บทที่ 462 ไม่ไปไหนแม้จะตายก็ตาม
บทที่ 462 ไม่ไปไหนแม้จะตายก็ตาม
เมื่อคำพูดจบลง ดวงตาของฟู่ชุนไจ่ก็เบิกกว้าง เขามองที่ฉีจิ่นจืออย่างไม่เชื่อสายตา
เขาเพิ่งได้รับความทรมานมามาก ใบหน้าซีดอย่างน่ากลัว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและความผิดหวัง ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจห้ามได้
ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอย่างชัดเจนนัก และตะโกนถามอีกครั้ง “ลูกพี่?”
ฉีจิ่นจือมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “ฉันไม่ใช่ลูกพี่ของนายอีกต่อไป อย่างที่นายเห็น ฉันใช้ชีวิตอย่างหลบซ่อนและต้องพึ่งพาคนอื่น”
ฟู่ชุนไจ่รู้สึกเจ็บปวดในใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไม่น้อย “ลูกพี่ เมื่อก่อนพี่ไม่ใช่แบบนี้ พี่สอนผมมาตลอดว่า…”
“ใช่ เมื่อก่อนฉันไม่เคยเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันใช้ชีวิตอย่างน่ารังเกียจที่สุดยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา” น้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นเย็นชาพร้อมรอยยิ้มสมเพชตัวเอง “เพราะฉะนั้นอย่าอยู่กับฉันอีกต่อไปเลย นายไปใช้ชีวิตอย่างติดดินเหมือนคนทั่วไปเถอะ หาเมียแล้วให้กำเนิดลูกชายตัวอ้วน ๆ”
หลังจากอยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปี ฟู่ชุนไจ่เข้าใจฉีจิ่นจือเช่นเดียวกับที่เขาเข้าใจตัวเอง
เช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ เขาถูกลูกพี่เตาปาลักพาตัวมาจากที่ไหนก็ไม่รู้และถูกขังไว้เพื่อฝึกฝน ฉีจิ่นจือเป็นผู้ที่ปกป้องเขา ช่วยให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างอยู่รอดปลอดภัย และต่อมาเขาก็ช่วยฉีจิ่นจือขึ้นเป็นลูกพี่ใหญ่แทนที่เตาปา
เขารู้ว่าฉีจิ่นจือเกลียดชีวิตที่ต้องต่อสู้และการฆ่ามาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงติดตามฉีจิ่นจือไปที่เมืองกว่างโจวในภายหลัง
พวกเขาเคยทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม เคยทำงานสกปรกที่สุดและเหนื่อยที่สุด แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตบนเส้นทางนักเลงเหมือนเดิมอีกครั้งเพื่อความอยู่รอด
ถึงกระนั้นก็ตาม ฉีจิ่นจือก็ควบคุมลูกน้องทุกคนและไม่เคยปล่อยให้ใครออกไปทำเรื่องที่เลวทรามอย่างไม่มีเหตุผล เพื่อให้ทุกสิ่งภายใต้เขตอำนาจของพวกเขาสงบสุข
ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าแม้ในหัวใจของฉีจิ่นจือที่เห็นเพียงความมืดมิด แต่ก็ยังมีแสงสว่างที่อยู่ลึกเข้าไป ซึ่งคอยนำทางและส่องสว่างให้เขา
แต่ตอนนี้ฉีจิ่นจือกลับบดขยี้แสงสว่างนั้นด้วยมือของตัวเอง
ฟู่ชุนไจ่ก้มศีรษะลง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาหยดลงมาที่ปลายจมูก และลงบนหลังมือทีละหยดจนรวมตัวกัน
ในห้องเงียบงันอย่างน่าขนลุก ไม่มีใครพูดอะไร
ฉีจิ่นจือยืนขึ้นอีกครั้งเปิดประตูแล้วกำลังจะออกไป
ทันใดนั้นฟู่ชุนไจ่ก็เงยหน้าขึ้นและตะโกนใส่เขา “ลูกพี่ ผมจะไม่ไปไหน! หัวหน้าไห่บอกแล้วว่าเขารับผมเข้าแก๊งแล้ว ดังนั้นผมจะไม่ออกไปไหนต่อให้ใครจะฆ่าผมก็ตาม!”
ฉีจิ่นจือยืนอยู่ที่ประตู สายลมจากทะเลพัดมา มันพัดจนเสื้อผ้าของเขาปลิวสะบัด พัดจนจนร่างกายหนาวเหน็บไม่ต่างจากหัวใจ
…
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวกลับไปที่มณฑลอวิ๋น พวกเขาพักผ่อนหนึ่งคืนและไปโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น เพื่อตรวจกับหมอฮวงเกี่ยวกับเด็กในท้อง
หลังจากอ่านรายงานการตรวจแล้ว หมอฮวงก็พูดติดตลกว่า “เจ้าตัวเล็กทั้งสองคนสุขภาพแข็งแรงดีเลย คุณไม่จำเป็นต้องมาบ่อย ๆ ก็ได้ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างเขินอาย “เพราะก่อนหน้านี้มีโอกาสแท้งน่ะค่ะ ฉันก็เลยกังวลอยู่ตลอด”
หมอฮวงให้ความมั่นใจ “คุณไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกค่ะ โดยปกติแล้วยี่สิบถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของสตรีมีครรภ์จะมีอาการแท้งคุกคาม แต่พอครรภ์อายุมากขึ้น อาการนี้ก็จะหายไปเอง”
เธอตบไหล่เซี่ยชิงหยวนเบา ๆ แต่เมื่อเห็นว่าแขนขาของหญิงสาวคนนี้ยังคงเรียวเล็กอยู่ เธออดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ช่วงที่สองและสามของการตั้งครรภ์เป็นช่วงที่เด็กเติบโตอย่างรวดเร็ว ให้ความสนใจกับการเสริมโภชนาการของตัวเองด้วยนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันจะจำมันไว้ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณหมอฮวง”
หลังจากที่ทั้งสองคนออกจากโรงพยาบาล เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มและสะกิดเอวของเสิ่นอี้โจว “ดูสิ เราถูกคุณหมอหัวเราะเยาะใส่แล้วนะ”
เสิ่นอี้โจวคว้ามือของภรรยาแล้วใส่มันลงไปในกระเป๋ากางเกงของเขา และพูดเบา ๆ “หัวเราะไปเถอะ ผมไม่สนใจหรอก”
หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับบ้านด้วยกัน
เมื่อกลับถึงบ้าน เซี่ยชิงหยวนก็ไม่เกียจคร้านเลย เธอดูสมุดบัญชีของร้านค้าเสื้อผ้าทั้งสองสาขาที่อาเซียงนำมาให้เมื่อคืนนี้และกำลังคำนวณอยู่
หลังจากที่เธอคำนวณเสร็จ หญิงสาวก็ดูตัวเลขในสมุดบัญชีด้วยความดีใจ สองเดือนหลังจากเปิดหลังตรุษจีน เธอมีรายได้เกือบ 20,000 หยวนแล้ว
ทั้งสองร้านทำเงินได้เร็วมาก!
เธอคำนวณรายได้กับรายจ่ายของร้านตรอกเก่าอีกครั้ง และมันก็เกือบ 4,000 หยวน!
นอกจากเงิน 10,000 หยวนที่มอบให้ปี่เหลาซานเมื่อปีก่อนแล้ว เธอยังมีเงินเหลืออีกกว่า 30,000 หยวน รวมเป็น 60,000 หยวน!
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนเดือดพล่าน
ในยุคที่ครัวเรือนไหนมีเงินได้ถึง 10,000 หยวนก็สามารถกลายเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ได้เลย แต่เธอกลับทำเงินได้มากมายขนาดนี้โดยไม่รู้ตัว ใช้ประโยชน์จากการมองการณ์ไกลและสั่งสมประสบการณ์ที่เธอได้รับมาจากทั้งสองชีวิต มันช่างแตกต่างจริง ๆ!
เธอปิดสมุดบัญชีอย่างมีความสุข และอดไม่ได้ที่จะจูบมัน
ด้วยเงิน 60,000 หยวน เธอสามารถทำอะไรได้มากมายกว่าเดิม
คราวที่แล้วเธอขอให้เหล่าไต้ติดตามข่าวโรงงานตัดเย็บเฟิงหวงอยู่ตลอด หากมีโอกาส เธอจะซื้อมันเป็นโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งแรกของตน
ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น เสียงของป้าอู๋ก็ดังขึ้นที่ชั้นล่าง “คุณผู้หญิงคะ มีคนโทรมาหาคุณคะ เขาบอกว่าเขาเป็นพี่ชายคนโตของคุณผู้หญิงน่ะค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนตกใจทันทีหลังจากได้ยิน และตอบกลับ “ตกลงค่ะ บอกให้เขารอสักครู่นะคะป้าอู๋”
พูดเสร็จเธอก็รีบลงไปชั้นล่าง
ดูเหมือนว่าจะไม่มีการโทรจากหมู่บ้านซิ่งฮวามาเป็นเวลานานแล้ว โดยปกติเธอมักจะติดต่อกับกงเหลียนซิน แต่เซี่ยจิ่งเยว่แทบจะไม่โทรมาเลย
เธอรับโทรศัพท์แล้วพูดว่า “พี่ชาย นี่ชิงหยวนนะ”
เสียงของเซี่ยจิ่งเยว่ดังขึ้นที่ปลายอีกด้านของโทรศัพท์ เขาคุยกับเธออยู่พักหนึ่งแล้วหยุดพูด “พี่สะใภ้ของเธอ หล่อนได้ไปหาเธอบ้างไหม?”
เซี่ยชิงหยวนนั่งตัวตรง “พี่สะใภ้ออกจากบ้านเหรอ?”
……………………………………………