นเหตุของทุกอย่าง แล้วทำไมถึงยังไปโทษคนที่เป็นเหยื่ออยู่อีก? ตระกูลเสิ่นเองก็ไม่ได้ตามมาคิดบัญชีเรา แม่ควรจะพอใจในสิ่งที่มีได้แล้ว!”
หลังเอ่ยจบหญิงสาวก็ลุกขึ้น แล้วหันหลังเพื่อมุ่งหน้าออกจากบ้านไป
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินซูอวี้ ในหน้าของเฉินหลี่พลันเปลี่ยนเป็นเขียวครึ้ม ทั้งยังขาวซีด และเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะจากไป จึงตะโกนขึ้นว่า “แกจะไปไหน!”
ฉินซูอวี้ซึ่งเดินไปถึงประตูแล้วเอ่ยว่า “ออกไปเดินเล่น”
ในตอนนี้ เธอเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
ในตอนที่เธออยู่ที่เตียนเฉิง เรื่องความรู้สึกของเธอที่มีต่อเสิ่นอี้โจวนั้น เซี่ยจื่ออี้คอยผสมโรงส่งเสริมให้เธอจ่ายราคาอย่างหาญกล้าด้วยคำว่า ‘เพื่อความรัก’
เซี่ยจื่ออี้เป็นคนยุยงก็จริง แต่ก็เป็นเธอเองที่ปล่อยความเห็นแก่ตัวของตนครอบงำแล้วทำสิ่งพวกนั้น
ผลพวงทั้งหมดในวันนี้ล้วนเกิดจากเมล็ดพันธุ์ที่เพาะขึ้นในอดีต ย่อมไม่อาจโทษใครได้
หญิงสาวมองไปยังแสงไฟสาดส่องที่บริเวณลานบ้าน แล้วจึงเดินออกไป
….
หลังจากมื้ออาหารอันเงียบงันระหว่างเซี่ยจื่ออี้และเซี่ยเจิ้งจบลง ชายชราก็ได้รับความช่วยเหลือจากแม่บ้านในการช่วยพากลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน ร่างกายยังคงไม่มั่นคงนัก เซี่ยจื่ออี้จึงจ้างคนมาดูแลหลังจากที่เขาเข้าโรงพยาบาล
บนโต๊ะอาหาร ไม่ว่าเซี่ยจื่ออี้จะพูดอะไร เซี่ยเจิ้งก็มักจะแสดงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอ คำว่า ‘อืม’ และการพยักหน้าคือคำตอบของเขาที่มีให้เห็นบ่อยที่สุดในช่วงนี้
ความขุ่นเคืองฉายขึ้นมาในแววตาของเซี่ยจื่ออี้เล็กน้อย หญิงสาวเองก็ออกจากบ้านไปเช่นกัน
เธอเดินไปทางบ้านตระกูลฉี ประจวบเหมาะกับที่เผ่ยเยว่ออกมาพร้อมกับตะกร้าในมือ
หญิงสาวแสร้งทำเป็นว่าเธอพบเผ่ยเยว่โดยบังเอิญพร้อมยกยิ้มด้วยความประหลาดใจ “ฉันออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะพบกับเธอเข้า”
เผ่ยเยว่ยิ้มรับ “พี่จื่ออี้”
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นจางลงกว่าครั้งแรกที่พบกันมากทีเดียว
เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเด็กสาว เซี่ยจื่ออี้จึงเดินเข้ามาจับแขนเผ่ยเยว่อย่างสนิทสนม แล้วพูดว่า “เธอจะไปไหนเหรอ?”
เผ่ยเยว่ยกตะกร้าในมือของเธอขึ้น “พี่จิ่นจือต้องไปเข้าเวรคืนนี้น่ะค่ะ ลุงเขยก็เลยให้ฉันช่วยไปส่งข้าวปลาอาหารให้เขา”
ในช่วงปีใหม่ ฉีจิ่นจือไม่ได้กลับมา ทำให้ฉีหยวนซานไม่พอใจอย่างยิ่ง มื้ออาหารจึงเต็มไปด้วยความอึดอัด
เขารู้ความจริงอยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่อาจฝืนใจได้ เผ่ยเยว่จึงเป็นฝ่ายออกปากว่าจะนำอาหารไปให้ฉีจิ่นจือ แล้วฉีหยวนซานก็เอ่ยชมเธอถึงความรู้จักคิด
ส่วนเผ่ยอิ่งเองก็มองเธออย่างลึกซึ้ง “เยว่เยว่ เอาของไปส่งให้เสร็จแล้วก็รีบกลับมานะ”
เผ่ยเยว่ได้ยินนัยจากถ้อยคำของเผ่ยอิ่ง เด็กสาวไม่ได้ตอบโต้อะไรไป เพียงบอกว่า “ทราบแล้วค่ะ คุณป้า”
เซี่ยจื่ออี้พลันเอ่ยขึ้น “พอดีว่าฉันเองก็ไม่มีธุระอะไร ฉันไปเป็นเพื่อนแล้วกัน”
เมื่อเธอสังเกตเห็นตะกร้าในมือของเผ่ยเยว่ หญิงสาวก็พอเดาได้ว่าต้องเป็นฉีจิ่นจือที่ไม่ได้บ้านตระกูลฉีเช่นกัน
เผ่ยเยว่ยิ้มหวาน “ดีเลยค่ะ”
“แต่ว่า…” เด็กสาวขมวดคิ้วมองเซี่ยจื่ออี้ด้วยความงุนงง “พี่จื่ออี้ดูเหมือนจะไม่แปลกใจเลยที่พี่จิ่นจือไม่กลับมากินข้าวที่บ้านนะ?”
เซี่ยจื่ออี้ตกตะลึง รู้สึกราวกับว่าเผ่ยเยว่ล่วงรู้อะไรบางอย่าง
หากแต่เมื่อเห็นว่าศีรษะของเด็กสาวเอียงเล็กน้อย ดวงตาใสแจ๋ว เห็นได้ชัดว่าเผ่ยเยว่ไม่ค่อยรู้จักโลกภายนอกมากนัก
หญิงสาวจึงยกยิ้ม “เธอลืมไปแล้วรึไงว่าฉันเองก็อยู่ในชุมชนนี้”
เธอลดเสียงลง “ครอบครัวไหนมีเรื่องราวอะไรกัน คนในละแวกนี้ทุกคนต่างรู้เรื่องพวกนั้นไม่มากก็น้อยเลยแหละ”
“อ้อ” เผ่ยเยว่ยิ้มอย่างมีเข้าใจความหมาย “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”
เด็กสาวจับมือเซี่ยจื่ออี้ไว้แน่น “รีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน”
ในขณะที่ทั้งสองก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็บังเอิญพบกับฉินซูอวี้เข้าพอดี
สายตาของฉินซูอวี้จ้องมองไปยังมือของทั้งสองที่จับมือกันไว้แน่น ก่อนจะมองไปยังใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้ที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พบกันนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านตระกูลเซี่ยครั้งล่าสุด
หากถามว่าเซี่ยจื่ออี้เกลียดใครมากที่สุดในขณะนี้ อันดับหนึ่งคือเซี่ยชิงหยวน และฉินซูอวี้คืออันดับสอง
ถ้าไม่ใช่เพราะความโง่เขลาสุดขีดของฉินซูอวี้และแม่ที่โง่เง่าพอ ๆ กันของหล่อน เธอจะลงเอยในสถานการณ์เช่นนี้ได้ยังไง?
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยชิงหยวนจัดฉาก แต่ยังไม่รู้ตัว ยังมีหน้ามาที่บ้านตระกูลเซี่ยเพื่อหาเรื่องให้เธออีก
เพื่อนที่ดีที่สุดสองคนที่เคยสนิทกันมาก ในตอนนี้ต่างมองหน้ากันด้วยสายตาเชือดเฉือน
เผ่ยเยว่ดึงมือของเซี่ยจืออี้แล้วถามว่า “พี่จื่ออี้ รู้จักเหรอคะ?”
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มพลางพยักหน้า “ลูกสาวของลูกน้องคนหนึ่งของพ่อฉันน่ะ”
“เหอะเหอะ” ฉินซูอวี้หัวเราะเสียงเย็น “ทำไมเธอไม่บอกไปล่ะว่าเราเคยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแค่ไหน?”
“ไม่ ไม่สิ” ฉินซูอวี้สั่นศีรษะ แล้วมองตรงไปยังเซี่ยจื่ออี้ “เป็นเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกันมา แล้วทรยศหักหลังกันต่างหากล่ะ”