บทที่ 461 ไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว
บทที่ 461 ไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าฉีจิ่นจือเงียบ ไห่เยี่ยก็ขยิบตาให้ลูกน้องของเขาก้าวไปข้างหน้าเหยียบหน้าชายคนนั้นและบดขยี้อย่างแรงบนพื้น
ชายคนนั้นคร่ำครวญและมีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
ชายที่โดนเหยียบหน้าเงยหน้าขึ้นมองที่ฉีจิ่นจือด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงส่ายหัวให้อย่างเงียบ ๆ แสดงออกว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ
ฉีจิ่นจือมองไปยังภาพตรงหน้าเขา มือของเขาที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นโดยไม่ได้ตั้งใจ และกล้ามเนื้อสั่นเทา
ไห่เยี่ยให้ความสนใจกับการแสดงออกของฉีจิ่นจือ สีหน้าดูมืดหม่น “ถ้านายไม่พูดอะไร ฉันจะโยนมันลงทะเลให้ฉลามกินเดี๋ยวนี้เลยแล้วกัน”
หลังจากนั้นไห่เยี่ยก็โบกมือให้คนของเขาลากชายคนนั้นห่างออกไป
“ผมรู้จักเขา” ฉีจิ่นจือพูดด้วยความยากลำบาก
เขาเพิกเฉยต่อคำวิงวอนในดวงตาของฟู่ชุนไจ่แล้วมองที่ไห่เยี่ย และพยายามแสร้งทำเป็นสงบ “เขาเป็นหนึ่งในลูกน้องของผมตอนที่อยู่เมืองกว่างโจว การที่เขาพยายามแอบดูแก๊งเรา อาจจะเป็นเพราะตามหาผม”
ไห่เยี่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หลังจากหัวเราะ ไห่เยี่ยก็ยืนขึ้นและเดินเข้าหาฉีจิ่นจือ “ปรากฏว่าเป็นคนกันเองสินะ ถ้านายบอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้ มันคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมานานขนาดนี้หรอก”
ไห่เยี่ยตบไหล่ฉีจิ่นจือแล้วพูดว่า “เมืองกว่างโจวดูเหมือนว่านายจะทำได้ดีทีเดียวนะ ถึงกับสามารถทำให้คนคนหนึ่งเสี่ยงชีวิตมาตามหาถึงที่นี่ได้”
ฉีจิ่นจือลดสายตาลงและพูดเบา ๆ “เขาก็แค่ดื้อรั้น”
ไห่เยี่ยกลับไปนั่งที่เดิมแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไห่เยี่ยไม่ไว้หน้านาย วันนี้ฉันจะให้นายพาเขาไปแล้วกัน ฉันคิดว่าถ้าให้เขาอยู่ในแก๊งทำงานให้ฉันกับนาย มันคงดีใช่ไหมล่ะ?”
ฉีจิ่นจือพูดว่า “ขอบคุณคุณไห่สำหรับน้ำใจครับ เพียงแต่ว่าลูกน้องของผมคนนี้ไม่ใช่คนฉลาดนัก ผมเกรงว่าเขาคงไม่มีคุณสมบัติพอเข้าร่วมแก๊งชิงหลงของเราได้”
ไห่เยี่ยพ่นลมหายใจด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ถ้าฉันบอกว่าได้ มันก็หมายความว่าได้ นายสงสัยสายตาของฉันงั้นเหรอ?”
ฉีจิ่นจือผายมือให้ไห่เยี่ยทันที “ผมไม่กล้า แค่ว่าเขา…”
“เอาละฉันตัดสินใจแล้ว” ไห่เยี่ยโบกมือราวกับไม่อยากพูดอะไรให้ยืดยาวอีก
ฉีจิ่นจือรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโต้แย้งอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงน้อมรับคำสั่งของไห่เยี่ย และขอให้ใครสักคนช่วยอุ้มฟู่ชุนไจ่ออกไป
หลังจากที่ฉีจิ่นจือจากไป ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไห่เยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะถาม “บอสครับ บอสเชื่อคำพูดของเขารึเปล่าครับ?”
ฉีจิ่นจือมาร่วมกับพวกเขาเมื่อเดือนที่แล้ว และบอกว่าจะทำทุกอย่างตราบเท่าที่เขาได้รับที่พักพิง
แก๊งชิงหลงยังได้สืบสวน พบว่าฉีจิ่นจือได้ล่วงเกินใครบางคนและหนีตายอย่างที่พูดจริง ๆ เขาหายตัวไปจากกว่างโจวไปใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ แม้แต่อดีตลูกน้องของฉีจิ่นจือก็ยังถูกกลุ่มคนลึกลับตามล่าและไล่ฆ่า
เดิมทีไห่เยี่ยไม่เชื่อฉีจิ่นจือและสั่งให้เขาเริ่มทำงานจากจุดต่ำสุด ต่อมาฉีจิ่นจือถูกใช้ให้ไปทำงานส่งสินค้าและก็ทำงานทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ไห่เยี่ยโบกมือแล้วพูดว่า “จริงหรือไม่จริงค่อยหาคำตอบกันอีกครั้งก็แล้วกัน”
พูดง่าย ๆ ก็คือตราบใดที่ฉีจิ่นจือเป็นสุนัขรับใช้ให้ได้ ไม่ว่าในอดีตจะเป็นอย่างไรก็เอาไว้ก่อน
ลูกน้องของเขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “บอสสอนบทเรียนให้ผมอีกครั้งแล้ว”
…
ฟู่ชุนไจ่ถูกส่งกลับไปที่กระท่อมของฉีจิ่นจือใกล้ชายหาด
ห้องมีตะเกียงน้ำมันก๊าดสลัว ๆ ฟู่ชุนไจ่นอนอยู่บนเตียงในสภาพปางตาย ฉีจิ่นจือหยิบธนบัตรสองสามใบออกมาจากกล่องเล็ก ๆ ด้านข้างแล้วมอบให้กับบุคคลที่เดินพามาส่ง “ไปซื้อยามาให้ฉันที”
อีกฝ่ายรับเงิน นับแล้วออกไป
ฉีจิ่นจือลากเก้าอี้ไปที่ขอบเตียงด้วยท่าทางหอบเหนื่อย
เขาได้รับบาดเจ็บเมื่อสองวันก่อนและยาที่ใช้รักษานั้นก็เป็นยาประเภทที่รักษาตามมีตามเกิด เมื่อบวกกับไม่มีใครดูแลอาหารของเขา แผลจึงหายช้ากว่าปกติและมีอาการอักเสบ
จู่ ๆ ฉีจิ่นจือก็คิดถึงวันที่เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มณฑลอวิ๋น โดยมีเซี่ยชิงหยวนส่งอาหารให้ทุกวัน
ฟู่ชุนไจ่ลืมตาขึ้น มองดูใบหน้าอันคุ้นเคยของฉีจิ่นจือที่ซ่อนอยู่ในแสง แล้วร้องไห้ออกมา “ลูกพี่ ในที่สุดผมก็พบลูกพี่แล้ว…”
หลังจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่โรงแรม ทุกคนต่างพูดว่าฉีจิ่นจือตายไปแล้ว แต่เขาไม่เชื่อมันเลย
ในตอนแรก เขาขอให้สมาชิกแก๊งตามหาฉีจิ่นจืออย่างสุดกำลัง แต่แล้วเขากลับถูกตามล่าโดยคนที่ไม่รู้จัก ต่อมาทั้งแก๊งก็หนีตายไปคนละทิศกระจัดกระจายกันไปหมด
เขาปิดบังชื่อจริงตัวเองและค้นหาฉีจิ่นจือต่อไป จนในที่สุดก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับฉีจิ่นจือในเมืองเซินเจิ้นเมื่อไม่นานมานี้
เขาแอบติดตามและพยายามเข้าร่วมแก๊งชิงหลง แต่ถูกจับได้และถูกทรมานซะก่อน
เขาไม่รู้ว่าสถานะปัจจุบันของฉีจิ่นจืออยู่ในแก๊งชิงหลงเป็นอย่างไร และเขากลัวว่าเขาจะทำร้ายฉีจิ่นจือหากพูดอะไร จึงตัดสินใจยอมถูกทุบตีจนตายดีกว่าจะพูดอะไรสักคำ
โดยไม่คาดคิดเลย ฉีจิ่นจือกลับมาที่นี่และพูดว่าจำเขาได้
เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องประสบในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาทำให้เขาอดไม่ไหวที่จะร้องไห้อย่างสะอึกสะอื้น
ฉีจิ่นจือขมวดคิ้วราวกับว่าไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งเลย “รักษาอาการบาดเจ็บของนายแล้วไปซะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและกำลังจะจากไป
“ลูกพี่!” ฟู่ชุนไจ่เรียกเขา พยายามดิ้นรนที่จะลุกจากเตียง “ลูกพี่ไม่ต้องการผมอีกแล้วเหรอ?”
ฉีจิ่นจือจับอีกฝ่ายลงด้วยมือข้างเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้ขยับ
ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงราวกับว่าเขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอดทนต่อบางสิ่ง แต่สีหน้าของฉีจิ่นจือยังไม่แยแสและน้ำเสียงของเขาเย็นชา “ใช่ ฉันไม่ต้องการนายอีกต่อไปแล้ว!”
……………………………………………