บทที่ 468 เด็กผู้ชายถูกรังเกียจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
บทที่ 468 เด็กผู้ชายถูกรังเกียจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ปี่เหลาซานเดินนำหน้า ตามด้วยปี่ฟู่หมานซึ่งสะพายถุงผ้าใบเล็กไว้
เซี่ยชิงหยวนส่งเสียงโห่ร้องอย่างมีความสุข “อาจารย์ ฟู่หมาน!”
เสิ่นอี้โจวเองก็ทักทายพวกเขา ก่อนจะเอ่ยบอกกับป้าอู๋ว่า “ป้าอู๋ครับ รบกวนรินน้ำชามาให้หน่อยครับ”
ป้าอู๋ก็ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ดีอกดีใจของเซี่ยชิงหยวน จึงตอบอย่างร่าเริง “ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
ปี่เหลาซานเดินวนไปรอบ ๆ เซี่ยชิงหยวนพลางลูบเคราของเขาแล้วพูดว่า “อืม ไม่เลว มีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างแหะ”
แต่ดูเหมือนท้องจะใหญ่ขึ้นไม่น้อย ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาคลอดจะยากไหม
เขากลืนประโยคนี้ลงท้องโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป
ปี่ฟู่หมานมองไปยังท้องของเซี่ยชิงหยวน ซึ่งใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ใบหน้าของเขาพลันบูดเบี้ยวเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นท้องของหญิงตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน มันดูน่ากลัวไม่หยอกเลยจริง ๆ
อาจารย์และลูกศิษย์นั่งลงเพื่อพูดคุยถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ของพวกเขา
สายตาของปี่เหลาซานมองไปยังเซี่ยชิงหยวนและปี่ฟู่หมาน รู้สึกราวกับว่ามีชิ้นส่วนที่วิ่นแหว่งไปในหัวใจของเขา
เขารวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามว่า “ชิงหยวน ศิษย์พี่ใหญ่ของเธอล่ะ?”
ได้ยินดังนั้น ท่าทีของเซี่ยชิงหยวนก็ฉายแววจริงจังขึ้นมาอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง
เธอมองไปยังเสิ่นอี้โจว ไม่รู้ว่าควรจะบอกกล่าวออกไปยังไง
เสิ่นอี้โจวตอบแทนเซี่ยชิงหยวน “ได้ยินมาว่าเขาไปปฏิบัติภารกิจที่อื่นครับ”
ปี่เหลาซานถามต่อ “ภารกิจอะไร? นานขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมาอีกเหรอ? เขาไม่ได้ติดต่อพวกเธอมาบ้างเลยเหรอ?”
เขาได้โทรศัพท์ไปยังที่ทำงานของฉีจิ่นจือ ทว่าคำตอบที่เขาได้รับคือไม่มีบุคคลดังกล่าว
แท้จริงแล้วคือภารกิจอะไรกันที่สามารถลบร่องรอยการดำรงอยู่ของคนคนหนึ่งออกไปทั้งหมดได้?
เขามีคำตอบที่คลุมเครืออยู่ในใจ แต่เขาเก็บเศษเสี้ยวสุดท้ายของจินตนาการเอาไว้ เพราะหวังว่าตนจะได้คำตอบที่แตกต่างออกไป
หรือบางทีเมื่อเขากลับมายังมณฑลอวิ๋น ฉีจิ่นจือก็จะปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “อาจจะเป็นภารกิจลับ เป็นเรื่องพิเศษอะไร พวกเราเองก็ไม่แน่ใจนักเหมือนกันครับ”
ภารกิจที่กองพลต่อต้านยาเสพติดปฏิบัตินั้นจัดอยู่ในประเภทภารกิจลับ การที่เขาบอกออกไปแบบนี้ย่อมไม่มีปัญหา
เมื่อเห็นสีหน้าของปี่เหลาซานมืดมนลง เซี่ยชิงหยวนซึ่งอยู่ข้าง ๆ จึงแสร้งทำเป็นกระตือรือร้น “ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนดี ฟ้าย่อมคุ้มครอง เชื่อว่าเขาจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ค่ะ”
ปี่ฟู่หมานก็เอ่ยปลอบใจว่า “ใช่ครับ เพียงแค่ศิษย์พี่ใหญ่ยื่นมืออกไป จะสู้แบบหนึ่งต่อสิบก็ไม่หวั่นหรอก”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของพวกเขา ท่าทีของปี่เหลาซานก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้ต้องการพูดยกหัวข้อที่น่ากังวลเหล่านี้มาพูดคุยต่อเซี่ยชิงหยวนอีก จึงกล่าวว่า “อาจารย์ออกเดินทางไปครั้งนี้ได้รวบรวมของดีจำนวนไม่น้อยมาให้ลูกศิษย์ด้วยนะ”
เอ่ยจบก็หยิบถุงผ้าใบเล็กที่ปี่ฟู่หมานถืออยู่มาด้วยท่าทางอิ่มเอมใจอย่างยิ่ง “ของทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น”
กล่าวขณะดึงปากถุงผ้าเปิดออก ภายในนั้นมีกล่องเล็ก ๆ อัดแน่นอยู่ ปี่เหลาซานหยิบกล่องหนึ่งออกมาแล้วเปิดออก พบว่าของชิ้นนี้คือกุญแจอายุยืน*[1] ขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารก
กำไลหยกนั้นสดใสพร่างพราว ใสเสียจนเทียบกับแก้วได้
เสียงของเซี่ยชิงหยวนสั่นเทา “อาจารย์ สิ่งนี้ไม่ได้ค่ะ มันมีค่าเกินไป”
หยกชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นหยกวารีและมีสีใสราวกับน้ำเท่านั้น แต่ยังนับได้ว่าควรอยู่ในระดับของสะสม ทั้งยังอาจกล่าวได้ว่ายากมากที่จะได้พบเจอหยกเนื้อดียิ่งเช่นนี้
ปี่เหลาซานไม่เห็นด้วย “มีตรงไหนไม่ได้กัน? ฉันตั้งใจตามหามาให้ศิษย์หลานของฉัน”
เอ่ยจบก็ค้นในถุงผ้าอีกครั้ง ก่อนจะดึงกล่องอีกใบที่เหมือนกับกล่องที่บรรจุกุญแจอายุยืนชิ้นนี้ออกมาแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องตกใจไป ฉันเตรียมไว้สองชิ้นเลยล่ะ”
เขาพูดพร้อมกับเปิดกล่องอีกใบ
สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นเป็นหยกที่เกือบจะเหมือนกับกุญแจอายุยืนเมื่อครู่ เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับอีกชิ้นแล้ว ชิ้นนี้มีสีเขียวลอยอยู่ตรงกลางมากกว่า ซึ่งดูมีเฉียบคมอย่างยิ่ง
ปี่เหลาซานกล่าวว่า “หากมีเด็กผู้หญิง ให้มอบชิ้นนี้ให้เธอ”
เขาเงียบลงครู่หนึ่ง “หากเป็นเด็กผู้ชาย จะให้ชิ้นไหนก็ได้”
เซี่ยชิงหยวน “…”
หญิงสาวบุ้ยปากอย่างจงใจ “อาจารย์ แท้จริงแล้วอาจารย์ชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชายสินะคะ”
ปี่เหลาซานหัวเราะออกมาเสียงดัง “ขอแค่เป็นศิษย์หลาน ฉันก็ชอบทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ฉันได้อุ้มเด็กผู้ชายมาสองคนแล้ว ยังไม่เคยอุ้มเด็กผู้หญิงเลย แน่นอนว่าย่อมเป็นอะไรที่หาได้ยาก”
ปี่ฟู่หมานซึ่งอยู่ข้าง ๆ พลันอิจฉา “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็รออีกสักหน่อยสิครับ บางทีอาจจะเป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่ก็ได้นะ”
หลินตงซิ่วที่เดินผ่านมาได้ยินคำพูดของปี่ฟู่หมานเข้าก็รีบเอ่ยขึ้น “อย่าเลย เด็กผู้หญิงน่ะดีแล้ว”
ปี่เหลาซานเองไม่ได้คิดเสียด้วยซ้ำ เขาหยิบหมอนบนโซฟาขึ้นมาก่อนจะปาใส่ปี่ฟู่หมาน “ปากเสีย!”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เสิ่นอี้โจว “…”
สองสามีภรรยาเองก็ปรึกษากันถึงเรื่องลูก ๆ เช่นกัน
สำหรับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้เด็กหญิง ยังไงก็เป็นลูกของพวกเขาทั้งคู่
แต่หากเลือกได้ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็หวังว่าจะเป็นแฝดชายหญิง
ถึงอย่างไร ตอนนี้รัฐบาลกำลังส่งเสริมนโยบายการวางแผนครอบครัว โดยมีเสิ่นอี้โจวผู้อยู่ในระบบราชการ ย่อมต้องเล่นบทผู้นำในระบบนี้ในการมีลูกเพียงคนเดียวไปโดยปริยาย
แต่ในบ้านของเขา เด็กผู้ชายถูกรังเกียจถึงเพียงนี้เชียวเหรอ?
…
หวังผิงอาบน้ำให้หลานทั้งสองสาวคนเรียบร้อยจึงให้เซี่ยไป่เหิงพาพวกเธอไปที่สนามหญ้าเพื่อแปรงฟัน
ทำไร่ทำนาในตอนกลางวัน แล้วยังต้องดูแลเด็ก ๆ ในตอนกลางคืนทำให้ไม่อาจจะยืดเอวได้อีก
เซี่ยไป่เหิงกับเซี่ยไป่อวิ๋นสามารถปล่อยให้เซี่ยโยว่หมิงกับเซี่ยจิ่งเยว่เป็นคนดูแลได้ อีกทั้งเซี่ยไป่เหิงก็สามารถพาน้องชายของเขาไปอาบน้ำกับเขาได้เช่นกัน ทว่าเซี่ยซือเหยียนกับเซี่ยซือถงเป็นเด็กผู้หญิง และรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกเขาไปด้วยกันได้
เธอเอื้อมออกไปเตะเซี่ยจิ่งเยว่ที่บีบยาสีฟันให้เด็ก ๆ เสร็จแล้ว “เหลียนซินบอกว่าหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อไหร่? ไปที่นั่นก็สามเดือนแล้ว ถึงแม้จะบอกว่าคืนเงินมาแล้ว แต่ลูกก็ไม่สนใจไปแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?”
เซี่ยจิ่งเยว่ระบายยิ้ม “เหลียนซินบอกว่าตอนนี้ที่ร้านยุ่งมาก รออีกสักพักแล้วค่อยว่ากันน่ะครับ”
หลังจากครั้งล่าสุดที่พวกเขาทั้งสองคุยกันทางโทรศัพท์ กงเหลียนซินก็ไม่เคยติดต่อเขามาอีกเลย
เขาโทรหาเธอสองครั้ง หญิงสาวก็เพียงเอ่ยปากถามเขาว่าคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วหรือยัง?
ทุกครั้งที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เป็นทางตัน ทั้งยังเจรจาล้มเหลวอยู่ร่ำไป
ในท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับภรรยายังไง
ได้ยินดังนั้น ความทุกข์ทรมานก็ฉายชัดบนใบหน้าของหวังผิง “ครอบครัวก็ใช่ว่าจะร้อนเงินเสียหน่อย ผู้หญิงตัวคนเดียวทำงานนอกบ้านก็ลำบาก กลับมาจะไม่มีความสุขกว่าเหรอ?”
ยิ่งใกล้ถึงวันกำหนดคลอดของเซี่ยชิงหยวนแล้วด้วย หัวใจของเธอก็เริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนทำให้หวังผิงไม่ยอมเอ่ยออกมา จึงทำได้เพียงต้อนเซี่ยจิ่งเยว่อยู่แบบนี้
ในใจของเธอ แม้ว่าจะไม่มีเรื่องของเซี่ยชิงหยวน กงเหลียนซินก็ทิ้งลูกสองคนของตัวเองไว้ข้างหลังเพื่อออกไปทำงานอยู่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
จริงอยู่ที่เธอไม่คิดว่าผู้หญิงจะต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก แต่การออกจากบ้านตามลำพังไม่ใช่เรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ลูกยังเล็กอยู่มาก
เธอบังเอิญไปเจอเซี่ยไป่อวิ๋นแอบร้องไห้บอกว่าคิดถึงแม่อยู่หลายครั้ง
เซี่ยโยว่หมิงนำฟืนที่เขาเก็บมาได้ในวันนี้ไปเก็บไว้ในโรงไม้ แล้วบอกกับหวังผิงว่า “อย่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของลูกเลย พวกเขามีแผนการของตัวเอง”
หวังผิงโกรธมากเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “คุณคิดว่าฉันอยากจะวุ่นวายนักเหรอ? เจ้ารองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกไปทำงาน แต่เธอล่ะทำไมถึงจากบ้านไปตั้งหลายเดือน? อีกทั้งทางฝั่งฉันก็รอเธอกลับมาช่วย ยังมีอะไรให้เธอต้องทำอีกรึไง?”
เซี่ยโยว่หมิงมองมายังภรรยาแล้วยกยิ้ม “คุณมีเรื่องร้อนใจอะไร? บอกผมมาหน่อยสิ”
หวังผิงสำลัก ก่อนจ้องมองเซี่ยโยว่หมิง “คุณจะสนใจไปทำไม?”
เซี่ยโยว่หมิงส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าคุณกังวลเรื่องลูกสาวก็ไปเถอะ มีอะไรให้ต้องอายกัน?”
กงเหลียนซินไม่อยู่ ที่บ้านมีเด็กสี่คนที่ต้องดูแล ในใจเขาเองก็เป็นห่วงลูก แต่ไม่อาจไปได้
หากบอกว่าพาเด็ก ๆ ไปด้วยก็จะยิ่งเพิ่มความวุ่นวาย เมื่อถึงเวลานั้นแล้วไม่รู้ว่าใครต้องดูแลใครกันแน่
ในเมื่อกงเหลียนซินไม่กลับมา สองสามีภรรยาเฒ่าจึงไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้ หวังผิงยังมีประสบการณ์และเหมาะสมกว่าเขาและเซี่ยจิ่งเยว่มาก
ใบหน้าของหวังผิงพลันแดงก่ำในแบบที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก เมื่อเซี่ยโยว่หมิงเอ่ยถึงเรื่องที่อยู่กลางใจของเธอ “ฉันบอกตอนไหนว่าฉันเป็นห่วงเธอ? ตาเฒ่าอย่าพูดเรื่องเหลวไหล”
เซี่ยโยว่หมิงมีความตั้งใจที่จะซ่อมรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาว จึงเอ่ยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณห่วงใยลูกสาว แล้วเสื้อผ้าที่คุณทำ ผ้าห่ม รวมถึงรองเท้าที่อยู่ในตู้ที่ล็อกกุญแจไว้นั่นไม่ได้ทำให้หลาน ๆ ของคุณหรอกเหรอ? ไหนจะของสำหรับการอยู่ไฟอีกถุงใหญ่ เมื่อสองวันก่อนผมเห็นคุณเอาของไปส่ง ชื่อผู้ส่งที่เขียนยังเป็นชื่อผมด้วย”
กี่ครั้งแล้วที่หวังผิงใช้ประโยชน์จากช่วงที่พวกเขาไม่อยู่บ้านเพื่อนำของต่าง ๆ ออกมาทำอย่างเงียบ ๆ เสื้อผ้านับร้อยเป็นเสื้อผ้าที่เธอนำไข่ไก่หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านไปแลกมาจากครอบครัวอื่น ทุกตัวนั้นเธอเป็นผู้เย็บเองทุกฝีเข็ม
ในตอนที่หวังผิงไปขอแลกผ้า ยังพูดด้วยว่า “ผิวของทารกแรกเกิดนั้นบอบบางมากจึงต้องการผ้าที่ดีที่สุดและนุ่มที่สุดน่ะ”
ทั้งยังเชิดหน้าของเธออย่างภาคภูมิใจเมื่อมีคนถามถึงเซี่ยชิงหยวนและลูก ๆ “ลูกสาวของฉันวาสนาดียิ่งที่ตั้งท้องลูกแฝดเสียด้วย!”
เขาชี้ไปยังหวังผิงพลางถอนหายใจ “คุณน่ะ ถึงตายก็ต้องรักษาหน้าไว้ แม้ว่ามีชีวิตอยู่ต้องรับกรรมก็ตาม”
[1] 长命锁 หรือ กุญแจอายุยืน คือ สิ่งเป็นมงคลคล้ายแม่กุญแจเอาไว้คล้องคอเด็กทารกเพื่อให้มีอายุยืน