ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 231 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 231 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-6

“นายกองหลิว! สบายดีหรือ!”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ไปที่อื่น เขามาที่พักของตี๋เหว่ยไท่

“ท่านประมุขหอตี๋ยังสดใสแข็งแรงเหมือนเดิม!”

หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือกล่าว

ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้ายิ้มเล็กน้อย ผายมือเชื้อเชิญ

หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ได้เกรงใจมากนัก นั่งลงอย่างสง่างาม

“ตอนเช้าควรดื่มชาสักจอก”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

แม้เป็นน้ำเสียงสอบถาม

แต่เขาไม่เหลือที่ให้หลิวรุ่ยอิ่งเลือก

ตอนหลิวรุ่ยอิ่งตอบคำหนึ่งว่า ‘ดี’ ชาชงใหม่จอกหนึ่งก็วางอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

เปิดฝาจอก ไอสีขาวลอยขึ้น

แต่ไม่ได้หนาแน่นจนลอยเข้าหากัน

ชัดว่าชาจอกนี้ชงเสร็จก่อนหลิวรุ่ยอิ่งมาถึง

หลิวรุ่ยอิ่งมองชาจอกนี้และจิบเล็กน้อย

จากนั้นก็นั่งอยู่เงียบๆ

สองคนในห้องนี้ล้วนเป็นคนปราดเปรื่อง

คนปราดเปรื่องคุยกันมีแค่สองวิธี

วิธีที่สองก็คือนั่งเงียบใส่กันเช่นนี้

เหมือนประลองพลังปราณ ดูว่าใครจะเขื่อนแตกถอยร่นก่อนกัน

แม้ทั้งสองไม่ได้ใช้วรยุทธ์

แต่การวัดฝีมือเช่นนี้อันตรายกว่ากระบี่และดาบหมื่นส่วน

วิชาเลวยังยอมแพ้ได้ วรยุทธ์แย่ก็วางหมัดขอไว้ชีวิตได้เช่นกัน

แต่การประลองในความเงียบเช่นนี้กลับมีแต่โจมตีไม่มีป้องกัน มีแต่เดินหน้าไม่มีถอยหลัง

ไม่ว่าสำหรับหลิวรุ่ยอิ่งหรือตี๋เหว่ยไท่ล้วนเป็นทางตันสายหนึ่ง

ทุกครั้งที่เดินหนึ่งก้าว ข้างหลังก็พังทลายทีละชุ่นเหมือนผาสูงชัน

ถอยกลับไม่ได้อีกเด็ดขาด

แผ่นหลังของหลิวรุ่ยอิ่งเริ่มเหงื่อออก

ไม่ใช่เพราะร้อน

แต่เป็นเพราะความตึงเครียดที่มาพร้อมความกดดันเช่นนี้

ก่อนหน้านี้ก็ดื่มสุราเยอะมากอยู่แล้ว พอตอนนี้เหงื่อออกก็ยิ่งรู้สึกกระหาย

หลิวรุ่ยอิ่งอยากยกจอกดื่มชาอีกอึกหนึ่ง

แต่เขาไม่รู้ว่ามือตัวเองยังยกจอกชาได้อย่างมั่นคงหรือไม่

เขาเสียใจเล็กน้อย ทำไมเมื่อครู่ดื่มเสร็จแล้วต้องปิดฝาจอกอีกครั้งด้วย

หากไม่มีฝาจอกนี้ เขายื่นสองมือออกมาถือจอกไว้มั่น จับไว้แน่นหนาก็จะไม่เผยช่องโหว่ใดๆ

ตอนกำลังสับสนลังเลนี้เอง

ตี๋เหว่ยไท่กลับลุกขึ้นยืน เปิดฝาบนจอกชาของหลิวรุ่ยอิ่งและเติมน้ำร้อนให้เขาเล็กน้อย

“ชาเขียวรสอ่อน หากน้ำเย็นเกินไปก็ดื่มไม่ได้รสชาติ”

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าเขาต้องเห็นเค้าเงื่อนของตนแน่นอน

ถึงได้ใช้การเติมน้ำอุ่นชาเป็นข้ออ้างส่งบันไดมากู้หน้าให้ตน

แต่ตี๋เหว่ยไท่เติมน้ำเสร็จแล้วปิดฝาจอกกลับไปอีกครั้ง

หลิวรุ่ยอิ่งถึงได้รู้ตัว

เขาไม่ได้จะกู้หน้าให้ตน

แต่แสดงอำนาจข่มตนต่างหาก

มือตี๋เหว่ยไท่กดอยู่บนฝาจอก

ดันจอกชานี้ไปหาหลิวรุ่ยอิ่งเบาๆ

นี่เป็นการบีบให้หลิวรุ่ยอิ่งจำต้องรับมาถือไว้

หลิวรุ่ยอิ่งมองจอกชาเคลื่อนมาหาตนทีละนิด

ได้แต่ยื่นมือหมายจะรับ

แต่ตอนมือเขาเพิ่งยื่นถึงระยะหนึ่งชุ่นจากจอกชาก็เดินหน้าไม่ได้อีก

ตี๋เหว่ยไท่ปล่อยพลังปราณบางๆ ชั้นหนึ่งไว้รอบจอกชานี้

แม้เบาบางอย่างยิ่ง

แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งทะลวงได้ด้วยหมัดเปล่ามือเปลือย

หากใช้กระบี่ เขายังมั่นใจว่าแทงทะลุได้ในหนึ่งกระบี่

แต่ตี๋เหว่ยไท่แค่กำลังดันจอกชานี้ให้เขา เหมือนให้เขาดื่มสะดวกเท่านั้น

ดูแล้วเป็นเพียงวิธีรับแขกธรรมดายิ่งอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าหลิวรุ่ยอิ่งชักกระบี่ออกมา

เรื่องราวก็จะกลายเป็นยุ่งยาก

ประมุขหอทรงปัญญาชงชาเติมน้ำ

นายกองกรมสอบสวนกลางชักกระบี่เข้าหา

ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรต่างพูดให้ชัดเจนได้ยากยิ่ง

แต่หากหลิวรุ่ยอิ่งไม่รับชาจอกนี้

เช่นนั้นการมาหาตี๋เหว่ยไท่ครั้งนี้ก็ไม่มีความหมายใด

แม้ตี๋เหว่ยไท่ดูเหมือนอ่อนโยน

แต่นั่นเป็นเพียงภายนอก

แท้จริงแล้วเขาเป็นคนยโสทะนงตนที่สุดคนหนึ่ง

เขาสามารถทักทายใครๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

และกล่าวลาได้อย่างสุภาพ

แต่นอกจากคนที่เห็นเขาอยู่ในสายตา คนอื่นไม่เคยสังเกตเห็นความรู้สึกที่แท้จริงในการกระทำและน้ำเสียงของเขาแม้แต่น้อย

ก็เหมือนระหัดเครื่องหนึ่ง

ตราบใดที่มีน้ำไหลผ่าน ระหัดก็จะเคลื่อนไหว

แม้นี่ไม่ใช่เจตนาของระหัด แต่มันก็จำต้องหมุน

ตี๋เหว่ยไท่ก็เป็นเช่นนี้

คนอื่นที่ไม่สลักสำคัญเหล่านี้ก็เหมือนสายน้ำ

ตัวเขาเองก็คือระหัดเครื่องหนึ่ง

ตราบใดที่มีคนอื่นอยู่ด้วย เขาก็จะเคลื่อนไหวเป็นระบบตั้งแต่ตนจนจบเหมือนระหัดกลางสายน้ำ

แต่ถ้าออกจากสถานการณ์เหล่านี้ ระหัดที่ไม่มีน้ำจะยืนนิ่งแข็งทื่อไปชั่วกาล

ทว่าตี๋เหว่ยไท่สามารถเป็นกังหันลมได้เช่นกัน

ไม่ต้องรุนแรงมาก ขอเพียงมีลมอ่อนพัดผ่านก็จะเริ่มหมุนอย่างช้าๆ

เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งจะใช่ลมหอบนี้หรือไม่ยังต้องพิจารณาและคัดกรองก่อน

ทว่าวิธีพิจารณาและคัดกรองก็คือดูว่าเขารับมือกับชาจอกนี้อย่างไร

ปลายนิ้วของหลิวรุ่ยอิ่งดึงพลังปราณจากแท่นสวรรค์ของธรรมลักษณ์บรมครูในกายออกมาทีละน้อย

เขาคิดจะทะลวงด้วยการใช้เพชรตัดเพชร

เขาควบคุมพลังปราณเส้นบางๆ กลุ่มนี้เป็นเข็มปักลาย ตี๋เหว่ยไท่ก็สวมปลอกอันหนึ่งไว้ตรงปลายเข็ม

ไม่ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเปลี่ยนแปลงอย่างไร ตี๋เหว่ยไท่ล้วนรับมือได้สำเร็จในฉับพลัน

แต่แผนการโจ่งแจ้งและการต่อสู้อย่างลับๆ เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา

หายไปอย่างรวดเร็ว

ดุจฟ้าแลบและประกายไฟ

ในยามนี้เอง ตี๋เหว่ยไท่กลับดันจอกชาเร็วขึ้นเล็กน้อย

เวลาที่ให้หลิวรุ่ยอิ่งเหลือแค่ช่วงกะพริบตาไม่กี่หนเท่านั้น

หากปล่อยให้ตี๋เหว่ยไท่ดันเรื่อยๆ จนถึงขอบโต๊ะแล้วตนยังรับมาถือไว้ไม่ได้ เช่นนั้นการพิจารณานี้เป็นต้องล้มเหลวและการคัดกรองย่อมตกไป

หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าอาศัยแค่ฐานะกับความสามารถของตนเผชิญหน้าตี๋เหว่ยไท่ย่อมไม่มีทางสู้

วิธีเดียวก็คือตัวเขายอมเอ่ยปาก

และถ้าอยากได้ยินความจริงจากเขาก็มีแต่ต้องผ่านการพิจารณาและการคัดกรองของเขาก่อน

หลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกว่าตี๋เหว่ยไท่ไม่นับเป็นคนเลวโดยแท้จริง

แม้เขามีความคิดต่อเรื่องเลวร้ายที่อีกฝ่ายทำอยู่บ้าง

แต่คนเลวไม่มีทางให้คนอื่นมีโอกาสเลือก

ความถูกผิดทั้งหลายล้วนอยู่ในปากที่เต็มไปด้วยคำหยาบและในมือที่ถืออาวุธ

แต่ตี๋เหว่ยไท่กลับยินดีมอบโอกาสให้หลิวรุ่ยอิ่ง

ขอแค่หลิวรุ่ยอิ่งคว้าไว้ย่อมสามารถข้ามถึงฟากฝั่ง

เช่นนี้มักดีกว่าแนวคิดที่ตัดสินถูกผิดและผลลัพธ์ตั้งแต่เริ่มมากนัก

อย่างน้อยต่อให้หลิวรุ่ยอิ่งกลับมาโดยไม่บรรลุผลก็จะไม่รู้สึกแย่เกินไป

แค่ฝีมือไม่ทัดเทียมเท่านั้นเอง

กล่าวโทษไม่ได้แม้เพียงครึ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งงอสองฝ่ามือเล็กน้อย

เขาสาวพลังปราณนี้ถักทอเป็นรังไหมแน่นหนารอบพลังปราณของตี๋เหว่ยไท่

ตี๋เหว่ยไท่ย่อมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในการเคลื่อนไหวของหลิวรุ่ยอิ่ง

แต่เขาไม่เข้าใจว่าหลิวรุ่ยอิ่งทำเช่นนี้มีเจตนาใด

ในใจหลิวรุ่ยอิ่งเกิดคลื่นสาดซัดหลายชั้น

เขานึกออกกะทันหัน

แม้บอกว่าไม่ทำลายไม่อาจสร้าง

แต่ก็สร้างก่อนค่อยทำลายได้

ขอเพียงตนรับจอกชานี้มาถือได้อย่างมั่นคง เรื่องอื่นเอาไว้คิดหลังจากเดินก้าวนี้จบ

มีเพียงควบคุมมันไว้อย่างแน่นหนาเช่นนี้ เขาถึงวางใจได้ว่าตี๋เหว่ยไท่จะไม่ถอนฟืนใต้กระทะ[1]หรือได้ทีขี่แพะไล่กะทันหัน

ทว่าขั้นตอนนี้พูดง่ายแต่ทำยาก

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ขอบเขตของหลิวรุ่ยอิ่งกับตี๋เหว่ยไท่แตกต่างกันมากโข

ตี๋เหว่ยไท่ผ่อนคลายยิ่ง

แต่แผ่นหลังของหลิวรุ่ยอิ่งชื้นเหงื่อแทบทั้งผืนแล้ว

ดีที่บนหน้าเขาเหงื่อออกยาก

ไม่อย่างนั้นคราวนี้เป็นต้องเหงื่อแตกเหมือนฝนตก

หากเป็นเช่นนั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่จำเป็นต้องไปรับจอกชาไว้แล้ว

ลุกขึ้นยืนคำนับแล้วจากไปกลับจะเป็นทางเลือกที่ดีและผ่าเผยที่สุด

แต่ในที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็บรรลุความคิดในชั่วเวลาสุดท้าย

ยามนี้ จอกชายื่นออกนอกขอบโต๊ะไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ฝ่ามือซ้ายหลิวรุ่ยอิ่งรองไว้

ขณะเดียวกันมือขวาออกแรงจับ

ถือจอกชานี้ไว้บนมืออย่างมั่นคงยิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฉากนี้แล้วแอบโล่งอก

เมื่อครู่จดจ่อสมาธิเกินไป ตอนนี้ได้สติกลับมาถึงรู้สึกเหงื่อบนแผ่นหลังซึมเสื้อผ้าจนเปียกชื้นเย็นเฉียบ ยามนี้แนบอยู่บนกายรู้สึกไม่สบายตัวเอามาก

เขายกไหล่เล็กน้อยให้เสื้อแยกออกจากแผ่นหลัง

อยากดึงเสื้อที่แนบแผ่นหลังให้ขยับสักหน่อย

เขาพลันเสียสมาธิ

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นฝาจอกชาเอียงจะร่วงลงมาจากกลางอากาศ

หลิวรุ่ยอิ่งรีบหมุนจอกชาไปทิศทางตรงข้าม หมายจะให้จอกชาในมือกลับมาสมดุลอีกครั้ง

แต่เขื่อนพันลี้พังเพราะรังมด

เมื่อครู่เสียสมาธินิดเดียวก็ควบคุมพลังปราณของตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้อีกต่อไป

ได้แต่เบิ่งตามองจอกชาค่อยๆ เคลื่อนไปหาทิศที่มันจะแตกกระจาย

ในใจหลิวรุ่ยอิ่งยอมแพ้แล้ว

แต่การได้เห็นขั้นตอนที่ตัวเองล้มเหลวเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่ง

แม้ทุกคนล้วนไม่อยากให้ความหาได้ยากประเภทนี้เกิดขึ้นในชีวิต

แต่ในเมื่อยามนี้เกิดขึ้นแล้ว เช่นนั้นก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร

ขณะหลิวรุ่ยอิ่งฉายเสียงและภาพเหตุการณ์ที่ฝาจอกชานี้ร่วงลงพื้นอยู่ในหัวรอบหนึ่งแล้ว กลับผ่อนมือลงฉับพลัน

ตี๋เหว่ยไท่ไม่เพียงดึงพลังปราณกลับ

เขายังยกขึ้นเล็กน้อยตอนถอนออกมาด้วย

สุดท้ายฝาจอกชาแค่เอียงเล็กน้อย

เผยช่องว่างให้หลิวรุ่ยอิ่งดื่มชาได้พอดี

“ตอนข้ายังหนุ่มมากๆ ยังไม่ได้เข้าหอทรงปัญญา”

ตี๋เหว่ยไท่เปิดปากพูด

ความตกใจจากจอกชายังไม่หายสิ้น

หลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าเขาจะเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นคุยนอกเรื่องกับตนเพื่อทะลวงแนวต้านในใจของตน

แต่เขากลับฟังออกถึงความจริงใจในน้ำเสียงของตี๋เหว่ยไท่เจ็ดแปดส่วน

“ข้าไปเมืองใหญ่พร้อมกับสหายวัยเดียวกันคนหนึ่งในหมู่บ้าน เมืองนั้นชื่ออะไรข้ายังจำได้ แต่ตอนนี้กลับไม่อยู่แล้ว ที่นั่นอาจยังมีบ้านคน แต่คงไม่เรียกชื่อนี้แล้วเป็นแน่”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าวต่อ

พอหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินตี๋เหว่ยไท่เปิดปากพูด ในใจก็พลันสงบลงเล็กน้อย

ในที่สุดเขาก็ถือจอกชาได้อย่างมั่นคง กดฝาจอก ตักใบชาในนั้นออกและดื่มอึกหนึ่ง

………………………………………

[1] ถอนฟืนใต้กระทะ หมายถึงฉวยจังหวะโจมตีศัตรูด้วยวิธีอ่อนพิชิตแข็ง

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท