บทที่ 423 เรื่องราวในอดีต
บทที่ 423 เรื่องราวในอดีต
หลังจากที่โจวโม่ถูกฝังแล้ว ปี่เหลาซานก็พูดว่า “เธอมีญาติคนอื่น ๆ อีกรึเปล่า? ถ้าไม่มี ยินดีที่จะไปกับฉันไหม?”
ฉีจิ่นจือส่ายหัว “เหลือผมเพียงคนเดียวเท่านั้นครับ”
คุณตาคุณยายของเขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย ครอบครัวของลุงย้ายไปฮ่องกง ส่วนพ่อผู้ให้กำเนิดก็ทิ้งเขาไปตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว เพราะงั้นเขาจะตอบว่าอะไรได้อีกล่ะถ้าไม่ใช่ว่าเหลือเพียงตัวคนเดียว?
ปี่เหลาซานจับมือเด็กชายแล้วพูดว่า “ฉันก็ใช้ชีวิตตัวคนเดียวเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นเธออยู่กับฉันได้นะ”
จากนั้นเป็นต้นมา ปี่เหลาซานก็มีอีกหนึ่งชีวิตที่คอยอยู่เคียงข้าง
ต่อมาปี่เหลาซานได้อุ้มทารกน้อยคนหนึ่งขึ้นมาจากกองซากศพของผู้คนในพื้นที่ห่างไกล และเด็กคนนั้นคือปี่ฟู่หมาน
อาจารย์และศิษย์ทั้งสองเดินทางไปทั่วประเทศ แม้มีชีวิตที่น่าสังเวช แต่พวกเขาก็มีความสุขเช่นกัน
จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสินค้าและเงินของปี่เหลาซานถูกขโมยไป ปี่ฟู่หมานในวัยเยาว์ก็เป็นไข้อีกครั้ง ยังไม่ต้องพูดถึงการรักษาพยาบาล พวกเขาไม่มีเงินแม้แต่ค่าอาหารด้วยซ้ำ
ปี่เหลาซานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปหางานเป็นกรรมกรที่ท่าเรือ
เขาวางศิษย์สองคนไว้ในโรงมุงจากและทิ้งขนมปังสองชิ้นที่เหลืออยู่ให้กับเด็กทั้งสองคน “อาจารย์จะออกไปทำงานก่อนแล้วจะกลับมาในตอนเย็นนะ เธออยู่ดูแลน้องชายที่นี่ ถ้าตัวของเขาร้อนก็เอาผ้าชุบน้ำทาบไว้ที่หน้าผากล่ะ”
ฉีจิ่นจือซึ่งอายุ 12 ปีแล้วพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะดูแลฟู่หมานอย่างดีเอง”
ปี่เหลาซานอยากที่จะรีบหาเงินมาเป็นค่าหมอให้ปี่ฟู่หมานและซื้ออาหารให้เด็กชายทั้งสอง จนลืมคิดไปว่าเด็กทั้งสองจะรักษาขนมปังชิ้นเล็ก ๆ สองชิ้นด้วยตัวพวกเขาเองได้ยังไง?
ทันทีที่เขาเดินออกไปก็มีคนมาแย่งขนมปังไปจากลูกศิษย์ของเขา
ฉีจิ่นจือกอดปี่ฟู่หมานแน่น แต่ปี่ฟู่หมานกลัวมากจนร้องไห้ออกมา
วันนั้นมันเป็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว และมีสินค้าจำนวนมากมาถึงท่าเรือ นายจ้างบอกว่าถ้าย้ายสินค้าเสร็จทั้งหมด ค่าจ้างจะได้เพิ่มเป็นสองเท่า
ปี่เหลาซานไม่คิดจะละทิ้งโอกาสดี ๆ ในการทำเงินเช่นนี้
เขาขอให้เพื่อนร่วมงานที่กำลังขนถ่ายสินค้าไปช่วยดูฉีจิ่นจือและปี่ฟู่หมาน ส่วนตัวเขาก็ทนความเจ็บปวดที่หลังและยืนกรานที่จะทำงานจนกว่าสินค้าทั้งหมดจะถูกขนถ่ายจนเสร็จ
แต่เพราะการตัดสินใจครั้งนี้ มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ปี่เหลาซานเสียใจที่สุดในชีวิต
เด็กทั้งสองคนหนาวและหิวหลังจากรอมาทั้งวัน โดยเฉพาะปี่ฟู่หมานที่มีไข้เกินกว่าจะพูดได้
พวกเขาได้กลิ่นหอมของซาลาเปาที่อยู่ไม่ไกล ปี่ฟู่หมานสะอื้นและพูดว่า “พี่ใหญ่ ผมอยากกินซาลาเปาจังเลย…”
ฉีจิ่นจือมองไปยังใบหน้าของปี่ฟู่หมานที่แดงก่ำและร้อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจแล้วพูดว่า “รอพี่เดี๋ยวนะ พี่จะออกไปข้างแป๊บเดียวเดี๋ยวกลับมา”
เขาเดินไปที่ประตูโรงแรมของรัฐ ซึ่งมีคนตั้งเตาไว้และมีซาลาเปาหลายลูกกำลังนึ่งอยู่ ขณะที่บริกรในร้านกำลังหยิบซาลาเปาให้แขก เขาก็รีบเอื้อมมือไปคว้าซาลาเปามาหนึ่งอันแล้วหันหลังวิ่งไป
แต่เพราะกลัวเกินไปจึงชนเข้ากับใครบางคนด้วยความตื่นตระหนก เขาแค่รู้สึกเจ็บจมูก แล้วก็มีเสียงเครื่องลายครามตกลงแตกที่พื้น ส่วนตัวเขาล้มกระแทกลงกับพื้นส่วนเครื่องลายครามสีน้ำเงินและขาวก็แตกต่อหน้าเขาทันที
ก่อนที่เขาจะทันได้โต้ตอบก็มีคนคว้าคอเสื้อเขาแล้ว คนคนนั้นผมสั้นเกรียนและพูดด้วยท่าทางดุร้าย “เฮ้ย แกตาบอดรึไง? แกกล้าดียังไงมาทำให้ของลูกพี่ฉันแตก!”
มีคนเจ็ดหรือแปดคนเดินตามหลังชายคนนั้นเข้ามา พวกเขาทั้งหมดแต่งตัวเหมือนนักเลงและดูเป็นกลุ่มคนที่ไม่ควรจะยุ่งด้วย
หลังจากนั้นทันที ฉีจิ่นจือก็ถูกตบอย่างแรงด้วยฝ่ามือใหญ่ของชายคนนั้นและทั้งร่างของเขาก็ปลิวไปตามแรงจนหน้าผากฟาดพื้นแล้วเลือดก็ไหลออกมาทันที
เหตุการณ์นี้ทำให้คนรอบ ๆ หวาดกลัว แม้แต่บริกรที่ตามมาทันก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำและรีบหันหลังกลับวิ่งหนีไป
ฉีจิ่นจือถูกทุบตีจนดวงตาเต็มไปด้วยดวงดาว ปากของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเลือด และฟันข้างหนึ่งก็หลุดออกมา ก่อนที่เขาจะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว
ใบหน้าของเขาถูกเหยียบด้วยฝ่าเท้าและบดขยี้อย่างหนักกับพื้นที่มีแต่ฝุ่นและกรวด ผิวหนังที่แก้มของเขาถลอกและบางสิ่งถึงกับเข้าตาของเขา
ฉีจิ่นจือเจ็บเจียนจะตายจริง ๆ
ในใจเขากลัวแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เขากลัวว่าปี่ฟู่หมานจะได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของตัวเองแล้ววิ่งมาหา ซึ่งแบบนั้นมันจะทำให้พวกเขาถูกทุบตีตายทั้งคู่แน่ๆ
เมื่อเห็นฉีจิ่นจือเป็นแบบนี้ ชายคนนั้นจึงยิ้มอย่างดุร้ายและพูดว่า “แกใจแข็งไม่เลวนี่”
ชายคนนั้นคว้าตัวฉีจิ่นจือ ตบแก้มที่เปื้อนเลือดอย่างแรงแล้วถามว่า “ไอ้หนู พ่อแม่ของแกอยู่ที่ไหน?”
ทันใดนั้นดวงตาของฉีจิ่นจือก็เบิกกว้างขึ้น จากนั้นเขาก็กัดริมฝีปากและไม่พูดอะไรเลย
เงินที่ปี่เหลาซานได้มานั้นต้องใช้เพื่อรักษาปี่ฟู่หมาน ดังนั้นพวกเขาจะมอบให้ชายคนนี้ไม่ได้
ถ้าชายคนนี้โกรธก็แค่ให้ตีแต่ตัวเขาพอ แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องเงินนั้นได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นแบบนี้ ความโกรธของชายคนนั้นก็ถึงขีดสุด และเขายกกำปั้นขึ้นแล้วทุบมันเข้าที่หน้าของฉีจิ่นจือ
พละกำลังของชายคนนั้นแข็งแกร่งมากจนฉีจิ่นจือเกือบจะเป็นลมด้วยการชกเพียงครั้งเดียว และไม่สามารถหายใจได้เป็นเวลานาน
“หยุดนะ!” ขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะชกเขาเป็นครั้งที่สอง ปี่เหลาซานซึ่งรีบกลับมาก็เข้ามาผลักชายคนนั้นออกไป
ปี่เหลาซานอุ้มฉีจิ่นจือไว้ในอ้อมแขนของเขาและมองฉีจิ่นจือที่กำลังจะตาย ดวงตาของเขาเจ็บปวดอย่างมาก
เขาตะโกนใส่ชายคนนั้นว่า “ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเด็กอยู่ เขาไม่สมควรได้รับการปฏิบัติที่โหดร้ายจากคุณแบบนี้!”
เมื่อได้ยินแบบนี้เข้า ชายคนนั้นก็หัวเราะออกมา
เขาพูดเยาะเย้ยกับพี่น้องที่อยู่ข้างหลัง “เด็กเหรอ? ผู้หญิงฉันก็ทุบตีได้ด้วยซ้ำ!”
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดออกมา เขาก็จับปี่เหลาซานขึ้นมา ชี้ไปยังฉีจิ่นจือแล้วพูดว่า “มันเป็นลูกของแกใช่ไหม? มันเพิ่งทำของของฉันพัง แกจะชดเชยให้ฉันยังไง?”
ปี่เหลาซานเห็นว่าอีกฝ่ายมีคนมากมาย จึงทำได้แค่อดทนและถามว่า “ฉันต้องชดเชยให้คุณเท่าไหร่?”
ชายคนนั้นเหยียดนิ้วสามนิ้วให้กับปี่เหลาซาน “สามร้อยหยวน มือหนึ่งจ่ายเงินและอีกมือก็รับคนไป”
300 หยวน!
เงินจำนวน 300 หยวน ในต้นปี 1970 มีค่ามากตั้งขนาดไหน เขาจะหาเงิน 300 หยวนมาได้ยังไง?
ปี่เหลาซานหยิบเงินไม่กี่หยวนที่นายจ้างเพิ่งมอบให้เขาออกมา “ฉันมีแค่เท่านี้”
ชายคนนั้นมองดูเงินในมือของปี่เหลาซานและพ่นลมหายใจ “นี่แกล้อฉันเล่นเหรอ?”
ปี่เหลาซานส่ายหัว “ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ แต่เงินที่เรียกมันมากเกินไป”
ชายคนนั้นจ้องมองเขาเขม็ง “ของของฉันเป็นของโบราณ ขอสามร้อยหยวนถือว่าใจดีแล้วนะโว้ย!”
ปี่เหลาซานพูดขึ้น “ตอนนี้บ้านเมืองเป็นยังไงแล้ว ของโบราณแลกข้าวได้ถึงหนึ่งจินหรือไง?”
ในยุคนี้ของโบราณหรือของอื่นๆ หากไม่สามารถกินได้มันก็ไร้ค่า
หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็โกรธมากทันที “แกมันรนหาที่ตายจริง ๆ!”
คำพูดของปี่เหลาซานทำให้ชายคนนั้นโกรธเคืองอย่างยิ่ง ชายคนนั้นลากปี่เหลาซานกับฉีจิ่นจือไปยังที่ลับตาคน โดยใช้ประโยชน์จากฝ่ายตัวเองที่มีคนมากกว่า ทำให้ผู้คนที่กำลังยืนมองอยู่แถวนั้นตกตะลึงกันหมด และไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
อีกสาเหตุหนึ่งเพราะมีคนจำชายคนนั้นได้ เขาคือหัวหน้านักเลงแถวนี้ และได้ฉายาว่าลูกพี่เตาปา (แผลเป็น)
หลังจากที่พวกนักเลงลากปี่เหลาซานและฉีจิ่นจือไปยังที่ลับตาคน พวกนักเลงก็รุมต่อยและเตะปี่เหลาซานทันที
ปี่เหลาซานรู้ทักษะการชกมวยอยู่บ้าง จึงไม่มีปัญหาเรื่องการป้องกันตัว แต่การปกป้องฉีจิ่นจือไปด้วยนั้นยากมาก
ต่อมากลายเป็นสถานการณ์ที่อาจารย์และลูกศิษย์ถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว
ปี่เหลาซานกอดฉีจิ่นจือไว้แน่นในอ้อมแขนของเขา แล้วคร่อมตัวลงไปที่พื้นเพื่อปกป้องไม่ให้ร่างกายของฉีจิ่นจือถูกทุบตี
ขณะที่ฉีจิ่นจือได้รับการปกป้องในอ้อมแขนของปี่เหลาซาน เขาสัมผัสได้ถึงความรุนแรงของทั้งหมัดและเท้าที่กระทืบใส่ปี่เหลาซาน จากนั้นไม่นานของเหลวอุ่น ๆ ก็ค่อย ๆ ไหลลงมาอาบตัวของเขาจากด้านบน ซึ่งเป็นเลือดของปี่เหลาซานนั่นเอง
ฉีจิ่นจือตะโกนร้องเสียงดัง “อาจารย์! ทิ้งผมไว้ที่นี่ซะ วิ่งหนีไป!”
แต่ปี่เหลาซานแค่กอดเขาแน่นขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เขาพูดอะไรออกมา
ตอนที่พวกเขาถูกลากมายังที่ลับตาคน พวกเขาได้ยินคนรอบ ๆ พูดถึงตัวตนของชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาว่าเป็นคนในโลกใต้ดินและชีวิตมนุษย์ไม่ได้อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเลย
ดูเหมือนว่าพวกเขาอาจารย์และศิษย์คงจะต้องตายที่นี่วันนี้สินะ
ปี่เหลาซานรู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงปี่ฟู่หมานที่ยังรอพวกเขากลับไปในโรงมุงจาก
ไม่นานนักปี่เหลาซานที่กอดฉีจิ่นจือก็ค่อย ๆ หมดแรงและเขาเกือบจะหมดสติด้วยความเจ็บปวด
ฉีจิ่นจือรู้สึกว่าปี่เหลาซานกำลังจะโดนทุบตีจนตาย
เขาผละตัวออกจากอ้อมแขนของปี่เหลาซานแล้วตะโกนใส่พวกนักเลงว่า “ฉันเป็นคนทำของพังเอง ตีฉันสิ อย่าตีอาจารย์ของฉันนะ!”
ลูกพี่เตาปาได้ยินเสียงตะโกนของฉีจิ่นจือและส่งสัญญาณให้คนของเขาหยุดชั่วคราว
เขาคุกเข่าลงและจ้องฉีจิ่นจือเหมือนหมาป่าที่กำลังมองเหยื่อ เขายิ้มแล้วพูดว่า “โอ้ น่าสนใจดีนิ”
เขาสั่งให้คนของเขาลากฉีจิ่นจือออกจากอ้อมแขนของปี่เหลาซานแล้วพูดว่า “พาไอ้เด็กนี่ออกไป”
ลูกน้องของเขายกฉีจิ่นจือขึ้นพาดไหล่และกำลังจะจากไป
ปี่เหลาซานพยายามลืมตาและกอดขาลูกพี่เตาปา “ขอเด็กคืน…ขอคืนให้ฉันเถอะนะ”
ลูกพี่เตาปาไม่อยากอดทนอีกต่อไป เขาจึงยกเท้าขึ้นเตะปี่เหลาซานที่หลัง “ปล่อยฉันนะโว้ย!”
ปี่เหลาซานกัดฟันไม่ยอมปล่อยแม้แต่น้อย
ลูกพี่เตาปาหัวเราะอย่างดุร้าย “ในเมื่อแกอยากตาย งั้นฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้เอง”
ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น เขาก็เหยียดสองนิ้วออกเป็นรูปตะขอแล้วแทงเข้าไปในตาซ้ายของปี่เหลาซานทันที!