บทที่ 479 เขาแข็งแกร่งพอ ๆ กับคุณเลย
บทที่ 479 เขาแข็งแกร่งพอ ๆ กับคุณเลย
โดยไม่คาดคิด แม้ว่าเซี่ยชิงหยวนจะหมดสติ แต่ร่างกายของเธอยังคงร่วมมือกับการเบ่งโดยไม่รู้ตัว
ทว่าแรงแค่นี้ยังไม่เพียงพอสำหรับเด็กที่มีภาวะมดลูกบีบตัวในการช่วยคลอดออกจากช่องคลอดอยู่ดี
ผู้อำนวยการเล่ยตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “หมอฮวง เร็วเข้า!”
หมอฮวงไม่กล้ารอช้า และด้วยใจที่แน่วแน่ เธอล้วงมือเข้าไปในช่องคลอด จับศีรษะของเด็กแล้วลากออกมาอย่างสุดกำลัง
ทารกที่คลอดออกมาจากร่างของแม่มีสีม่วงทั้งตัว และแม้แต่ใบหน้าเล็ก ๆ ทั้งหมดก็ยังเป็นสีม่วงอีกด้วย
เป็นเด็กผู้ชาย
ไม่มีใครคิดจะแสดงความยินดีกับแม่และครอบครัวของเธอที่มีลูกชายได้ เพราะจากนั้นทุกคนก็เร่งลงแรงในการช่วยเหลือรอบใหม่ต่อไปทันที
หมอฮวงไม่สนใจที่จะเช็ดสิ่งสกปรกออก วางเด็กไว้บนผ้าปลอดเชื้อ เริ่มทำความสะอาดทางเดินหายใจ จากนั้นบีบปากและเริ่มช่วยหายใจอย่างรวดเร็ว
ส่วนทางด้านของหมอฟ่านและผู้อำนวยการเล่ยเองยังคงอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือเซี่ยชิงหยวนเช่นกัน…
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอพบว่าเสิ่นอี้โจวและอีกหลายคนเฝ้าอยู่รอบตัว แม้แต่หวังผิงกับเซี่ยโยว่หมิงก็มาด้วย ดวงตาแต่ละข้างของพวกเขาแดงก่ำและดูซีดเซียว
ครู่หนึ่งเธอไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ความเจ็บปวดจากการที่มดลูกขดตัวทำให้หญิงสาวพลันนึกถึงว่าเคยหนีจากนรกมาก่อน
แล้วเด็กล่ะ?
เธอพยายามลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เสิ่นอี้โจวเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่าภรรยาตื่นแล้ว เขายื่นมือออกเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของเธอแล้วพูดว่า “ตอนนี้คุณยังอ่อนแอมาก หมอบอกว่าควรนอนบนเตียงจะดีที่สุดนะ”
เซี่ยชิงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงแห้งผาก “พ่อแม่ก็อยู่ที่นี่เหรอ?”
หวังผิงกับเซี่ยโหยวหมิงปาดน้ำตาและพูดไม่ออก
เซี่ยชิงหยวนมองไปรอบ ๆ อยู่พักใหญ่ “เด็กอยู่ที่ไหน?”
ปี่เหลาซานรีบอุ้มเด็กขึ้นมาจากเปลด้านข้าง พลางส่งให้เธอแล้วพูดว่า “นี่ลูกสาวคนโต”
เซี่ยชิงหยวนหันไปดู ผ่านไปสามวัน ผิวของเด็กหญิงก็ขาวขึ้นเป็นสีขาวอมชมพู และทารกน้อยก็กำลังหลับสนิท
บางทีทารกอาจได้กลิ่นของแม่ จึงหันมาหาเซี่ยชิงหยวน
ปี่เหลาซานยิ้มและพูดว่า “เด็กคนนี้รู้จักแม่ของตัวเองจริง ๆ”
หลายคนในห้องก็ยิ้มอย่างเห็นด้วย
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็เอ่ยถามคำถามที่ไม่อยากจะเผชิญ “แล้วลูกคนที่สองอยู่ที่ไหนคะ?”
เธอพยายามให้กำเนิดลูกคนที่สองแบบยอมถวายชีวิต แต่ทำไมตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่ล่ะ?
เป็นไปได้ไหมว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ไร้ผล?
คนที่เหลือหลบสายตาของเธอ แต่เสิ่นอี้โจวลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ลูกของเราต้องอยู่คอยสังเกตอาการในหอผู้ป่วยหนักน่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซี่ยชิงหยวนก็ปวดใจ “เขาสบายดีไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าด้วยน้ำตาคลอ “ลูกสบายดี เขาแข็งแกร่งพอ ๆ กับคุณเลย”
หลังจากการช่วยชีวิต หมอฮวงได้รีบนำลูกชายตัวน้อยออกจากห้องคลอดอย่างเร่งรีบ ส่งไปยังแผนกผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด
ใจของทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ล้วนแตกสลาย
เด็กตัวเล็ก ๆ ที่มีท่ออยู่ในปาก กำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเล็ก ๆ โดยมีเครื่องจักรที่ใหญ่กว่าเขาอยู่ข้าง ๆ
เขาตัวสีม่วงไปหมด มีคราบเลือดที่เช็ดไม่ทันเวลา และดูเหมือนจะหลับอยู่
ทุกคนมองดูอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่หมอเข็นเด็กออกไป
พวกเขาต้องการติดตามไป แต่เซี่ยชิงหยวนยังอยู่ข้างในและยังไม่ออกมาเลย
ต่อมาเป็นปี่เหลาซานที่พูดว่า “คุณตาอย่างเราไปอยู่กับเด็กกันเถอะ”
ชายชราสองคนในวัยหกสิบเศษก็ช่วยเหลือกันและจากไปพร้อมกัน
พวกเขาไปยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู ซึ่งมีหมอเดินผ่านเข้าออกทีละคน จนกระทั่งเย็นเซี่ยชิงหยวนได้ถูกเข็นออกมาจากห้องคลอด
หมอฟ่านและผู้อำนวยการเล่ยดูเหนื่อยล้าอย่างมาก “คุณแม่พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องเฝ้าดูอาการต่อไปค่ะ”
ดังนั้นทุกวันนี้ ทุกคนเกือบจะอยู่ในห้องพักของเซี่ยชิงหยวนและห้องไอซียูทารกแรกเกิดด้วยความกังวลเกี่ยวกับผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยวางเด็กได้…
เซี่ยชิงหยวนหลั่งน้ำตาทันที “ฉันอยากเจอลูก”
เสิ่นอี้โจวก้มลงเช็ดน้ำตาจากแก้มของเธอ “หมอบอกว่าตอนนี้คุณไม่ควรขยับนะ วันนี้ผมไปดูลูกมาแล้ว และพยาบาลก็กำลังป้อนนมผงให้เขาอยู่พอดี เขาดื่มนมมากกว่าเมื่อวานห้ามิลลิลิตรเชียว”
เขากอดเธอผ่านผ้าห่ม “คุณต้องดูแลร่างกายของคุณเองก่อน จึงจะสามารถดูแลลูกให้ดีขึ้นได้นะ”
หลังคลอด อุณหภูมิของร่างกายเซี่ยชิงหยวนลดลงมาก ไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
หมอบอกว่าการคลอดบุตรทำให้สูญเสียพลังชีวิตอย่างรุนแรงและทำให้ร่างกายอ่อนแอลง
ตอนที่เขาไปดูลูกชายคนเล็กล่าสุด ทารกน้อยยังนอนอยู่ในตู้ปลอดเชื้อเล็ก ๆ โดยที่ท่อยังสอดอยู่ในปาก และอกเล็ก ๆ ของทารกก็ขยับขึ้นลง
พยาบาลป้อนนมผงให้ ทารกน้อยยังดูดนมไม่ได้ จึงต้องใช้ช้อนเล็ก ๆ ค่อย ๆ ป้อนทีละน้อย
นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่เสิ่นอี้โจวรู้สึกถึงความเปราะบางของชีวิต
เขายืนมองผ่านผนังกระจกของห้องผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิดพร้อมน้ำตาไหลอาบหน้า
เขากระซิบ “ลูก…นี่พ่อเองนะ”
เมื่อเขาพูดสิ่งนี้อีกครั้ง อารมณ์ของเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
หลินตงซิ่วยังแนะนำอีกว่า “ใช่แล้ว พอตัวลูกสบายดี เด็กน้อยก็จะสบายดีไปด้วยนะ”
เธอกลั้นน้ำตา “เช้านี้เราไปดูเด็กชายมาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะดีขึ้นกว่าเดิมมากเลยแหละ”
เมื่อเทียบกับตอนแรกที่หลานชายตัวน้อยทำได้เพียงพึ่งสารอาหารผ่านทางสายยางเพื่อประทังชีวิต ตอนนี้ทารกน้อยสามารถดื่มนมผงเองได้มากกว่า 10 มิลลิลิตรแล้ว ซึ่งถือเป็นข่าวดีแน่นอน
ยิ่งผู้คนรอบตัวเธอปลอบโยนมากเท่าไร เซี่ยชิงหยวนยิ่งรู้สึกผิดในใจ เธออดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา “มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมดเอง หากฉันอดทนและไม่ท้อถอย บางทีลูกอาจจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้ก็ได้”
เสิ่นอี้โจวรีบพูดทันที “ชิงหยวน คุณทำได้ดีมากที่สุดแล้ว อย่าตำหนิตัวเองแบบนี้สิ ผมต่างหากที่ล้มเหลวในการแบ่งเบาภาระให้กับคุณในเวลาที่คุณต้องการผมมากที่สุด”
หลายครั้งในระหว่างกระบวนการทั้งหมดนี่ เขาต้องการเข้าไปร่วมแบ่งเบาความทุกข์กับเซี่ยชิงหยวน แต่พยาบาลทุกคนก็หยุดเขาไว้
ในชาติก่อนของเขาจนกระทั่งเสียชีวิต วิธีการคลอดบุตรแบบที่ให้บิดาเข้าร่วมก็ยังไม่ได้มีในประเทศจีน ดังนั้นความพยายามของเขาที่จะเข้าไปในห้องคลอดจึงถูกหยุดโดยโรงพยาบาลอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาทำได้เพียงยืนอยู่นอกห้องผ่าตัดโดยมองดูป้ายไฟคำว่า ‘อยู่ระหว่างการผ่าตัด’ ที่อยู่เหนือศีรษะ และหัวใจของเขาก็รู้สึกเหมือนถูกมีดเฉือน
……………………………………………