บทที่ 474 ข้าต้องไปฉางเซิงเทียนให้ได้
บทที่ 474 ข้าต้องไปฉางเซิงเทียนให้ได้
ขณะที่สถานการณ์ของกษัตริย์เป่ยเยว่เป็นในทางนั้น กษัตริย์ต้าหานก็วิตกกังวลเช่นเดียวกัน
ต้าเซี่ยห้าวหาญและโหดเหี้ยมเพียงนี้ และซยงหนูก็สิ้นแล้ว หากว่าพวกเขาผนวกดินแดนในทุ่งหญ้าเข้ากับดินแดนต้าเซี่ยได้เมื่อใด เช่นนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและควรคู่เกียรติยศอย่างแท้จริง
ต้าเซี่ยมิเพียงมีความแค้นกับเป่ยเยว่ แต่รวมถึงพวกเขาด้วย
ครั้งหนึ่งกษัตริย์ต้าหานเคยทำสงครามกับต้าเซี่ยเพราะว่าองค์ชายคนโปรด แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้กลับไปในเวลาเพียงไม่นาน แต่ก็มิรู้ว่าต้าเซี่ยจะจดจำความแค้นนี้หรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นดินแดนทุ่งหญ้าก็ถูกผนวกรวมไปแล้ว พวกเขาไม่เชื่อว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยจะไม่ต้องการรวบรวมจงหยวนให้เป็นหนึ่งเดียว
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองต่างเฝ้าฝันถึงมัน
เพียงแต่พวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้น ทว่าต้าเซี่ยทำได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ต้าหานและเป่ยเยว่จึงเริ่มเป็นกังวล แต่มิกล้าที่จะลงมือกระทำการใด ๆ
กษัตริย์ทั้งสองฝ่ายต่างกระวนกระวายโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะโง่พอโจมตีต้าเซี่ยเพื่อให้เกิดความขุ่นเคือง
ทว่าน่าเสียดายที่ต่างฝ่ายต่างคิดเช่นเดียวกัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่เงียบ ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว ช่างเป็นความสงบสุขที่น่าประหลาดใจยิ่ง
แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะเตรียมพร้อมเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นส่งบรรณาการไปที่ต้าเซี่ยเพื่อขอสงบศึก ส่งองค์หญิงไปสักคนน่าจะเป็นการดีที่สุด และยิ่งดีหากว่าได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับต้าเซี่ย
ณ เมืองหน้าด่าน…
เรื่องที่เสี่ยวเป่าคาดหวังว่าจะได้พบหน้าท่านพ่อของตนในเร็ววันนี้มิได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
เพราะหลังจากที่ท่านพ่อเอาชนะพวกซยงหนูได้แล้ว ก็เริ่มวางแผนที่จะรวมชนเผ่าใหญ่ในทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งเดียว
แม้การผนวกดินแดนนั้นเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา แต่การจัดการดูแลหลังจากที่รวมดินแดนได้แล้วต่างหากที่เป็นปัญหา
ทั้งอุปสรรคทางภาษา อีกทั้งสองฝ่ายก็มีช่องว่างระหว่างกัน คงไม่พ้นความขัดแย้งระหว่างชาวต้าเซี่ยและชนเผ่าทุ่งหญ้าเป็นแน่
จะปล่อยเอาไว้โดยไม่จัดการก็ไม่ได้ ในที่สุดเขาก็พิชิตดินแดนมาได้แล้ว จะทำอย่างไรหากว่ามีชนเผ่าโหดเหี้ยมทะเยอทะยานอย่างพวกซยงหนูปรากฏตัวขึ้นมาอีก
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข
ด้วยเหตุนี้เองหนานกงสือเยวียนผู้ซึ่งเสร็จศึกสงครามจึงไม่มีเวลาให้ได้พัก และมีงานรัดตัวยิ่งกว่าเดิม
ทว่าคนของเผ่าเทียนกู่น่ากลับมาถึงแล้ว
ครั้งนี้พวกเขาได้สร้างความดีความชอบไม่น้อยด้วยการช่วยเหลือต้าเซี่ยทำศึกสงคราม อีกทั้งสองฝ่ายก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอดจึงทำให้ได้รางวัลตอบแทนมากมาย พวกเขาตั้งใจจะใช้เงินจำนวนนี้ซื้อนมผงจากเสี่ยวเป่า รวมถึงซื้อสิ่งของจำพวกเครื่องนุ่งห่มให้ความอบอุ่นที่ขายในเมืองหน้าด่าน
เงินทองมิได้มีประโยชน์สำหรับพวกเขา ที่ตั้งของเผ่าเทียนกู่น่าเป็นภูเขาสูงชันที่เต็มไปด้วยอันตราย พวกเหล่าพ่อค้ามิใคร่เดินทางไป อีกทั้งยังหาตำแหน่งที่ตั้งไม่พบ ดังนั้นพวกเขาจึงนำเงินรางวัลที่ได้มาเปลี่ยนเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นกับคนในเผ่า
ช่วงเวลากว่าหนึ่งปี เมื่อกู๋เหมิงมาเยือนอีกครั้งก็สามารถพูดคำจงหยวนง่ายๆ ได้บ้างแล้ว เพียงแต่ยังพูดตะกุกตะกัก
โรงงานนมผงของเสี่ยวเป่านับวันก็ยิ่งมีขนาดใหญ่โต นอกจากทุ่งเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่แล้ว นางยังสั่งซื้อนมจากแหล่งผลิตของชนเผ่าทุ่งหญ้าที่มีการติดต่อกันอยู่ตลอด ด้วยเหตุนี้ปริมาณนมผงที่ผลิตได้จึงมากทีเดียว
สินค้าที่พวกกู๋เหมิงซื้อในครั้งนี้เยอะมาก อีกทั้งไม่ได้กลับเผ่าเทียนกู่น่านานกว่าหนึ่งปีแล้ว ดังนั้นเมื่อพวกเขาซื้อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็อยากรีบกลับไปจนแทบอดใจรอไม่ไหว
เสี่ยวเป่าอดไม่ได้และเอ่ยถามขณะที่พวกเขากำลังจะจากไป
“กู๋เหมิง พวกเจ้ารู้จักฉางเซิงเทียนหรือไม่ ช่วยพาข้าไปพบหมอผีของพวกเจ้าหน่อยสิ”
เสี่ยวเป่ารู้สึกตื่นเต้นเมื่อพูดออกไป แต่ว่าตอนนี้จะมัวสนใจไม่ได้อีกแล้ว หากว่ายังชักช้าไปกว่านี้ เวลาของท่านพ่อคงใกล้จะหมดลงเต็มที
เมื่อกู๋เหมิงได้ยินนางถามถึงฉางเซิงเทียน สีหน้ายิ้มแย้มในตอนแรกก็เคร่งขรึมลงทันใด
“คุณหนูหนานกง ท่านอยากไปที่ฉางเซิงเทียนหรือ”
เสี่ยวเป่าสบตาอย่างไม่ลดละ หากว่าเป็นเด็กคนอื่นคงจะตกใจกลัวสายตากดดันจนร้องไห้ไปแล้ว ทว่าไม่ใช่กับเสี่ยวเป่า สายตาของนางพุ่งตรงไปที่อีกฝ่าย
“ข้าต้องไปฉางเซิงเทียนให้ได้ อีกแค่สองปีร่างกายของท่านพ่อก็ไม่ไหวแล้ว ข้าต้องไปฉางเซิงเทียนเพื่อออกตามหาสมุนไพร”
‘แต่ว่าข้าไม่รู้ว่าเทพธิดาคือใคร’
‘เจ้าจะรู้เอง ออกเดินทางเถอะ’
ทันใดนั้นกู๋เหมิงก็นึกถึงคำพูดที่หมอผีเคยบอกกับตน
เทพธิดา เขาคิดว่าตนรู้แล้วว่าเทพธิดาคือใคร
กู๋เหมิงตอบ “ข้าพาท่านไปที่นั่นได้ แต่ว่าบิดาของท่าน”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะทิ้งจดหมายไว้ให้เขา เฮยไป๋อู๋ฉางก็จะไปกับข้าด้วย”
กู๋เหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบตกลงในที่สุด
ในวันนั้นเสี่ยวเป่าทิ้งจดหมายไว้ในห้องนอนและสั่งให้ชุนสี่มอบมันให้ท่านพ่อ จากนั้นนางพร้อมกับเสือยักษ์สองตัวและคนจากเผ่าเทียนกู่น่าก็ออกเดินทางไปในตอนกลางคืน
หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีโม่ต่างก็ยุ่งมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าเสี่ยวเป่าจะใจกล้าออกเดินทางไปกับเผ่าเทียนกู่น่าทั้งแบบนั้น
กว่าที่จะรู้ข่าวก็เข้าวันที่สามแล้ว
หลังจากได้อ่านจดหมาย สีหน้าของหนานกงสือเยวียนก็มืดลงทันที
“เจ้าเด็กคนนี้ช่างดื้อรั้นเสียจริง!”
ยมทูตท่ามกลางสนามรบ เทพเจ้าสงครามแห่งต้าเซี่ยผู้ไม่เคยเกรงกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคมดาบ บัดนี้กลับควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่เพียงเพราะจดหมายฉบับเดียว
เมื่อเห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของเสด็จพ่อ หนังตาของหนานกงฉีโม่ก็กระตุกรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี
เป็นดังคาด เมื่อเขาหยิบจดหมายมาอ่านก็โกรธเช่นเดียวกัน
หนานกงฉีโม่กุมขมับ “เสด็จพ่ออย่ากังวลไปเลย เสี่ยวเป่าอยู่กับนักรบเผ่าเทียนกู่น่า นางมิเป็นไรหรอก”
หนานกงสือเยวียนรู้เรื่องนี้ดี แม้ในใจจะโกรธแต่ก็มิได้เป็นกังวล
และเพราะรู้ว่าคนจากเผ่าเทียนกู่น่าไว้ใจได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไล่ตามไปแล้ว
“จัดการเรื่องเผ่าทุ่งหญ้ากันก่อน เสี่ยวเป่าอยู่กับเผ่าเทียนกู่น่าคงไม่มีอันตราย”
แต่เห็นได้ชัดว่าการจัดการงานต่าง ๆ รวดเร็วขึ้นมาทีเดียว
สำหรับเผ่าที่ยังคงต่อต้านอย่างแข็งข้อ หนานกงสือเยวียนเองก็ไม่ใคร่มีอารมณ์ส่งคนไปเจรจาเกลี้ยกล่อม จึงใช้กำลังเข้าปราบปรามโดยตรง
ทีกับพวกซยงหนูไม่เห็นพวกเจ้าจะขัดขืน เห็นว่าต้าเซี่ยคุยง่ายกว่าหรืออย่างไรกัน!