บทที่ 483 เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้งอแง
บทที่ 483 เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้งอแง
เมื่อเห็นสีหน้าที่ผ่อนคลายลงของหวังผิง เซี่ยโยว่หมิงก็คว้าโอกาสนี้เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาพยักหน้าอย่างมั่นใจและหนักแน่น “จริง”
หวังผิงขมวดคิ้ว ราวกับว่าเธอยังคงสงสัยคำพูดของเขา
เซี่ยโยว่หมิงจึงเอ่ยต่อ “ไม่เทียบกับอาจารย์ปี่ก็ได้ เอาแค่แม่สามีของชิงหยวน
คุณพูดก่อนหน้านี้ว่าไม่ไว้วางใจให้แม่สามีดูแลลูกสาวของคุณ แต่ตอนนี้คุณเองก็ได้เห็นแล้วว่าแม่สามีของลูกเป็นห่วงลูกสาวของเราไม่น้อยไปกว่าคุณเลย”
ในวันนั้นที่พยาบาลออกมาจากห้องผ่าตัดอย่างเร่งรีบและบอกว่าธนาคารเลือดของโรงพยาบาลไม่มีเลือดเพียงพอสำหรับเซี่ยชิงหยวน ไม่ใช่แค่หวังผิงเท่านั้น แต่หลินตงซิ่วก็ร้องไห้โฮออกมาทันทีเช่นกัน
ต่อมา เมื่อได้ยินจากพยาบาลว่าสมาชิกในครอบครัวสามารถไปตรวจหมู่เลือดเพื่อดูว่าตรงกันหรือไม่ได้ หลินตงซิ่วก็ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำทันที
ทุกคนยืนเฝ้าจนกระทั่งเซี่ยชิงหยวนออกมาจากห้องผ่าตัด หลินตงซิ่วนั้นเดินอย่างกะโผลกกะเผลก ตอนนั้นเองทุกคนจึงรู้ว่าเธอล้มและได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง ไม่ต้องพูดถึงว่าผิวหนังถลอกปอกเปิก ซ้ำยังมีรอยช้ำที่เกิดจากการกระแทกเข้ากับบันไดอีกด้วย
เมื่อเสิ่นอี้โจวเอ่ยถาม เธอก็ยิ้มอย่างไม่แยแส “ไม่เป็นอะไรหรอก เมื่อครู่แม่ไม่ทันระวังเลยล้มน่ะ”
กว่าจะรู้ก็เมื่อมีญาติของครอบครัวอื่นที่มาคลอดเอ่ยเตือนว่าเธอรีบร้อนไปซื้ออาหารเช้าให้เซี่ยชิงหยวน จึงสะดุดล้มลงอย่างแรงที่ปล่องบันได
พอได้ยินถ้อยคำของเซี่ยโยว่หมิง ท่าทีของหวังผิงไม่ได้ซับซ้อน ทว่ายังคงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ดูไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
เซี่ยโยว่หมิงรู้ดีว่าไม่ควรพูดมากเกินไปในคราวเดียว จึงกล่าวว่า “หลานก็ได้เห็นแล้ว อย่างนั้นพวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”
เป็นเวลาเดียวกับที่พยาบาลอุ้มทารกให้เรอเรียบร้อยแล้ว และวางเจ้าตัวน้อยลงในตู้อบ
หวังผิงมองอย่างไม่อยากจะไปนักพลางเอ่ย “กลับกันเถอะ”
เธอต้องฝืนยอมรับไปตามนั้น และค่อย ๆ เดินออกไปทีละก้าว ๆ
แสงอาทิตย์ฤดูร้อนสาดส่องผ่านหน้าต่างทางเดิน ตกกระทบร่างกาย รวมถึงผมสีดอกเลาของทั้งคู่
บางทีแม้แต่พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าในตอนที่มาถึงมณฑลอวิ๋นแรก ๆ บนศีรษะของพวกเขาไม่ได้มีผมหงอกขาวมากขนาดนี้
…
เซี่ยชิงหยวนนอนอยู่บนเตียง ฟังเสิ่นอี้โจวพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของลูกชายคนเล็ก ปลายจมูกของเธอก็อดอึดอัดขึ้นมาไม่ได้
หญิงสาวสูดจมูกฟุดฟิดเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้
พี่สาวคังพาลูกสาวของเธอไปป้อนนมจนอิ่มและพากลับมาแล้ว ในตอนนี้กำลังนอนอยู่ในเปล เด็กน้อยก็กวาดดวงตากลมโตไปรอบ ๆ อย่างสงสัยใคร่รู้
เสิ่นอี้โจวปัดตกความคิดของเซี่ยชิงหยวนที่จะอุ้มลูกมานอนด้วยกัน “ผมได้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดกันว่าเมื่อเด็กคุ้นเคยกับกลิ่นกายของแม่แล้วจะเกาะติดกับแม่ ไม่ยอมปล่อย หากเป็นแบบนั้น คุณจะพักผ่อนได้ไม่เต็มอิ่มเอานะ”
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้ว “แต่ลูกเพิ่งเกิดได้ไม่กี่วันเอง”
เสิ่นอี้โจวยกยิ้ม “ชิงหยวน อย่าประมาทลูกสาวของเราเลย”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกราวกับเธอได้ค้นพบอะไรบางอย่าง
เธอกวักมือเรียกเสิ่นอี้โจวพร้อมลดเสียงของตัวเองลง “คุณเองก็คิดว่าลูกสาวของเราไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งเหมือนกันใช่ไหม?”
ได้ยินดังนั้น เสิ่นอี้โจวก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย?”
เซี่ยชิงหยวนรีบยกนิ้วชี้ขึ้นแนบกลางริมฝีปากของเธอเพื่อบอกให้เขาเงียบเสียง
เสิ่นอี้โจวดึงมือของภรรยาลงแล้วพูดว่า “ผมหมายถึงว่าลูกสาวของเราฉลาดมาก ผมเดาว่าหลังจากเธอได้พบหน้าคุณอีกสักสองสามครั้งก็คงจำคุณได้แล้วน่ะ”
เขาเงียบลงครู่หนึ่งพลางมองดูลูกสาวที่กำลังมองมาทางนี้ สีหน้าของเขาก็อ่อนโยนขึ้น “หากแต่ผมคิดว่าลูกเองก็คงเห็นอกเห็นใจแม่ของเธอและดูแลตัวเองได้นะ”
เซี่ยชิงหยวน “…คุณคิดว่าสิ่งที่คุณกำลังอธิบายอยู่นี่คือเด็กทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลกเมื่อไม่กี่วันก่อนหรือเปล่า?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าด้วยท่าทางที่บอกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่นเลยแม้เพียงสักนิด “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกหมดอารมณ์ที่จะคุยกับสามีต่อทันที หญิงสาวจึงหันหลังให้เขา “พ่อลูกไปเล่นกันเถอะ แม่เหนื่อยแล้ว”
หลังเอ่ยจบก็ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใด ๆ จากด้านหลังเธออยู่เป็นเวลานาน หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง
ก่อนพบว่าลูกสาวของเธออยู่ในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว ทั้งคู่มีใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันอย่างยิ่ง เธอมองภาพนั้นพร้อมระบายยิ้ม
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนอ่อนยวบลงจนกลายเป็นก้อนกลมอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
เธอยื่นมือไปทางเสิ่นอี้โจว “ฉันอยากอุ้มลูก”
ขณะที่เธอยื่นมือออกไป เหมือนว่าเธอจะเห็นรอยยิ้มของเด็กหญิงตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นสั้นเกินกว่าที่เธอจะจับภาพนั้นไว้ได้
ก่อนที่หญิงสาวจะคิดขึ้นมาอีกครั้งว่าเด็กน้อยอายุเพียงไม่กี่วันจะยิ้มได้ยังไง?
ต้องเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากอาการเจ็บป่วยที่ยังไม่หายดีแน่
เสิ่นอี้โจววางลูกสาวไว้ริมเตียงของเซี่ยชิงหยวนอย่างระมัดระวัง โดยให้อยู่ใต้วงแขนของเธอเพียงเล็กน้อย
เซี่ยชิงหยวนเอียงตัวไปด้านข้าง สายตาของเธอจ้องมองไปยังใบหน้าของลูก พินิจพิเคราะห์ไปทั่วลูกสาวด้วยสีหน้าเปี่ยมรัก
เมื่อมองดูผิวที่ยังมีขนอ่อน ๆ ของลูกสาว เซี่ยชิงหยวนก็อดที่จะเอื้อมมือออกไปแตะมันเบา ๆ ไม่ได้ สัมผัสอันนุ่มนวลที่ไม่อาจพรรณนาแผ่ออกมาจากปลายนิ้ว
เหมือนกับเต้าหู้อ่อนนุ่ม ๆ หรือไม่ก็ของอะไรบางอย่างที่มีขนปุกปุย สรุปสั้น ๆ ก็คือนุ่มและนิ่มมาก
เซี่ยชิงหยวนค้นพบอีกครั้งว่าไม่เพียงแต่ใบหน้าของลูกเท่านั้น แม้แต่หูเล็ก ๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยก็มีขนอ่อนบาง ๆ
เธอมองเสิ่นอี้โจวด้วยความประหลาดใจระคนตื่นเต้น แล้วเอ่ยว่า “ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมบางคนถึงเรียกทารกแรกเกิดว่าเจ้าก้อนขน”
หญิงสาวชี้ไปยังหูและแก้มเล็ก ๆ ของลูกสาว “ดูสิ มีขนอ่อนเล็ก ๆ เต็มไปหมดเลย”
เสิ่นอี้โจวยกยิ้ม “นี่คือขนของเด็กแรกเกิด เดี๋ยวจะค่อย ๆ หายไปเมื่อเด็กโตขึ้นนั่นแหละ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ แล้วจึงกลับมาขลุกตัวเล่นอยู่กับลูกสาวอีกครั้ง
และเด็กหญิงตัวน้อยเองก็มองเธออย่างร่วมมือ ทั้งยังตอบสนองต่อการสัมผัสของเธอด้วยเสียง “แอะ” เป็นครั้งคราว
เสิ่นอี้โจวมองไปยังแม่และลูกสาวที่เข้ากันได้ดี ในที่สุดหินที่หนักอึ้งอยู่ในใจของเขาก็ถูกวางลงได้เสียครึ่งหนึ่ง
หวังว่าการที่มีลูกสาวอยู่เป็นเพื่อน เซี่ยชิงหยวนจะลดความห่วงหาอาทรลูกชายคนเล็กลงไปได้บ้าง
ยังไงซะ สภาพของลูกชายคนเล็กในเวลานี้ก็ไม่เหมาะจะให้เธอเห็น
ในขณะที่เขากำลังจมอยู่ในความคิด ก็พลันได้ยินเสียงร้องอุทานเบา ๆ ของเซี่ยชิงหยวน
เสิ่นอี้โจวหันศีรษะมองไปและพบว่าเด็กหญิงตัวน้อยพยายามโน้มศีรษะเล็ก ๆ ของตัวเองไปทางหน้าอกของภรรยา
และบริเวณหน้าอกของชุดคนไข้ที่เซี่ยชิงหยวนสวมใส่ก็มีคราบน้ำที่น่าสงสัยอยู่เป็นดวง
เซี่ยชิงหยวนเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทว่ามันไหลล้นออกมาเอง
เมื่อนึกถึงคำพูดของคุณหมอ หญิงสาวก็จำต้องผละออกจากลูกสาวและหันหลังเพื่อหลบเลี่ยง
แม้ว่าสายตาของเด็กหญิงตัวน้อยในตอนนี้จะยังไม่ค่อยดีนัก แต่การรับรู้กลิ่นของเธอก็ไม่ได้แย่ เมื่อพิจารณาจากกลิ่นของแม่และน้ำนมได้ จมูกเล็ก ๆ ของเธอจึงพยายามโน้มเข้าหาหน้าอกของเซี่ยชิงหยวน
แต่ถึงอย่างไรก็ยังเล็กอยู่มาก ทั้งยังมีเรี่ยวแรงน้อยนิดจึงไม่อาจพลิกตัวไปได้ ทำให้หงุดหงิดจนร้องไห้งอแงออกมาในท้ายที่สุด
เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้ด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดราวกับว่าได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่
เซี่ยชิงหยวนตื่นตระหนกทันทีพร้อมส่งสายตาไปหาเสิ่นอี้โจวอย่างจนปัญญา
เสิ่นอี้โจวยกยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินเข้าไปอุ้มลูกสาวขึ้น
“มีอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
ก่อนที่เสิ่นอี้โจวจะได้พูดอะไร เสียงเคาะประตูจากพี่สาวคังก็พลันดังขึ้นก่อนแล้ว