ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 232 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-7

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 232 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-7

“ด้วยแอบหนีออกมาจึงต้องหางานทำ ไม่เช่นนั้นไม่เพียงกลางคืนไม่มีที่บังลมกันฝน ท้องก็ต้องทนหิว”

ตี๋เหว่ยไท่ยกจอกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าตี๋เหว่ยไท่ใช้ชีวิตอยู่ในหอทรงปัญญามาโดยตลอด

อย่างน้อยข้อมูลที่เปิดเผยอย่างสมบูรณ์ทั้งหมดในปัจจุบันรวมถึงระเบียนในมือกรมสอบสวนก็เป็นเช่นนี้

เขานึกไม่ถึงเลยว่าตี๋เหว่ยไท่จะมีช่วงอดีตเช่นนี้ด้วย

แต่สิ่งที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจยิ่งกว่าคือเหตุใดตี๋เหว่ยไท่ถึงบอกเรื่องเหล่านี้แก่เขา

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะถามได้

หลิวรุ่ยอิ่งจึงพยักหน้าและฟังต่อไป

“ข้ากับสหายคนนั้นหางานเบ็ดเตล็ดในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่น แต่เพราะงานในโรงเตี๊ยมรวมอาหารและที่พัก มีที่อยู่ชั่วคราวย่อมสบายขึ้นมาก”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“ไม่นึกว่าชีวิตวัยหนุ่มของท่านประมุขหอตี๋ก็ลำบากเหมือนกัน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถอนใจประโยคหนึ่ง

นี่ไม่ใช่คำพูดที่พูดตามมารยาท

แต่มันมาจากใจเขาจริงๆ

“ความลำบากล้วนเป็นสิ่งที่หาเอง หากตอนนั้นอยู่ที่บ้านต่อไปก็จะไม่มีความลำบากเหล่านี้”

ตี๋เหว่ยไท่ยิ้มส่ายหน้ากล่าว

“แต่บางคนก็อยู่ไม่ได้”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

ประโยคนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากพูด

แต่แวดล้อมของบทสนทนานี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเล็กน้อย

ไม่รู้ทำไมประโยคนี้ถึงโพล่งออกมาจากปากตน

หลิวรุ่ยอิ่งก็ตกใจเหมือนกัน

นัยน์ตาตี๋เหว่ยไท่เปล่งประกายชั่วครู่

คล้ายเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวรุ่ยอิ่งอย่างยิ่ง

แต่หลิวรุ่ยอิ่งจำไม่ได้แล้วว่าเหตุการณ์ที่เหมือนเคยเจอนี้เกิดขึ้นที่ไหน

“ถูกต้อง…บางคนก็อยู่ไม่ได้ แม้สหายส่วนใหญ่ล้วนใฝ่หาความสุขสบาย แต่เจ้าต้องยอมรับว่าบนโลกนี้มีบางคนผิดแผกเสมอ”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

พูดจบแล้วชี้ตัวเอง

“แม้งานในโรงเตี๊ยมหล่อหลอมคนได้ แต่สร้างประมุขหอทรงปัญญาในภายหน้าไม่ได้แน่นอน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

แม้เขาไม่เคยทำงานอะไรในโรงเตี๊ยม

แต่ก็ดูออกว่าเสี่ยวเอ้อร์ต้อนรับส่งแขกด้วยใบหน้าแย้มยิ้มทั้งวันไม่ใช่เรื่องง่าย

เจอคนมีการศึกษายังพอว่า

อย่างน้อยก็ไม่จงใจทำให้คนงานรับใช้เหล่านี้ลำบาก

แต่คนมีการศึกษาเหล่านี้มักแสดงความรู้อันกว้างขวางของตนด้วยการจับผิด

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าความสามารถในการระมัดระวังของตี๋เหว่ยไท่อาจฝึกมาจากโรงเตี๊ยมตอนนั้น

เมื่อใครก็ตามแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับเขาได้ตามใจชอบ ตอนแรกอาจยังโต้แย้งเพื่อศักดิ์ศรีและเกียรติของตัวเอง

แต่เวลานานเข้าศักดิ์ศรีก็วางลง เกียรติก็พังยับเยิน

ในหัวคิดเพียงพยายามทำงานตรงหน้าให้เสร็จ คนอื่นจะได้พูดน้อยลงหน่อย ตอนกินข้าวยังต้องคิดวิธีซ่อนหมั่นโถวอีกสองลูก

หลิวรุ่ยอิ่งคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกทึ่งไม่น้อย

เขาคิดว่าตี๋เหว่ยไท่ไม่จมอยู่กับเรื่องเล็กๆ ทั่วไป

หรือเขามีจิตใจแน่วแน่ตั้งแต่ตอนอายุน้อยขนาดนั้น?

“เด็กล้วนเหมือนกันหมด หากภายหลังไม่ได้พบอาจารย์ข้า เดาว่าจุดจบที่ดีที่สุดของข้ากับสหายคนนั้นก็คือเก็บเงินเล็กน้อยและเปิดโรงเตี๊ยมของตัวเองสักแห่งในเมือง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

แม้ตี๋เหว่ยไท่ถูกผู้คนขนานนามว่าบรมครูแห่งใต้หล้า

แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

อ่านตำราทีละตัวอักษร

ข้าวก็กินทีละคำ

คนไม่อาจเติบโตสุกงอมได้ในวันเดียว

มักต้องพบเจอบางอย่างถึงจะเข้าใจหลักการ

แม้เด็กบางคนตัวไม่สูง อายุไม่เยอะ

แต่ถ้าผ่านเรื่องราวมามากย่อมเข้าใจได้มากเช่นกัน

ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนรุ่นเดียวกัน

คิดว่าตี๋เหว่ยไท่ก็เป็นเช่นนี้

“อาจารย์ท่านหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

บนโลกนี้คงไม่มีใครเคยได้ยินว่าตี๋เหว่ยไท่เคยมีอาจารย์ด้วย

คำพูดที่แพร่หลายล้วนบอกว่าแม้เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่รับใช้เก้าตระกูลในหอทรงปัญญา แต่เกิดมาพร้อมปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติ

คืนนั้นมีอัสนีศักดิ์สิทธิ์ห้าสีรวมตัวเป็นรูปตำราม้วนหนึ่ง แสงสีทองอีกสายโบกสะบัดดุจพู่กันศักดิ์สิทธิ์

จากนั้นม้วนตำราอัสนีศักดิ์สิทธิ์กับแสงทองก็พุ่งเข้าบ้านตี๋เหว่ยไท่และไม่ปรากฏอีกเลย

ต่อมาเขาก็ถูกคนของเก้าตระกูลพาไปอบรมอย่างดี ส่วนใหญ่ศึกษาด้วยตัวเองจนชำนาญและก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ จนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน

“ออกจากบ้านแล้วย่อมไม่มีพ่อแม่ หากไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะแนวทางอีก มีใครกล้ารับประกันว่าตนจะไม่ล้มเหลวบ้าง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

เขาดื่มชาในจอกรวดเดียวหมด

แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับเห็นปากเขาเคี้ยวไม่หยุด

“ข้ามีนิสัยกินใบชา”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“ใบชานี้กินได้ด้วยหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งมองใบชาในจอก

รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย

“เมล็ดข้าวที่หมักสุรากินเป็นสุราหมักได้ ใบชาที่ชงชานี้ย่อมกินได้เหมือนกัน”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า

แม้เขาไม่เคยกินใบชา

แต่ตี๋เหว่ยไท่บอกเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้โต้แย้ง

หลิวรุ่ยอิ่งดื่มชาอึกหนึ่งเช่นกัน

ตั้งใจเอาใบชาในจอกเข้าปากสองสามใบ

ตอนเพิ่งเข้าปากยังไม่ได้เคี้ยว

ความรู้สึกขมฝาดก็กระจายทั่วริมฝีปากและฟัน

ตี๋เหว่ยไท่ดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งกินใบชาเลียนแบบเขา

ตอนนี้ก็ไม่ได้อธิบายอะไร

มองอยู่เงียบๆ

แต่เขากลับยกจอกชาของตนขึ้นมา

เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งค่อยๆ ปรับตัวกับความขมฝาดนี้แล้วจึงเริ่มเคี้ยวสองสามครั้ง

ไม่นึกว่าเขาจะเคี้ยวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่มากขึ้น

ใบชานี้เปลี่ยนเป็นหวานเลิศรสเหมือนลูกกวาด

นี่กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกชอบอย่างเหนือคาด

“อาจารย์ข้าเป็นมือดาบคนหนึ่ง นอกจากรับข้าแล้วยังรับสหายของข้าด้วย เราสองคนจึงเปลี่ยนจากเพื่อนทุกข์เพื่อนยากเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“ไม่นึกว่าท่านประมุขหอตี๋เริ่มต้นจากการฝึกดาบ”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

แม้เขารู้ว่าขั้นฝึกตนสายบู๊ของตี๋เหว่ยไท่สูงมากเหมือนกัน

แต่นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาเริ่มด้วยการฝึกดาบ

“บอกว่าตีเหล็กจะดีกว่าฝึกดาบ…”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

โบกมือตามอารมณ์

“คิดว่าฝีมือการตีเหล็กของอาจารย์ลู่หมิงหมิงข้าต้องมาจากการสอนของท่านประมุขหอตี๋เป็นแน่”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งนึกเรื่องหนึ่งได้กะทันหัน

หากลู่หมิงหมิงยังเป็นศิษย์ของตี๋เหว่ยไท่ แล้วตนคารวะลู่หมิงหมิงเป็นอาจารย์ เช่นนั้นก็กลายเป็นศิษย์หลานของตี๋เหว่ยไท่ด้วยไม่ใช่หรือ

ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจึงยังไม่ร้ายแรง

แต่พอคิดได้ ความสัมพันธ์ที่มีทั้งผลดีและผลเสียกลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหวาดหวั่นเล็กน้อย

หากเป็นเช่นนี้จริง เดาว่าพอเขากลับถึงกรมสอบสวนกลางก็จะถูกจับเข้าคุกหลวงสอบปากคำรอบหนึ่ง

“แต่ตอนนี้ลู่หมิงหมิงไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับข้าและหอทรงปัญญาแล้ว คงได้แต่นับเป็นสหายเก่าในหอทรงปัญญาคนหนึ่งกระมัง และข้าก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่เขาค่อนข้างนับถือเท่านั้น”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

เขามองออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่สบายใจ

ประโยคนี้มีความหมายในเชิงปลอบใจอย่างมาก

แม้กรมสอบสวนกลางขึ้นชื่อเรื่องตรวจสอบใต้หล้า

ในใต้หล้าไม่มีใครที่หาไม่พบ ไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้

แต่ใต้หล้านี้ห้าอ๋องปกครองร่วมกัน

นอกจากห้าอ๋อง ยังมีอำนาจใหญ่ที่อยู่เหนือสถานการณ์ทั่วไปอย่างหอทรงปัญญา

พวกเขาต่างมีอาณาบริเวณ ต่างมีช่องทางข่าวกรองของตัวเอง

ไม่มีใครอยู่เฉยไปวันๆ

ตี๋เหว่ยไท่รู้เรื่องต่างๆ ในกรมสอบสวนกลางเป็นอย่างดี ดังนั้นถึงได้อธิบายกับหลิวรุ่ยอิ่งเช่นนี้

“แต่เหตุใดท่านประมุขหอตี๋ต้องตีเหล็กหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เพราะอาจารย์ข้ามีร้านขายดาบร้านหนึ่ง ไม่ตีเหล็กมาทำดาบก็ไม่มีเงินกินข้าว ท้องหิวไม่อาจไปฝึกดาบได้”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งฟังแล้วอยากหัวเราะเล็กน้อย

เขานึกว่าตี๋เหว่ยไท่ยอมคารวะอาจารย์ผู้นี้ต้องเป็นเพราะคิดว่าอย่างน้อยตามอาจารย์ผู้นี้ไปฝึกดาบก็จะไม่ถูกคนข่มขี่เรียกใช้อีก ทั้งยังได้กินข้าวอิ่มทุกมื้อ

นึกไม่ถึงว่าคารวะเป็นอาจารย์แล้วกลับให้เขาสองคนตีเหล็กก่อน

หลิวรุ่ยอิ่งเคยเห็นลู่หมิงหมิงตีเหล็ก

เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องลำบากและซ้ำซากจำเจที่สุดเรื่องหนึ่ง

เพิ่งเริ่มอาจยังมีความสดใหม่หลายส่วน

แต่ภายหลังตี๋เหว่ยไท่อาจคิดถึงช่วงเวลาทำงานยุ่งในโรงเตี๊ยมมากกว่าก็ได้

อย่างน้อยทุกๆ วันก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงมากมาย

“อาจารย์ข้าเป็นคนมีปณิธานสูงส่งแต่ใต้ฝ่ามือกลับไม่มีความสามารถแท้จริงแต่อย่างใด”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“คนเช่นนี้มีมากมาตั้งแต่โบราณแล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“แต่เจ้าคงไม่เคยเจอคนที่หมกมุ่นกว่าอาจารย์ข้า”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“หมกมุ่นเพียงใดหรือ”

“หมกมุ่นจนเสียสติ”

ตี๋เหว่ยไท่กล่าว

“เจ้าเคยได้ยินดาบไร้ลักษณ์หรือไม่”

ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม

“ย่อมเคยได้ยิน!”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

ผู้ฝึกยุทธ์แห่งใต้หล้าคงไม่มีใครไม่รู้จักตำนานดาบไร้ลักษณ์

แต่ส่วนใหญ่ฟังเป็นเรื่องตลกเท่านั้น

………………………………………..

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน