ดาบพิโรธสวรรค์ – ตอนที่ 109

ตอนที่ 109

ตอนที่ 109 ท้าศิษย์สายตรง

บนโต๊ะของหลินเซวียนเต็มไปด้วยอาวุธ โอสถ และทรัพยากรบ่มเพาะพลังมากมาย

เขามองฟานช่งอย่างแปลกประหลาดก่อนจะฝืนยิ้ม เขาไม่คาดคิดว่าศิษย์สายตรงที่ไม่ถูกคอกันก่อนหน้านี้จะมาเอาใจ

” หลิน… ศิษย์น้องหลิน ข้าทําให้เจ้าไม่พอใจในอดีต ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เก็บเอาไปคิดมาก” ฟานช่งลูบมืออย่างเขินอาย หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน เขาคงไม่พูดคํานี้ออกมา

“เมื่อศิษย์พี่ฟานว่าเช่นนั้น ข้าก็จะปล่อยให้มันผ่านไปเสีย” หลินเซวียนหัวเราะ

“เยี่ยมเลย!” ฟานช่งเผยใบหน้ายินดี “ข้าได้ยินว่าศิษย์น้องหลินจะท้าประลองศิษย์สายตรงไม่ทราบว่า…”

‘เป็นเพราะเรื่องนี้เอง!’ หลินเซวียนดูท่าที่ฟานข่งก็พอเข้าใจแล้วว่า ฟานช่งกลัวเขาจะท้าประลองเพื่อชิงตําแหน่งศิษย์สายตรง

“ข้าได้คิดไว้แล้วว่าจะประลองกับใคร” หลินเซวียนจดจ้องไปที่ดวงตาฟานช่ง

เมื่อเห็นสายตาหลินเซวียน หัวใจฟานช่งก็จมดิ่งอีกครั้ง เขาถามอย่างขมขึ้น “ใครสั้นหรือ คงไม่ใช่ข้าหรอกนะ?”

“ฮ่า ๆ” หลินเซวียนยิ้มพร้อมกล่าว “ไม่ใช่ศิษย์พี่หรอก!”

ฟู่! ฟานช่งถอนหายใจยาวก่อนจะกลับมาเป็นปกติ

“ข้าไม่ทราบว่าศิษย์น้องหลินจะท้าใครสั้นหรือ ข้าอาจจะพอช่วยได้ ข้าพอจะรู้จักศิษย์สายตรงบางคนอยู่บ้าง” ฟานช่งตบอกขณะกล่าว

หลินเซวียนรู้สึกดีใจขึ้นมา เขาเองก็กําลังมองหาคนที่พอจะมีข้อมูลอยู่ ฟานช่งผู้นี้นับว่ามาได้ถูกเวลา

“อันดับห้าและอันดับเจ็ด ศิษย์พี่พอจะทราบข้อมูลไหม?” หลินเซวียนถาม

ฟานช่งมองหลินเซวียนอย่างประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่าหลินเซวียนจะท้าประลองสองคนนี้ ทันใดนั้นเขาก็พอจะนึกอะไรบางอย่างได้พร้อมเผยใบหน้ากระจ่าง

‘ไม่ใช่ว่าศิษย์อันดับห้าและเจ็ดเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเยว่หรอกหรือ? เราได้ยินมาว่าพวกเขามี เรื่องบาดหมางกันมาก่อน ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงสินะ!’ ฟานช่งคิดอย่างเข้าใจ ‘โชคดีที่ เราทําการบ้านมาดี มิเช่นนั้นคงโดนท้าไปแล้ว’

เมื่อนึกได้ว่าเกือบต้องเสียตําแหน่ง ฟานช่งก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

“อันดับเจ็ดมีชื่อว่าตงหยิง เขารวดเร็วอย่างมากและเชี่ยวชาญในวิชาก้าวไร้เงาขั้นสีดําระดับกลาง และยังมีทักษะตัวเบาขั้นสูงอีกด้วย”

“อันดับห้าคือจ้าวจือเฉิง ผู้บ่มเพาะพลังกาย ร่างกายของเขาแข็งแกร่งราวกับเหล็ก แม้แต่ดาบก็ฟันแทงไม่เข้า”

“ทั้งสองอยู่ขั้นเปิดชีพจรระดับสูงสุด ไม่ว่าใครก็ประมาทไม่ได้”

หลังจากนั้น หลินเซวียนก็ถามคําถามฟานข่งเกี่ยวกับคนอื่น ๆ ก่อนจะส่งเขากลับ

เมื่อรู้ว่าศัตรูมีอะไรบ้างแล้ว หลินเซวียนก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีก

สองวันให้หลัง หลินเซวียนก็เริ่มเคลื่อนไหว

ในสํานักชวนเทียน มียอดเขาอยู่ลูกหนึ่งที่งดงามอย่างมาก บนนั้นจะมีเจดีย์อยู่ ในเจดีย์หนึ่งชายหนุ่มผิวเข้มกําลังยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายหนุ่มและสตรีด้วยท่าทีภาคภูมิใจ

ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงดังขึ้น “เจ้าคือตงหยิงใช่หรือไม่?”

ชายหนุ่มผู้ภาคภูมิได้กวาดสายตามมองก่อนจะกล่าวเสียงต่ํา “ใครกัน? ออกมาที่นี่ซะ”

เสียงนั้นเย็นเยือกและดังก้องไปทั่วห้อง “พบกันที่ลานประลอง!”

เมื่อสิ้นสุดเสียง ได้มีใบไม้ลอยเข้ามาในเจดีย์ตามสายลม

ใบไม้นั้นเขียนคําว่า ‘หลินเซวียน’

“หลินเซวียน! เขาคิดจะท้าศิษย์พี่ตงประลอง!” กลุ่มคนรอบด้านถึงกับแตกตื่น จากนั้นเขาหันไปมองชายหนุ่มผิวเข้มอย่างรวดเร็ว เวลานี้ตงหยิงกําลังขมวดคิ้วแน่น

สํานักชวนเทียน ลานประลองของศิษย์ชั้นใน

หลินเซวียนสวมอาภรณ์สีดํากําลังยืนอย่างเงียบงันอยู่บนลาน

ข่าวนี้ได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ผู้คนมากมายรีบมาที่นี่ เพราะมันคือการประลองที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้

ในหมู่พวกเขา ถังอี้ที่อยู่อันดับสาม และเซียงเฉินที่อยู่อันดับสี่ก็มาด้วยเช่นกัน

ผู้คนเริ่มเดินมามากขึ้นเรื่อย ๆ เวลานี้ศิษย์สายตรงยกเว้นอันดับหนึ่งกับสองเท่านั้นที่ไม่มา จ้าวจือเฉิงที่อยู่อันดับห้าก็ยืนดูอยู่ข้าง ๆ

หลินเซวียนมองจ้าวจือเฉิงก่อนจะกล่าวเบา ๆ “ตงหยิงยังไม่มา เจ้าก็ขึ้นมาเป็นคู่ซ้อมมือให้ข้าก่อนก็ได้นะ”

น้ําเสียงของเขาฟังดูผ่อนคลายเสมือนไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา แต่สิ่งนี้ทําให้ผู้คนรอบด้านถึงกับตื่นตระหนก

“อะไรกัน? ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ เขาจะท้าแม้แต่จ้าวจือเฉิงเลยหรือ? แล้วเขาจะสู้กับตงหยิงด้วย?”

“เขาคิดจะท้าทั้งสองเลยหรือเปล่า?”

เมื่อนึกกันเช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่มาดูถึงกับกุมขมับ “บ้าไปแล้ว!”

มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่จะท้าประลองคนอื่นต่อ แต่ผู้ท้าก็ต้องมีความแข็งแกร่งพอตัวด้วย!

“รนหาที่ตาย เขากําลังรนหาที่ตายอย่างแท้จริง! ข้าแทบจะทนไม่ไหวแล้ว!” ศิษย์หลายคนที่อยู่ฝั่งจ้าวจือเฉิงต่างตะคอกขึ้น พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเย้ยหยันหลินเซวียน

เพราะทั้งสองคือศิษย์สายตรง ดังนั้นย่อมมีศิษย์น้องมากมายเป็นของตัวเอง

“ข้าจะจัดการเจ้าเองโดยไม่ต้องถึงมือศิษย์พี่จ้าว!” ทันใดนั้น ได้มีร่างคนกําลังลอยมาจากอีกเส้นทางหนึ่ง

เขาลอยมาราวกับเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ทุกคนก็ทราบดีว่ามันไม่ใช่การบิน แต่เป็นการใช้วิชาตัวเบาระดับสูง

จากนั้นไม่นาน เงาของชายผิวเข้มก็ทะยานอยู่เหนือเวทีเล็กน้อยพร้อมเสียงปรบมือจากผู้คนมากมาย

“ดูสิ สง่างามมาก!”

“เขาก้าวเท้าบนอากาศได้! เขาทําได้ยังไง!” ศิษย์มากมายตะโกนอย่างตื่นเต้น

เวลานี้ตงหยิงที่ยืนอยู่เหนืออากาศได้มองหลินเซวียน ไอ้หนู กล้าท้าข้าก็เท่ากับเจ้าตายแล้ว!”

“ครั้งก่อนเจ้ากล้าหักหน้าอาจารย์ข้ากลางสาธารณะ วันนี้ข้าจะกําจัดเจ้าซะ!” ดวงตาตงหยิงเปล่งประกายราวกับอสรพิษ

“พูดมาก เข้ามาได้แล้ว!” ด้วยเส้นผมที่ปลิวไสว ดวงตาที่มีประกายสายฟ้า และลมหายใจที่แหลมคมจากร่างกาย หลินเซวียนกําลังยืนตระหง่านราวกับราชันของโลกใบนี้

“ตายซะ!” ตงหยิงตะโกนขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนจะเหยียบลงพื้นและหายไปทันที

“เร็วมาก!” ศิษย์ชั้นในหลายคนไม่อาจเห็นการเคลื่อนไหวของตงหยิง มีเพียงไม่กี่คนที่มีฝีมือ สามารถเห็นสถานการณ์ตอนนี้

ดวงตาหลินเซวียนเปลี่ยนเป็นสีส้ม ด้วยพลังของจิตที่แข็งแกร่ง มันสามารถมองเห็นภาพลวงตาทั้งหมดได้ แน่นอนว่าสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของตงหยิงด้วย

ในดวงตาของเขา ทุกอย่างที่ตงหยิงกําลังทํา เขาได้มองเห็นทุกสิ่ง ภายใต้วิชานัยน์ตาสีม่วง มันทําให้เขาจับความเคลื่อนไหวของศัตรูได้อย่างแม่นยํา

เขาถอยหลังไปสามก้าวด้วยใบหน้าที่สงบ

วินาทีต่อมา ได้เกิดลมแรงขึ้นตรงจุดที่เขาเคยยืนอยู่ เงาของตงหยิงเองก็ปรากฏขึ้น

‘ทําไมมันหลบได้?’ ตงหยิงชะงักก่อนจะหายไปอีกครั้ง

“ไม่มีทาง!”

“ศิษย์พี่ตง อัดมันเลย!”

ศิษย์น้องของเขาตะโกนขึ้นราวกับตงหยิงชนะไปแล้ว

ทันใดนั้น ดวงตาสีส้มของหลินเซวียนสว่างขึ้นก่อนจะเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก ความเร็วที่สมบูรณ์แบบของตงหยิ่งถูกเขาอ่านออกหมดแล้ว

ดาบพิโรธสวรรค์

ดาบพิโรธสวรรค์

Status: Ongoing

ลินเซวียนถูกผนึกจุดชีพจรจากพลังลึกลับ ทำให้เขาไม่สามารถเปิดพลังวิญญาณเข้าสู่การบ่มเพาะพลังได้

ชีวิตที่ต้องทนลำบากจากการถูกดูหมิ่น เย้ยหยัน เหยียดหยาม

ด้วยความมุ่งมั่นพยายาม มันทำให้ชีวิตของเขาได้พบจุดเปลี่ยน!

หนึ่งดาบทะลวงดารา!

หนึ่งดาบสะเทือนฟ้าดิน!

หนึ่งดาบพิโรธสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท