บทที่ 508 ไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว
บทที่ 508 ไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว
ตงวั่งชุนไม่ได้ตื่นตระหนก และมือที่ยังคงถือแก้วน้ำยังมั่นคงดังเดิม
เธอยิ้มให้เซี่ยเจิ้ง “ท่านเซี่ยโปรดดื่มน้ำก่อนนะคะ”
เซี่ยเจิ้งเหลือบมองเซี่ยจื่ออี้อย่างไม่พอใจและรับแก้วน้ำไป “ขอบคุณ”
เขาจิบ จากนั้นน้ำอุ่นที่เข้าไปในร่างกายก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บและคันคอ ชายชรารู้สึกดีขึ้นมาก
เขาเอ่ยถาม “เสี่ยวเสิ่นขอให้เธอมาที่นี่เหรอ?”
ตงวั่งชุนพยักหน้าและหยิบเอกสารที่อยู่ข้างหลังออกมาพร้อมกับปากกา “เลขาธิการเสิ่นบอกว่าเอกสารนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน และต้องการลายเซ็นของคุณก่อนที่จะถูกส่งไปยังทุกหน่วยงานน่ะค่ะ”
เซี่ยเจิ้งรับเอกสารมา อ่านที่หัวข้อแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่นะ”
ตงวั่งชุนพยักหน้าเบา ๆ “ท่านเซี่ยโปรดอ่านมันอีกครั้งก่อนนะคะ ฉันจะรอคุณอยู่ข้างนอกค่ะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ขณะเดินผ่านเซี่ยจื่ออี้ เธอยกคางขึ้นเบา ๆ โดยไม่กลัวเลย
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกหงุดหงิดกับคนสองคนที่เมินเฉยต่อเธอ และโดยเฉพาะตอนนี้ทัศนคติที่เย่อหยิ่งของตงวั่งชุนทำให้หญิงสาวหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น
เธอเดินตามไปและเรียกตงวั่งชุน “ผู้ช่วยตง”
ตงวั่งชุนหันกลับมาแล้วยิ้ม “ค่ะ คุณเซี่ย”
เซี่ยจื่ออี้คิดถึงเหตุการณ์เมื่อกี้แล้วพูดว่า “วันนี้ผู้ช่วยตงมาที่นี่เพื่อส่งเอกสารให้พ่อของฉันเหรอ?”
ตงวั่งชุนพยักหน้า “ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น คุณเซี่ยจะคิดว่ามันเป็นอะไรได้ล่ะคะ?”
เซี่ยจื่ออี้พูดต่อ “การส่งเอกสารเป็นหน้าที่ของคุณ ฉันเข้าใจ แต่ฉันก็หวังว่าผู้ช่วยตงจะปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเองแค่อย่างเดียวเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงวั่งชุนก็ยิ้มอย่างมีความหมาย “แน่นอนค่ะ ฉันย่อมทำงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาอย่างจริงจัง แต่ฉันค่อนข้างสับสนกับคำพูดของคุณเซี่ย และไม่ค่อยเข้าใจคุณสักเท่าไหร่ ถ้าคุณเซี่ยอยู่คอยดูแลท่านเซี่ยโดยตลอด ฉันคิดว่าฉันคงไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่นอกเหนือจากหน้าที่ค่ะ ฉันแค่เห็นว่าท่านเซี่ยกำลังป่วยและอยู่คนเดียวที่บ้าน ดังนั้นฉันจึงช่วยยกแก้วน้ำให้เขาเท่านั้น”
ดวงตาของเธอกวาดมองเซี่ยจื่ออี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “แทนที่จะเอาเวลามามีความคิดแปลก ๆ มันคงจะดีกว่าถ้าคุณเซี่ยพยายามใช้เวลาอยู่กับท่านเซี่ยให้มากขึ้นนะคะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น ตงวั่งชุนก็ยืนอยู่ที่ทางเดิน เบนสายตามองไปยังห้องนั่งเล่นชั้นล่าง เธอเม้มปากโดยไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดอะไรอีกต่อไป
เซี่ยจื่ออี้หัวเราะด้วยความโกรธ
เซี่ยเจิ้งอยู่ข้างในห้องไม่ไกล ดังนั้นเซี่ยจื่ออี้จึงทำได้เพียงลดเสียงให้เบาลงแล้วพูดว่า “เป็นแค่ผู้ช่วยกระจอก ๆ ไม่มีคุณสมบัติอะไรจะมาสอนฉันด้วยซ้ำ”
ตงวั่งชุนขมวดคิ้ว “เนื่องจากคุณเซี่ยก็รู้ว่าฉันเป็นผู้ช่วยของเลขาธิการเสิ่น ดังนั้นคุณเองก็ไม่ควรก้าวก่ายมาสอนฉันเช่นกันค่ะ”
เธอเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเซี่ยจื่ออี้ตามที่ต้องการ จึงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ฉันเคยได้ยินมาก่อนว่าคุณเซี่ยเป็นคนอ่อนโยนและใจดี แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อมากลับกลายเป็นเหมือนเป็นคนละคน ผิดแปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ”
เธอหยุดชั่วคราวและยิ้มอย่างมีความหมาย “ดูเหมือนว่าข่าวลือจะไม่ได้มั่วไปซะทั้งหมดจริง ๆ”
เซี่ยจื่ออี้ถลึงตาพูดอย่างโกรธ ๆ “เธอ…”
“เสี่ยวตง”
ทันใดนั้นเสียงของเซี่ยเจิ้งก็ดังขึ้น เรียกหาตงวั่งชุนจากในห้อง
ตงวั่งชุนขานตอบทันที “คะ?”
หลังจากตอบรับ หญิงสาวก็พูดกับเซี่ยจื่ออี้ “คุณเซี่ย ฉันขอตัวเข้าไปก่อนนะคะ”
หลังจากนั้นเธอก็เดินผ่านเซี่ยจื่ออี้ไปอย่างเฉยเมย
ตงวั่งชุนปิดประตูขณะที่เซี่ยจื่ออี้ทำได้เฝ้าดูเท่านั้น
เซี่ยจื่ออี้มองไปยังประตูที่ปิดลง และรู้สึกราวกับว่าเธอโดดเดี่ยวอย่างมาก
ตงวั่งชุนคนนี้เป็นเพียงผู้ช่วยและก็ไม่ได้ทำอะไรมากเกินไป แต่ทำไมเธอถึงโกรธอีกฝ่ายง่ายขนาดนี้?
เธอสูดหายใจเข้าลึกและระงับความไม่สบายใจของตัวเอง “เซี่ยจื่ออี้ เธอต้องสงบสติอารมณ์ลงหน่อยนะ”
การสนทนาในห้องดำเนินไปเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วหมดลง จากนั้นตงวั่งชุนก็เดินออกมา
โดยไม่แม้แต่จะมองเซี่ยจื่ออี้ ตงวั่งชุนจากไปทันที
ก่อนที่เซี่ยจื่ออี้จะคิดอะไรได้ เซี่ยเจิ้งก็เรียกเธอ “จื่ออี้เข้ามา”
เซี่ยจื่ออี้สงบอารมณ์ของเธอแล้วผลักประตูให้เปิดออก
เธอไปที่ข้างเตียงของเซี่ยเจิ้งและนั่งลง จับมือของผู้เป็นพ่อแล้วถามด้วยท่าทางกังวล “พ่อคะ พ่อเป็นอะไรมากไหม?”
เซี่ยเจิ้งดึงมือของเขาออก มองดูเธออย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “วันนี้ตอนเที่ยงลูกไปไหนมา?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซี่ยจื่ออี้ก็สะดุ้ง และรอยยิ้มของเธอก็แข็งค้าง “พ่อคะ”
เซี่ยเจิ้งมองดูเธอด้วยความผิดหวังอย่างมาก “เรื่องที่พ่อไปโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้แล้วไม่ได้บอกลูกเป็นเพราะพ่อไม่อยากจะรบกวนการทำงานของลูก”
“แต่ต่อมา ลุงเหยียนของลูกได้รับข่าวจากที่ไหนสักแห่งและโทรมาด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะบอกว่าเขาได้อนุมัติให้ลูกลาหยุดเพราะขอลากับเขาเพื่อกลับมาดูแลพ่อ แต่นี่คืออะไร? ลูกไปไหนมาถึงไม่ยอมกลับมาบ้านจนถึงป่านนี้?”
เซี่ยจื่ออี้ไม่คิดเลยว่าผู้บังคับบัญชาของเธอจะบอกเซี่ยเจิ้งเกี่ยวกับการลางาน
เดิมทีเธออยากกลับมาหาเซี่ยเจิ้ง แต่บังเอิญไป๋อวิ๋นหลี่ไปกินมื้อเย็นกับหน่วยอื่น และต้องการพาเธอไปด้วย
เธอชั่งน้ำหนักในใจซ้ายและขวา ก่อนจะตัดสินใจไปกินข้าวกับเขาก่อนแล้วค่อยกลับมาหาพ่อของเธอ
แต่บรรยากาศการร่วมโต๊ะอาหารเป็นไปด้วยดีมาก และเธอไม่อยากออกมากลางคัน จึงเลื่อนเวลาออกมาจนถึงตอนนี้
เธอต้องการบอกเซี่ยเจิ้งว่ามีเหตุฉุกเฉินชั่วคราวในที่ทำงาน แต่เมื่อเผชิญกับการจ้องมองของชายชรา เธอก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
เธอก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “พ่อคะ หนูขอโทษค่ะ”
ดูเหมือนเซี่ยเจิ้งจะหมดแรงลงทันที และเอนกายลงบนหมอน
เขาโบกมือ “แค่นี้แหละ แค่พูดมาเมื่อลูกพร้อมที่จะพูดเถอะ”
เมื่อพูดจบเขานอนหันหลังให้ลูกสาวทันที “มันก็แค่…จื่ออี้ พ่อผิดหวังในตัวลูกมากจริงๆ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้และไม่ได้มองเธออีกเลย
จมูกของเซี่ยจื่ออี้รู้สึกเจ็บเมื่อเธอมองไปที่เซี่ยเจิ้งที่ไม่สนใจตัวเอง
เห็นได้ชัดว่าเธอกับพ่อเคยสนิทสนมแค่ไหน และน่าอิจฉาที่สุด แต่ทำไมมันถึงกลับกลายเป็นแบบนี้?
หากตระกูลฉีไม่ยุติการหมั้นหมายและเซี่ยเจิ้งไม่ปรามเธอทุกวิถีทาง ทำไมเธอถึงต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย?
ความรู้สึกผิดเริ่มแรกต่อเซี่ยเจิ้งกลายเป็นความขุ่นเคืองอย่างสุดซึ้งในขณะนี้
เป็นเพราะเขาไม่ได้ให้สิ่งที่เธอต้องการทั้ง ๆ ที่เขามีความสามารถนั้น ดังนั้นเธอจึงต้องหลอกลวงเขาไปทุกอย่าง
เธอแค่ต่อสู้เพื่อสิ่งที่ต้องการ เธอผิดตรงไหนเหรอ?
นับตั้งแต่วินาทีที่เธอเริ่มต้นเส้นทางนี้ เธอไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกแล้ว
เธอยืนขึ้นแล้วพูดว่า “พ่อ พักผ่อนเยอะ ๆ นะคะ”
พูดจบเธอก็หันหลังออกจากห้องไป
เซี่ยเจิ้งได้ยินเสียงปิดประตู ดวงตาที่หลับอยู่ก็เปิดขึ้นอีกครั้งและเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ